ตำนานเทพกู้จักรวาล – ตอนที่ 479 บันทึกเป็นตาย

สีหน้าของยูไลน้อยและหลวงจีนคนอื่นๆ แปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว พวกเขายื่นมือออกไปเพื่อคว้าหนังสือเล่มนั้น

มันเป็นวัตถุที่หลวงจีนบนภูเขานี้พบเข้าโดยบังเอิญ ด้วยว่าพวกเขาไม่รู้ว่านี่เป็นสมบัติประเภทใดและต้องใช้อย่างไร หลวงจีนผู้นั้นจึงมอบให้แก่ทางวัด ยูไลน้อยและคำอื่นๆ ก็ไม่รู้วิธีใช้สอย รู้แต่ว่ามันครอบครองฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ มีดวงวิญญาณมากมายไร้ประมาณล่องลอยไปรอบๆ หนังสือ ดังนั้นพวกเขาจึงสะกดข่มหนังสือนี้เอาไว้ในเจดีย์

พวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่ามันจะเป็นสิ่งของของเทพหมอผีขุย และมีนามว่าบันทึกเป็นตาย

เมื่อมือของหลวงจีนคนหนึ่งแตะเข้ากับบันทึกเป็นตาย มันก็เริ่มเน่าเปื่อยในทันที ขณะที่หลวงจีนนั้นรีบชักมือกลับ หลวงจีนอื่นๆ ก็ตระหนักถึงสถานการณ์ พวกเขาแต่ละคนขับเคลื่อนทักษะเทวะเพื่อขัดขวางหนังสือเล่มนี้ แต่ไม่มีใครสามารถยับยั้งมันเอาไว้ได้ หนังสือทะลุผ่านแต่ละชั้นของทักษะเทวะพุ่งตรงไปยังบาตรทองคำ

ยูไลน้อยยกบาตรทองคำขึ้น พลางผนึกมุทราด้วยมืออีกข้าง นิ้วทั้งห้าของเขาพลันประดุจขุนเขาอันก่อขึ้นมาจากอสุนีบาตอันถล่มทับใส่บาตรทองคำ ยูไลน้อยหมายที่จะสังหารเทพหมอผีขุย

แต่ในจังหวะนั้น บันทึกเป็นตายก็พุ่งเข้ามาและฝ่ามือของยูไลน้อยก็เริ่มแก่ชราไปอย่างรวดเร็ว

ด้วยความตื่นตระหนก เขาโยนบาตรทองคำทิ้งไป และบันทึกเป็นตายก็บินตามไปด้วย

“พี่ซวี!”

ฉินมู่สะกิดเท้า คว้าจับบาตรทองคำด้วยความเร็วอันสุดขีดขั้ว ที่กลางอากาศนั้น เขาแตะนิ้วไปมา และอักษรรูนก็พลันไหลบ่า พวกมันก่อขึ้นจากปราณชีวิต และฉายแสงเจิดจ้าอยู่ในอากาศพลางกะพริบไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง

ในเวลาเดียวกันนั้น ซวีเซิงฮวาก็พุ่งเข้าไปเช่นกัน และความเร็วของเขามิได้ด้อยไปกว่าฉินมู่ มือของเขาเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว และมันก็มีปราณชีวิตพวยพุ่งออกมาแปรเปลี่ยนเป็นอักษรรูนจากปลายนิ้วของเขาด้วยเช่นกัน แต่ทว่าของเขานั้นเป็นภาษาเทพ

แม้ว่าพวกมันจะเป็นคำเดียวกัน แต่วิธีการเขียนแตกต่างกัน

ฉินมู่ก้าวออกไปอีกก้าว และชี้ไปข้างหน้าด้วยมืออีกข้าง เขาจิ้มไปทุกๆ สี่ก้าว และหลังจากจิ้มแตะครั้งที่สี่ อักรรูนเคลื่อนย้ายระยะไกลก็ผสานเข้าด้วยกันเพื่อก่อเป็นทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล ผนึกบาตรทองคำเอาไว้ในนั้น

บันทึกเป็นตายพุ่งหวือเข้ามาใกล้บาตรทองคำ และถูกทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลรวบจับ อันส่งมันไปยังสถานที่ห่างออกไปยี่สิบลี้

อีกด้านหนึ่งซวีเซิงฮวาพลิกฝ่ามือของเขาขึ้น และนิพนธ์เทพเป็นร้อยก็เข้าห่อหุ้มบาตรทองคำ แต่ละนิพนธ์สะกดคำเดียวกันคือคำว่า ผนึก

