สีหน้าของยูไลน้อยและหลวงจีนคนอื่นๆ แปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว พวกเขายื่นมือออกไปเพื่อคว้าหนังสือเล่มนั้น
มันเป็นวัตถุที่หลวงจีนบนภูเขานี้พบเข้าโดยบังเอิญ ด้วยว่าพวกเขาไม่รู้ว่านี่เป็นสมบัติประเภทใดและต้องใช้อย่างไร หลวงจีนผู้นั้นจึงมอบให้แก่ทางวัด ยูไลน้อยและคำอื่นๆ ก็ไม่รู้วิธีใช้สอย รู้แต่ว่ามันครอบครองฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ มีดวงวิญญาณมากมายไร้ประมาณล่องลอยไปรอบๆ หนังสือ ดังนั้นพวกเขาจึงสะกดข่มหนังสือนี้เอาไว้ในเจดีย์
พวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่ามันจะเป็นสิ่งของของเทพหมอผีขุย และมีนามว่าบันทึกเป็นตาย
เมื่อมือของหลวงจีนคนหนึ่งแตะเข้ากับบันทึกเป็นตาย มันก็เริ่มเน่าเปื่อยในทันที ขณะที่หลวงจีนนั้นรีบชักมือกลับ หลวงจีนอื่นๆ ก็ตระหนักถึงสถานการณ์ พวกเขาแต่ละคนขับเคลื่อนทักษะเทวะเพื่อขัดขวางหนังสือเล่มนี้ แต่ไม่มีใครสามารถยับยั้งมันเอาไว้ได้ หนังสือทะลุผ่านแต่ละชั้นของทักษะเทวะพุ่งตรงไปยังบาตรทองคำ
ยูไลน้อยยกบาตรทองคำขึ้น พลางผนึกมุทราด้วยมืออีกข้าง นิ้วทั้งห้าของเขาพลันประดุจขุนเขาอันก่อขึ้นมาจากอสุนีบาตอันถล่มทับใส่บาตรทองคำ ยูไลน้อยหมายที่จะสังหารเทพหมอผีขุย
แต่ในจังหวะนั้น บันทึกเป็นตายก็พุ่งเข้ามาและฝ่ามือของยูไลน้อยก็เริ่มแก่ชราไปอย่างรวดเร็ว
ด้วยความตื่นตระหนก เขาโยนบาตรทองคำทิ้งไป และบันทึกเป็นตายก็บินตามไปด้วย
“พี่ซวี!”
ฉินมู่สะกิดเท้า คว้าจับบาตรทองคำด้วยความเร็วอันสุดขีดขั้ว ที่กลางอากาศนั้น เขาแตะนิ้วไปมา และอักษรรูนก็พลันไหลบ่า พวกมันก่อขึ้นจากปราณชีวิต และฉายแสงเจิดจ้าอยู่ในอากาศพลางกะพริบไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง
ในเวลาเดียวกันนั้น ซวีเซิงฮวาก็พุ่งเข้าไปเช่นกัน และความเร็วของเขามิได้ด้อยไปกว่าฉินมู่ มือของเขาเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว และมันก็มีปราณชีวิตพวยพุ่งออกมาแปรเปลี่ยนเป็นอักษรรูนจากปลายนิ้วของเขาด้วยเช่นกัน แต่ทว่าของเขานั้นเป็นภาษาเทพ
แม้ว่าพวกมันจะเป็นคำเดียวกัน แต่วิธีการเขียนแตกต่างกัน
ฉินมู่ก้าวออกไปอีกก้าว และชี้ไปข้างหน้าด้วยมืออีกข้าง เขาจิ้มไปทุกๆ สี่ก้าว และหลังจากจิ้มแตะครั้งที่สี่ อักรรูนเคลื่อนย้ายระยะไกลก็ผสานเข้าด้วยกันเพื่อก่อเป็นทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล ผนึกบาตรทองคำเอาไว้ในนั้น
บันทึกเป็นตายพุ่งหวือเข้ามาใกล้บาตรทองคำ และถูกทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลรวบจับ อันส่งมันไปยังสถานที่ห่างออกไปยี่สิบลี้
อีกด้านหนึ่งซวีเซิงฮวาพลิกฝ่ามือของเขาขึ้น และนิพนธ์เทพเป็นร้อยก็เข้าห่อหุ้มบาตรทองคำ แต่ละนิพนธ์สะกดคำเดียวกันคือคำว่า ผนึก
คำนี้แตกต่างไปจากคำของเผ่ามนุษย์โดยสิ้นเชิง มันมีพลานุภาพอันแปลกประหลาดอยู่ข้างในนั้น เพราะถึงอย่างไรซวีเซิงฮวาก็เป็นผู้สืบทอดของเทพครองแดนหยก ชายผู้นั้นเป็นเทพเจ้า เขาย่อมมีวิชาอันมหัศจรรย์ที่แดนต่ำใต้ไม่อาจสัมผัส
ซวีเซิงฮวาคลุมบาตรทองคำเอาไว้ด้วยผนึกกว่าร้อย สะบั้นการเชื่อมต่อระหว่างเทพหมอผีขุยและบันทึกเป็นตาย
ฉินมู่นำพู่กันออกจากถุงเต๋าตี้และดึงเอาม้วนกระดาษออกมาโยนไปให้ซวีเซิงฮวา เด็กหนุ่มคว้าจับมันเอาไว้และพบว่ามันเป็นเพียงกระดาษขาว
ฉินมู่ยกพู่กันขึ้น และปลายของมันเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว เขารีบวาดพายุลมและสายฟ้าจากนั้นก็โยนบาตรทองคำเข้าไปข้างใน
มันจึงปลิวว่อนไปทั่วกลางพายุและสายฟ้า
ถัดไป ฉินมู่ส่งพู่กันให้ซวีเซิงฮวา ผู้ซึ่งยกพู่กันขึ้นจรดและเขียนคำว่าผนึกในภาษาเทพรอบๆ ลมและสายฟ้าเหล่านั้น
จากนั้นฉินมู่ก็นำตราผนึกของตนเองออกมาจากถุงเต๋าตี้และประทับลงไปที่มุมภาพวาด
ซวีเซิงฮวานำตราผนึกของตนออกมาเช่นกัน และประทับไว้ข้างๆ กัน
ฉินมู่ม้วนกระดาษกลับ และทั้งสองคนก็ระบายลมหายใจโล่งอก ในที่ไกลๆ นั้น ลิงยักษ์อสูรเหาะเข้ามาและคว้าจับสมบัติอันเรียกว่าบันทึกเป็นตาย
บนยอดเขาทองคำ ยูไลน้อยและหลวงจีนอื่นๆ หันไปมองกันและกันด้วยความหนักอึ้ง ฉินมู่และซวีเซิงฮวาวรยุทธไม่เท่าไร แต่การร่วมมือจู่โจมของพวกเขานั้นไร้ที่ติ
หนึ่งคนเคลื่อนย้ายบันทึกเป็นตายออกไปไกลๆ ส่วนอีกคนปิดผนึกบาตรทองคำเพื่อสะบั้นการเชื่อมต่อ จากนั้นฉินมู่ก็ใช้พู่กันวาดรูปส่วนซวีเซิงฮวาช่วยเขาคลี่ม้วนกระดาษ ฝ่ายหลังวาดอักษรผนึก และทั้งคู่ก็ประทับตราผนึกลงไปบนนั้น
การร่วมมือประสานนี้ราวกับว่าพวกเขาได้ฝึกซ้อมกระบวนการนี้ร่วมกันมาเป็นพันๆ ครั้ง ไหลลื่นราวกับสายน้ำ
“ไอ้เจ้าคนแซ่ฉิน เจ้ากล้าบอกชื่อจริงข้าไหมล่ะ” เทพหมอผีขุยถามมาจากภาพวาด
ฉินมู่เมินเขาและกล่าวแก่ยูไลน้อย “กำลังฝีมือของเทพหมอผีขุยนั้นยากจะคาดหยั่ง เมื่อใดที่เขารู้ชื่อของใคร เขาจะสามารถสักการะเพื่อทำลายดวงวิญญาณของท่านไปได้ ยูไลไม่รู้อิทธิฤทธิ์ของเขาจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเสียที ข้าวางแผนที่จะกำจัดมารเฒ่าตนนี้โดยเดินทางไปที่ภูเขาหยิน และเขาก็เกือบจะหลุดรอดจากการสะกดข่มของยูไลไปได้ พวกเราควรรีบกำจัดเขาโดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันเภทภัยในอนาคต! กำจัดเขาทิ้งนั้นก็เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่เช่นกัน”