คำนี้แตกต่างไปจากคำของเผ่ามนุษย์โดยสิ้นเชิง มันมีพลานุภาพอันแปลกประหลาดอยู่ข้างในนั้น เพราะถึงอย่างไรซวีเซิงฮวาก็เป็นผู้สืบทอดของเทพครองแดนหยก ชายผู้นั้นเป็นเทพเจ้า เขาย่อมมีวิชาอันมหัศจรรย์ที่แดนต่ำใต้ไม่อาจสัมผัส

ซวีเซิงฮวาคลุมบาตรทองคำเอาไว้ด้วยผนึกกว่าร้อย สะบั้นการเชื่อมต่อระหว่างเทพหมอผีขุยและบันทึกเป็นตาย

ฉินมู่นำพู่กันออกจากถุงเต๋าตี้และดึงเอาม้วนกระดาษออกมาโยนไปให้ซวีเซิงฮวา เด็กหนุ่มคว้าจับมันเอาไว้และพบว่ามันเป็นเพียงกระดาษขาว

ฉินมู่ยกพู่กันขึ้น และปลายของมันเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว เขารีบวาดพายุลมและสายฟ้าจากนั้นก็โยนบาตรทองคำเข้าไปข้างใน

มันจึงปลิวว่อนไปทั่วกลางพายุและสายฟ้า

ถัดไป ฉินมู่ส่งพู่กันให้ซวีเซิงฮวา ผู้ซึ่งยกพู่กันขึ้นจรดและเขียนคำว่าผนึกในภาษาเทพรอบๆ ลมและสายฟ้าเหล่านั้น

จากนั้นฉินมู่ก็นำตราผนึกของตนเองออกมาจากถุงเต๋าตี้และประทับลงไปที่มุมภาพวาด

ซวีเซิงฮวานำตราผนึกของตนออกมาเช่นกัน และประทับไว้ข้างๆ กัน

ฉินมู่ม้วนกระดาษกลับ และทั้งสองคนก็ระบายลมหายใจโล่งอก ในที่ไกลๆ นั้น ลิงยักษ์อสูรเหาะเข้ามาและคว้าจับสมบัติอันเรียกว่าบันทึกเป็นตาย

บนยอดเขาทองคำ ยูไลน้อยและหลวงจีนอื่นๆ หันไปมองกันและกันด้วยความหนักอึ้ง ฉินมู่และซวีเซิงฮวาวรยุทธไม่เท่าไร แต่การร่วมมือจู่โจมของพวกเขานั้นไร้ที่ติ

หนึ่งคนเคลื่อนย้ายบันทึกเป็นตายออกไปไกลๆ ส่วนอีกคนปิดผนึกบาตรทองคำเพื่อสะบั้นการเชื่อมต่อ จากนั้นฉินมู่ก็ใช้พู่กันวาดรูปส่วนซวีเซิงฮวาช่วยเขาคลี่ม้วนกระดาษ ฝ่ายหลังวาดอักษรผนึก และทั้งคู่ก็ประทับตราผนึกลงไปบนนั้น

การร่วมมือประสานนี้ราวกับว่าพวกเขาได้ฝึกซ้อมกระบวนการนี้ร่วมกันมาเป็นพันๆ ครั้ง ไหลลื่นราวกับสายน้ำ

“ไอ้เจ้าคนแซ่ฉิน เจ้ากล้าบอกชื่อจริงข้าไหมล่ะ” เทพหมอผีขุยถามมาจากภาพวาด

ฉินมู่เมินเขาและกล่าวแก่ยูไลน้อย “กำลังฝีมือของเทพหมอผีขุยนั้นยากจะคาดหยั่ง เมื่อใดที่เขารู้ชื่อของใคร เขาจะสามารถสักการะเพื่อทำลายดวงวิญญาณของท่านไปได้ ยูไลไม่รู้อิทธิฤทธิ์ของเขาจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเสียที ข้าวางแผนที่จะกำจัดมารเฒ่าตนนี้โดยเดินทางไปที่ภูเขาหยิน และเขาก็เกือบจะหลุดรอดจากการสะกดข่มของยูไลไปได้ พวกเราควรรีบกำจัดเขาโดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันเภทภัยในอนาคต! กำจัดเขาทิ้งนั้นก็เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่เช่นกัน”

ยูไลน้อยลังเล “เทพหมอผีขุยถูกวิญญาณไม่ผุดไม่เกิดมากมายนับไม่ถ้วนพัวพันอยู่ และหากว่าข้าสามารถแสดงธรรมให้เขารู้แจ้งได้ มันก็ย่อมจะเป็นสุดยอดกุศลผลบุญ แต่หากว่าข้าเพียงแต่ฆ่าเขา ข้าเกรงว่า…”