ยูไลน้อยลังเล “เทพหมอผีขุยถูกวิญญาณไม่ผุดไม่เกิดมากมายนับไม่ถ้วนพัวพันอยู่ และหากว่าข้าสามารถแสดงธรรมให้เขารู้แจ้งได้ มันก็ย่อมจะเป็นสุดยอดกุศลผลบุญ แต่หากว่าข้าเพียงแต่ฆ่าเขา ข้าเกรงว่า…”
ฉินมู่ขมวดคิ้วใส่เขา “ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าใหญ่ และน้อย แตกต่างกันอย่างไร”
ยูไลน้อยเลิกคิ้วสูง “จ้าวลัทธิฉิน โปรดคืนบาตรทองคำให้แก่ข้า หลวงจีนเฒ่าผู้นี้จะนำหลวงจีนทั้งหมดบนภูเขามาร่วมกันแสดงธรรมชำระใจเขา ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะยังดึงดันต่อไปได้”
ฉินมู่ยื่นม้วนภาพวาดให้แก่เขา ซวีเซิงฮวากระแอมไอ แต่ฉินมู่ส่ายหน้า พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะบุกตะลุยออกไปจากวัดน้อยฟ้าคำรามด้วยม้วนภาพนี้ พยายามที่จะบุกฝ่าออกไปด้วยกำลังมีแต่จะนำความอดสูมาสู่ตนเองเท่านั้น
ซวีเซิงฮวาจึงได้แต่ละความคิดและกล่าว “ศิษย์พี่จ้านคง ช่วยส่งบันทึกเป็นตายให้ข้าดูหน่อย”
ลิงยักษ์อสูรส่งบันทึกให้แก่เขา และซวีเซิงฮวาก็อึ้งไปเล็กน้อย บันทึกเป็นตายมิใช่หนังสือ แต่เป็นแผ่นกระดาษบางเฉียบ มันแปลกพิสดารและมันวาวราวกับโลหะ มันกระจ่างใสอย่างสุดขีด สะท้อนแสงได้
แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือ ในบันทึกเป็นตายนี้ไม่มีอักษรหรือรูปภาพใดๆ
สายตาของซวีเซิงฮวาจับจ้องลงไปยังความว่างเปล่า และเขาถึงกับมองเห็นผู้คนตรงหน้าผ่านกระดาษอันดุจกระจกได้
“บันทึกประหลาดอะไรอย่างนี้…”
หัวใจของซวีเซิงฮวาสั่นสะท้านขึ้นมาทันที ข้างหลังบันทึกเป็นตายคือจิงเอี้ยน และเหนือร่างของนางก็มีถ้อยคำอยู่บรรทัดหนึ่ง มันเขียนว่าจิงเอี้ยน
ซวีเซิงฮวาขนหัวลุกเต็มเหยียด และเขารีบหันไปทางฉินมู่ จิงเอี้ยนหายวับไป แทนที่ด้วยรูปของฉินมู่ และชื่ออันปรากฏขึ้นมามิใช่ฉินมู่ แต่เป็นฉินเฟิงชิง!
“จ้าวลัทธิฉิน”
สีหน้าของซวีเซิงฮวากลายเป็นเคร่งขรึม เขาส่งบันทึกเป็นตายให้แก่ฉินมู่ผู้ซึ่งไม่นานก็พบวิธีใช้มัน หัวใจของเขาสะท้านอย่างรุนแรง
ไม่ใช่แค่นามของเขาเท่านั้นที่ถูกบันทึกนี้เปิดเผยออกมาได้ เหล่าหลวงจีนปีศาจบนภูเขาก็เช่นกัน ตราบเท่าที่พวกเขามีชื่อ มันก็จะปรากฏอยู่บนกระดาษแผ่นนี้!
ใครจะป้องกันตัวจากวัตถุแบบนี้ได้!
ฉินมู่เลือดในกายเย็นเฉียบ สมบัติวิเศษชิ้นนี้เผยชื่อกำเนิดของบุคคล นามที่แท้จริง!
หลวงจีนวัดน้อยฟ้าคำรามส่วนใหญ่แล้วเป็นปีศาจ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีชื่อของตนเองก่อนที่จะเกิดมีสติปัญญาขึ้นมา แต่เมื่อพวกเขามีสติปัญญาขึ้นมาเมื่อไหร่ พวกเขาก็กลายเป็นหลวงจีนและจะต้องมีชื่อ
ชื่อทางธรรมของพวกเขาจึงลงเอยด้วยการเป็นนามอันแท้จริง
ที่บันทึกเป็นตายเผยแสดงคือชื่อทางธรรมของพวกเขา!