ฉินมู่ขมวดคิ้วใส่เขา “ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าใหญ่ และน้อย แตกต่างกันอย่างไร”

ยูไลน้อยเลิกคิ้วสูง “จ้าวลัทธิฉิน โปรดคืนบาตรทองคำให้แก่ข้า หลวงจีนเฒ่าผู้นี้จะนำหลวงจีนทั้งหมดบนภูเขามาร่วมกันแสดงธรรมชำระใจเขา ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะยังดึงดันต่อไปได้”

ฉินมู่ยื่นม้วนภาพวาดให้แก่เขา ซวีเซิงฮวากระแอมไอ แต่ฉินมู่ส่ายหน้า พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะบุกตะลุยออกไปจากวัดน้อยฟ้าคำรามด้วยม้วนภาพนี้ พยายามที่จะบุกฝ่าออกไปด้วยกำลังมีแต่จะนำความอดสูมาสู่ตนเองเท่านั้น

ซวีเซิงฮวาจึงได้แต่ละความคิดและกล่าว “ศิษย์พี่จ้านคง ช่วยส่งบันทึกเป็นตายให้ข้าดูหน่อย”

ลิงยักษ์อสูรส่งบันทึกให้แก่เขา และซวีเซิงฮวาก็อึ้งไปเล็กน้อย บันทึกเป็นตายมิใช่หนังสือ แต่เป็นแผ่นกระดาษบางเฉียบ มันแปลกพิสดารและมันวาวราวกับโลหะ มันกระจ่างใสอย่างสุดขีด สะท้อนแสงได้

แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือ ในบันทึกเป็นตายนี้ไม่มีอักษรหรือรูปภาพใดๆ

สายตาของซวีเซิงฮวาจับจ้องลงไปยังความว่างเปล่า และเขาถึงกับมองเห็นผู้คนตรงหน้าผ่านกระดาษอันดุจกระจกได้

“บันทึกประหลาดอะไรอย่างนี้…”

หัวใจของซวีเซิงฮวาสั่นสะท้านขึ้นมาทันที ข้างหลังบันทึกเป็นตายคือจิงเอี้ยน และเหนือร่างของนางก็มีถ้อยคำอยู่บรรทัดหนึ่ง มันเขียนว่าจิงเอี้ยน

ซวีเซิงฮวาขนหัวลุกเต็มเหยียด และเขารีบหันไปทางฉินมู่ จิงเอี้ยนหายวับไป แทนที่ด้วยรูปของฉินมู่ และชื่ออันปรากฏขึ้นมามิใช่ฉินมู่ แต่เป็นฉินเฟิงชิง!

“จ้าวลัทธิฉิน”

สีหน้าของซวีเซิงฮวากลายเป็นเคร่งขรึม เขาส่งบันทึกเป็นตายให้แก่ฉินมู่ผู้ซึ่งไม่นานก็พบวิธีใช้มัน หัวใจของเขาสะท้านอย่างรุนแรง

ไม่ใช่แค่นามของเขาเท่านั้นที่ถูกบันทึกนี้เปิดเผยออกมาได้ เหล่าหลวงจีนปีศาจบนภูเขาก็เช่นกัน ตราบเท่าที่พวกเขามีชื่อ มันก็จะปรากฏอยู่บนกระดาษแผ่นนี้!

ใครจะป้องกันตัวจากวัตถุแบบนี้ได้!

ฉินมู่เลือดในกายเย็นเฉียบ สมบัติวิเศษชิ้นนี้เผยชื่อกำเนิดของบุคคล นามที่แท้จริง!

หลวงจีนวัดน้อยฟ้าคำรามส่วนใหญ่แล้วเป็นปีศาจ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีชื่อของตนเองก่อนที่จะเกิดมีสติปัญญาขึ้นมา แต่เมื่อพวกเขามีสติปัญญาขึ้นมาเมื่อไหร่ พวกเขาก็กลายเป็นหลวงจีนและจะต้องมีชื่อ

ชื่อทางธรรมของพวกเขาจึงลงเอยด้วยการเป็นนามอันแท้จริง

ที่บันทึกเป็นตายเผยแสดงคือชื่อทางธรรมของพวกเขา!

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อฉินมู่ยังเด็ก เพื่อนรักของเขาลิงยักษ์อสูรไม่มีชื่อ และเรียกว่าลิงยักษ์อสูรเท่านั้น ฉินมู่และฮู่หลิงเอ๋อเรียกเขาบ่อยๆ ว่าเจ้าตัวใหญ่ หลังจากที่เขาเข้าร่วมวัดน้อยฟ้าคำราม เมื่อนั้นเขาถึงได้ชื่อทางธรรม จ้านคง

ในบันทึกเป็นตาย ชื่อของลิงยักษ์อสูรคือจ้านคง

ฉินมู่ชี้บันทึกเป็นตายไปที่ยูไลน้อย และเขาก็มีชื่อทางธรรมเช่นกัน คือเหยียนติ้ง

“ด้วยสมบัติชิ้นนี้ เทพหมอผีขุยมิใช่ว่าอยากจะฆ่าใครก็ได้หรอกหรือ อย่าว่าแต่เทพหมอผีขุย แม้แต่ไอ้สารเลวผานกงสั่วก็จะกลายเป็นไร้เทียมทาน!”

ฉินมู่หัวใจสั่นเทิ้ม และเขาส่องบันทึกเป็นตายไปยังกิเลนมังกร เกิดสองคำข้างบนตัวอีกฝ่าย–หลงพี

มังกรอ้วนมีชื่อด้วยหรือนี่

ฉินมู่ตกตะลึง กิเลนมังกรถูกปรมาจารย์เก็บมาเลี้ยงจากในแดนโบราณวินาศหลังจากที่อดโซมาหลายวัน เพราะว่าปรมาจารย์ให้อาหารเขา เขาจึงตามติดปรมาจารย์อย่างสลัดไม่หลุด กระนั้นกิเลนมังกรก็มีชื่อด้วยเหมือนกัน ฉินมู่ไม่รู้ว่าเป็นปรมาจารย์หรือแม่ของเขาที่ตั้งชื่อนี้ให้

วัตถุนี้ต้องทำลายทิ้ง!

ฉินมู่พยายามที่จะฉินทำลายมันโดยไม่พูดจา ซวีเซิงฮวาก้าวเข้าไปช่วย และทั้งสองคนก็ดึงคนละข้างของบันทึกเป็นตาย แต่พวกเขาก็ยังคงฉีกมันออกจากกันไม่ได้

“พวกเจ้าสองคนทำอะไร” หลวงจีนคิ้วเหลืองคนหนึ่งตะโกนออกมา

ฉินมู่นำไจกระบี่ของเขาและดึงกระบี่ไร้กังวล แต่แม้กระบี่ไร้กังวลก็ยังไม่อาจทำอะไรบันทึกสมบัตินี้ได้ เส้นสายของอักษรรูนอันอัดแน่นปรากฏขึ้นเหนือบันทึกและขัดขวางกระบี่เอาไว้

อักษรรูนเหล่านั้นพิลึกกึกกือเป็นอย่างยิ่ง และฉินมู่เห็นมันแค่แวบหนึ่งเท่านั้นก่อนที่มันจะหายไป

พวกมันดูเหมือนถ้อยคำแดนใต้พิภพ! หรือว่าสมบัติชิ้นนี้จะมาจากแดนใต้พิภพ

หนังหัวเขาชาวูบ กระบี่ไร้กังวลเป็นสมบัติวิเศษของบิดาเขา ฉินหานเจิน และเขานั้นแข็งแกร่งสักเพียงไร แม้แต่เทพครองดาวเสาร์ก็ยังถูกเขาโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส แต่กระบี่ของเขากลับไม่สามารถทำอะไรบันทึกเป็นตายได้!

นี่หมายความว่า อย่างน้อยมันจะต้องเป็นสมบัติของเทพและมารที่อยู่ในระดับเดียวกับกระบี่ไร้กังวล หรืออาจจะสูงส่งกว่าเลยด้วยซ้ำ!

ถ้าเช่นนั้น ก็กล่าวได้ว่าวรยุทธของเทพหมอผีขุยก็สูสีทัดเทียมกับฉินหานเจินหรืออาจจะเหนือกว่าด้วย!

กำลังฝีมือของเขาต้องเหนือล้ำกว่าราชครูสันตินิรันดร์ เทพเจ้าผู้บรรลุมาใหม่ๆ!