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อฉินมู่ยังเด็ก เพื่อนรักของเขาลิงยักษ์อสูรไม่มีชื่อ และเรียกว่าลิงยักษ์อสูรเท่านั้น ฉินมู่และฮู่หลิงเอ๋อเรียกเขาบ่อยๆ ว่าเจ้าตัวใหญ่ หลังจากที่เขาเข้าร่วมวัดน้อยฟ้าคำราม เมื่อนั้นเขาถึงได้ชื่อทางธรรม จ้านคง
ในบันทึกเป็นตาย ชื่อของลิงยักษ์อสูรคือจ้านคง
ฉินมู่ชี้บันทึกเป็นตายไปที่ยูไลน้อย และเขาก็มีชื่อทางธรรมเช่นกัน คือเหยียนติ้ง
“ด้วยสมบัติชิ้นนี้ เทพหมอผีขุยมิใช่ว่าอยากจะฆ่าใครก็ได้หรอกหรือ อย่าว่าแต่เทพหมอผีขุย แม้แต่ไอ้สารเลวผานกงสั่วก็จะกลายเป็นไร้เทียมทาน!”
ฉินมู่หัวใจสั่นเทิ้ม และเขาส่องบันทึกเป็นตายไปยังกิเลนมังกร เกิดสองคำข้างบนตัวอีกฝ่าย–หลงพี
มังกรอ้วนมีชื่อด้วยหรือนี่
ฉินมู่ตกตะลึง กิเลนมังกรถูกปรมาจารย์เก็บมาเลี้ยงจากในแดนโบราณวินาศหลังจากที่อดโซมาหลายวัน เพราะว่าปรมาจารย์ให้อาหารเขา เขาจึงตามติดปรมาจารย์อย่างสลัดไม่หลุด กระนั้นกิเลนมังกรก็มีชื่อด้วยเหมือนกัน ฉินมู่ไม่รู้ว่าเป็นปรมาจารย์หรือแม่ของเขาที่ตั้งชื่อนี้ให้
วัตถุนี้ต้องทำลายทิ้ง!
ฉินมู่พยายามที่จะฉินทำลายมันโดยไม่พูดจา ซวีเซิงฮวาก้าวเข้าไปช่วย และทั้งสองคนก็ดึงคนละข้างของบันทึกเป็นตาย แต่พวกเขาก็ยังคงฉีกมันออกจากกันไม่ได้
“พวกเจ้าสองคนทำอะไร” หลวงจีนคิ้วเหลืองคนหนึ่งตะโกนออกมา
ฉินมู่นำไจกระบี่ของเขาและดึงกระบี่ไร้กังวล แต่แม้กระบี่ไร้กังวลก็ยังไม่อาจทำอะไรบันทึกสมบัตินี้ได้ เส้นสายของอักษรรูนอันอัดแน่นปรากฏขึ้นเหนือบันทึกและขัดขวางกระบี่เอาไว้
อักษรรูนเหล่านั้นพิลึกกึกกือเป็นอย่างยิ่ง และฉินมู่เห็นมันแค่แวบหนึ่งเท่านั้นก่อนที่มันจะหายไป
พวกมันดูเหมือนถ้อยคำแดนใต้พิภพ! หรือว่าสมบัติชิ้นนี้จะมาจากแดนใต้พิภพ
หนังหัวเขาชาวูบ กระบี่ไร้กังวลเป็นสมบัติวิเศษของบิดาเขา ฉินหานเจิน และเขานั้นแข็งแกร่งสักเพียงไร แม้แต่เทพครองดาวเสาร์ก็ยังถูกเขาโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส แต่กระบี่ของเขากลับไม่สามารถทำอะไรบันทึกเป็นตายได้!
นี่หมายความว่า อย่างน้อยมันจะต้องเป็นสมบัติของเทพและมารที่อยู่ในระดับเดียวกับกระบี่ไร้กังวล หรืออาจจะสูงส่งกว่าเลยด้วยซ้ำ!
ถ้าเช่นนั้น ก็กล่าวได้ว่าวรยุทธของเทพหมอผีขุยก็สูสีทัดเทียมกับฉินหานเจินหรืออาจจะเหนือกว่าด้วย!
กำลังฝีมือของเขาต้องเหนือล้ำกว่าราชครูสันตินิรันดร์ เทพเจ้าผู้บรรลุมาใหม่ๆ!
หลวงจีนคิ้วเหลืองก้าวเข้ามาและยื่นมือคว้าบันทึกเป็นตาย “จ้าวลัทธิฉิน สมบัติวิเศษชิ้นนี้เป็นของวัดน้อยฟ้าคำราม ดังนั้นโปรดคืนให้แก่พวกเรา”
ฉินมู่กวาดบันทึกเป็นตายยัดเข้าไปในถุงเต๋าตี้ จากนั้นลอบโยนมันเข้าไปในรังมังกรแท้ เขาแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ยูไลน้อย เมื่อท่านกำลังเทศนาให้เทพหมอผีขุยเกิดดวงตาเห็นธรรม ไม่กลัวว่าเขาจะเรียกบันทึกเป็นตายมาอีกหรอกหรือ ให้ข้าเก็บไว้จะดีที่สุด”
ยูไลน้อยมองที่เขาด้วยสายตาลึกล้ำและเรียกหลวงจีนคิ้วเหลืองกลับมา “ให้จ้าวลัทธิฉินเก็บไว้เอาสักสามสี่วัน พวกเราจะสำเร็จสุดยอดบุญกุศลและบรรลุเหนือเขตขั้นนี้ขึ้นไป จะไม่มีเกิดแก่เจ็บตาย และพวกเราก็จะสำเร็จเป็นพุทธเจ้า เรื่องสำคัญอยู่ตรงหน้า ดังนั้นศิษย์น้องทั้งหลาย โปรดตามข้ามาเปิดดวงตาเห็นธรรมให้แก่ศิษย์พี่”
“สาธุ!” หลวงจีนทั้งหมดกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน
ยูไลน้อยและหลวงจีนทั้งหลายนำเอาวัตถุโบราณวิเศษออกมามากมายและแขวนมันเอาไว้โดยรอบ อันดับแรกพวกเขาจัดตั้งภาพวาดของฉินมู่เอาไว้กับที่ และวางชั้นกระบวนพยุหะเอาไว้เพื่อปิดกั้นประสาทสัมผัสต่างๆ ของเทพหมอผีขุย จากนั้นพวกเขาก็เริ่มสวดภาวนาเพื่อเปิดดวงตาเห็นธรรมแก่เขา
ซวีเซิงฮวาสายตาวูบไหวไปมา และเขากล่าวด้วยเสียงเบา “จ้าวลัทธิฉิน พวกเราควรจากไปหรือไม่”
ฉินมู่ส่ายหัว “ข้าไปไม่ได้หรอก หากว่าเทพหมอผีขุยยังไม่ชำระล้างกลับใจ ข้าก็ไม่มีวันเป็นสุข”
ลิงยักษ์อสูรผงกหัว “ตาย เป็นสุข”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “เจ้าตัวใหญ่พูดถูกต้อง! แต่ทว่ายูไลน้อยนั้นยืนกรานที่จะชำระล้างจิตใจเขาให้มองเห็นธรรม ทว่าจากที่ข้าดูแล้ว มันคงจะยากลำบาก”
ซวีเวิงฮวาลุกขึ้นและกล่าวกับจิงเอี้ยน “จ้าวลัทธิกังวลถึงสถานการณ์ของโลกหล้า แต่พวกเรานั้นเป็นเพียงเมฆที่ไหลลอยไป ไม่มีความจำเป็นที่พวกเราจะต้องอยู่ที่นี่”
จิงเอี้ยนผงกหัวและทั้งสองคนก็เดินลงไปจากภูเขา
“ข้าฝึกปรือท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปด ส่วนเจ้าได้หลอมรวมขั้นหกทิศเข้ากับเจ็ดดาว เจ้าไม่อยากเรียนท่วงท่ากระบี่ของข้าหรือ ข้าก็อยากเรียนรู้ว่าเจ้าหลอมรวมขั้นหกทิศเข้ากับเจ็ดดาวเป็นหนึ่งได้อย่างไรเหมือนกัน” ฉินมู่กล่าวอย่างไม่รีบร้อน
ซวีเซิงฮวายั้งเท้าและหันหน้ากลับมาด้วยรอยยิ้ม “ข้านึกว่าจ้าวลัทธิจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้เสียอีก ในเมื่อท่านเป็นคนที่หยิ่งยโส สายตาสูงส่ง และไม่สนใจเกียรติยศชื่อเสียง หากว่าเจ้าต้องการเรียน ข้าก็จะสอน!”
ฉินมู่ส่งยิ้มให้แก่เขา “เจ้าไม่อยากเรียนท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปดของข้าหรือ”
“ข้าไม่!” ซวีเซิงฮวาตอบอย่างขวานผ่าซาก “เพลงกระบี่ของข้ามิได้สูงส่งเลิศล้ำขนาดนั้น และการโจมตีหลักของข้าก็ไม่ได้ขึ้นกับกระบี่”
ฉินมู่สีหน้ามืดคล้ำทันที
……………………………..