หลวงจีนคิ้วเหลืองก้าวเข้ามาและยื่นมือคว้าบันทึกเป็นตาย “จ้าวลัทธิฉิน สมบัติวิเศษชิ้นนี้เป็นของวัดน้อยฟ้าคำราม ดังนั้นโปรดคืนให้แก่พวกเรา”

ฉินมู่กวาดบันทึกเป็นตายยัดเข้าไปในถุงเต๋าตี้ จากนั้นลอบโยนมันเข้าไปในรังมังกรแท้ เขาแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ยูไลน้อย เมื่อท่านกำลังเทศนาให้เทพหมอผีขุยเกิดดวงตาเห็นธรรม ไม่กลัวว่าเขาจะเรียกบันทึกเป็นตายมาอีกหรอกหรือ ให้ข้าเก็บไว้จะดีที่สุด”

ยูไลน้อยมองที่เขาด้วยสายตาลึกล้ำและเรียกหลวงจีนคิ้วเหลืองกลับมา “ให้จ้าวลัทธิฉินเก็บไว้เอาสักสามสี่วัน พวกเราจะสำเร็จสุดยอดบุญกุศลและบรรลุเหนือเขตขั้นนี้ขึ้นไป จะไม่มีเกิดแก่เจ็บตาย และพวกเราก็จะสำเร็จเป็นพุทธเจ้า เรื่องสำคัญอยู่ตรงหน้า ดังนั้นศิษย์น้องทั้งหลาย โปรดตามข้ามาเปิดดวงตาเห็นธรรมให้แก่ศิษย์พี่”

“สาธุ!” หลวงจีนทั้งหมดกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน

ยูไลน้อยและหลวงจีนทั้งหลายนำเอาวัตถุโบราณวิเศษออกมามากมายและแขวนมันเอาไว้โดยรอบ อันดับแรกพวกเขาจัดตั้งภาพวาดของฉินมู่เอาไว้กับที่ และวางชั้นกระบวนพยุหะเอาไว้เพื่อปิดกั้นประสาทสัมผัสต่างๆ ของเทพหมอผีขุย จากนั้นพวกเขาก็เริ่มสวดภาวนาเพื่อเปิดดวงตาเห็นธรรมแก่เขา

ซวีเซิงฮวาสายตาวูบไหวไปมา และเขากล่าวด้วยเสียงเบา “จ้าวลัทธิฉิน พวกเราควรจากไปหรือไม่”

ฉินมู่ส่ายหัว “ข้าไปไม่ได้หรอก หากว่าเทพหมอผีขุยยังไม่ชำระล้างกลับใจ ข้าก็ไม่มีวันเป็นสุข”

ลิงยักษ์อสูรผงกหัว “ตาย เป็นสุข”

ฉินมู่แย้มยิ้ม “เจ้าตัวใหญ่พูดถูกต้อง! แต่ทว่ายูไลน้อยนั้นยืนกรานที่จะชำระล้างจิตใจเขาให้มองเห็นธรรม ทว่าจากที่ข้าดูแล้ว มันคงจะยากลำบาก”

ซวีเวิงฮวาลุกขึ้นและกล่าวกับจิงเอี้ยน “จ้าวลัทธิกังวลถึงสถานการณ์ของโลกหล้า แต่พวกเรานั้นเป็นเพียงเมฆที่ไหลลอยไป ไม่มีความจำเป็นที่พวกเราจะต้องอยู่ที่นี่”

จิงเอี้ยนผงกหัวและทั้งสองคนก็เดินลงไปจากภูเขา

“ข้าฝึกปรือท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปด ส่วนเจ้าได้หลอมรวมขั้นหกทิศเข้ากับเจ็ดดาว เจ้าไม่อยากเรียนท่วงท่ากระบี่ของข้าหรือ ข้าก็อยากเรียนรู้ว่าเจ้าหลอมรวมขั้นหกทิศเข้ากับเจ็ดดาวเป็นหนึ่งได้อย่างไรเหมือนกัน” ฉินมู่กล่าวอย่างไม่รีบร้อน

ซวีเซิงฮวายั้งเท้าและหันหน้ากลับมาด้วยรอยยิ้ม “ข้านึกว่าจ้าวลัทธิจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้เสียอีก ในเมื่อท่านเป็นคนที่หยิ่งยโส สายตาสูงส่ง และไม่สนใจเกียรติยศชื่อเสียง หากว่าเจ้าต้องการเรียน ข้าก็จะสอน!”

ฉินมู่ส่งยิ้มให้แก่เขา “เจ้าไม่อยากเรียนท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปดของข้าหรือ”

“ข้าไม่!” ซวีเซิงฮวาตอบอย่างขวานผ่าซาก “เพลงกระบี่ของข้ามิได้สูงส่งเลิศล้ำขนาดนั้น และการโจมตีหลักของข้าก็ไม่ได้ขึ้นกับกระบี่”

ฉินมู่สีหน้ามืดคล้ำทันที

……………………………..

ตำนานเทพกู้จักรวาล

ตำนานเทพกู้จักรวาล

ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset