แม้ว่าพวกสาวๆ จะฝึกปรือเวทมนตร์จำนวนหนึ่งของแผ่นดินตะวันตก และรู้ว่ามีสถานที่อันเรียกว่าตำหนักสวรรค์แท้ แต่พวกนางไม่รู้ว่ามันตั้งอยู่ที่ไหนแน่ชัด
แผ่นดินตะวันตกกว้างใหญ่ไพศาล ไม่น้อยไปกว่าสันตินิรันดร์หรือแดนโบราณวินาศ ผู้คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในสันตินิรันดร์รู้จักสำนักเต๋า แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่รู้ว่ามันตั้งอยู่ที่ใด
ผู้คนในแผ่นดินตะวันตกก็เหมือนกัน
ฉินมู่นึกย้อนเสียใจนิดๆ ที่ได้สังหารศิษย์หญิงตำหนักสวรรค์แท้คนนั้นไป
ตรงหน้า เมืองอันยิ่งใหญ่ตระการปรากฏในสายตาของเขา และเหล่าดรุณีบอกว่าพวกนางไปที่นั่นเพื่อร่วมงานตลาดเทศกาล เมืองนี้มีนามว่าเมืองหอมเบ่งบาน และเต็มไปด้วยดอกไม้สดที่บานสลอนไปหมด เถาวัลย์เขียวเลื้อยไต่ไปทั่วกำแพงเมือง และดอกไม้ใหญ่ก็บานประชันกันบนผนัง ป้อมปราการเองก็ประดับประดาไปด้วยดอกไม้ที่งอกงามในสีม่วงเลอเลิศและสีแดงฉูดฉาด พวกมันสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเข้าไปใกล้ ฉินมู่ก็พบว่าดอกไม้เหล่านั้นเหมือนจะมีจิตวิญญาณ ในเมื่อมีดรุณีหน้าตาสะสวยผุดออกมาจากข้างใน พวกนางขับร้องเพลงพื้นถิ่นอันเขาไม่เข้าใจความหมาย หลังจากตื่นจากภวังค์ของมนตร์เสน่ห์ชวนลุ่มหลงของนครแห่งนี้และผู้คนของมัน พวกเขาตกแต่งทิวทัศน์ของเมืองหอมเบ่งบานให้วิจิตร
ที่นั่นมีสาวน้อยพลูด่างหัวใจสวมใส่ชุดเขียว และสาวน้อยต้นชิวไห่ถัง[1]ที่หอบดอกไม้สีแดงฉูดฉาดไปมาระหว่างอาคารสูง
และยังมียักษ์ที่ก่อขึ้นมาจากหินเคาะตีกลองอยู่ และดอกไม้ไม่รู้ชื่อที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า จิตวิญญาณของพวกมันเล่นขลุ่ยและปี่แป้ประสาทไปกับจังหวะกลองของยักษ์หิน
ฉินมู่รู้สึกว่าตนเป็นพวกบ้านนอกขึ้นมา สิ่งใหญ่มหึมาเดินไปเดินมาบนท้องถนน และพวกมันก็คือบ้านเรือนที่งอกขา เด็กหญิงและเด็กชายยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองไปรอบๆ และส่งเสียงคิกคักดังสดใส ทั้งยังมีริ้วธงหลากสีที่สะบัดไหวในสายลม บินวกไปเวียนมาจากหน้าต่างบานหนึ่งไปยังอีกบานหนึ่ง ก่อขึ้นมาเป็นสะพาน เด็กสาวสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์วิลิศมาหรามากมายก็เหยียบย่างไปบนริ้วธงเหล่านั้นเพื่อข้ามผ่านอากาศไปหาคนรักของพวกนาง
“นี่คือเทศกาลภูเขาดอกไม้” เสียงฉีเอ๋อกล่าวอย่างตื่นเต้น “แม่ของข้าพาข้าออกมาเที่ยวเล่นที่นี่มาก่อน! เทศกาลภูเขาดอกไม้ที่ตำหนักสวรรค์แท้จะยิ่งครึกครื้นกว่านี้อีกนะ!”
ฉินมู่แยกทางจากพวกสาวๆ บนหีบ และกิเลนมังกรก็แบกพวกเขาไปตามถนนอันวิจิตรตระการ ภาพอันเจริญรุ่งเรืองของแผ่นดินตะวันตกนั้นเกินจินตนาการ มันต่างกันไปคนละโลกกับสันตินิรันดร์ แต่ก็มีเสน่ห์อันไม่ซ้ำใคร
พวกเขาเดินผ่านเมืองอันเต็มไปด้วยเด็กสาวที่โยนถุงหอมให้แก่ฉินมู่ มีบางคนหนึ่งใจกล้าขนาดว่าเหยียบบนริ้วธงเข้ามาคว้ามือของเขาหมายจะลักไปกกกอดในยักษ์เรือนตึก
ฉินมู่ปล่อยมือของเด็กสาวผู้นั้น และนางก็เหมือนกับเซียนสาวที่โผบินกลับเข้าไปในตึกที่มีชีวิต ออกไปเสาะหาชายรูปงามคนอื่นๆ ต่อ
ศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้ที่เขาพบในแผ่นดินตะวันตกนั้นดุร้ายเหี้ยมโหด ทำให้เขาก็ไม่มีความประทับใจที่ดีอันใดต่อสตรีแห่งแผ่นดินตะวันตก แต่ทว่าหลังจากที่เขาได้มายังเมืองหอมเบ่งบาน เขาก็ถูกดึงดูดให้ลุ่มหลงในวัฒนธรรมพื้นถิ่นและขนบธรรมเนียมของที่นี่
เทศการภูเขาดอกไม้ที่จัดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งต่อปีนั้นคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
ฉินมู่ข้ามผ่านฝูงชน ยักษ์ตึก และยักษ์บ้านเรือน จนกระทั่งเขามาถึงใจกลางเมืองแห่งนี้ มันเงียบกว่าและครึกครื้นน้อยกว่า
“หนึ่งในผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่น่าจะเป็นเจ้าเมืองของเมืองหอมเบ่งบาน ข้าคงจะได้ข่าวของตำหนักสวรรค์แท้จากเขาหรือไม่ก็จากบุคคลสำคัญคนอื่นๆ”
ในตอนนั้นเอง ก็มีเถาวัลย์เขียวงอกขึ้นมาอย่างรวดเร็วและลอยขึ้นมาถึงตรงหน้าฉินมู่ ที่ปลายเถาวัลย์มีดอกไม้ดอกหนึ่งอันกำลังเบ่งบานออกมา เด็กสาวในชุดสีชมพูโผล่ออกจากดอกไม้และแย้มยิ้มอย่างหวานหยด “ท่านคือคุณชายฉินหรือเปล่า”
ฉินมู่พยักหน้า
เด็กสาวผู้นั้นเดินออกมาจากดอกไม้ แต่ยังมีเกสรดอกไม้ที่เชื่อมต่อหลังของนางเอาไว้ นางแย้มยิ้ม “คุณชาย นายของข้าได้เชื้อเชิญท่าน โปรดติดตามข้ามา”
“มีคนที่นี่รู้จักข้าด้วยหรือ” ด้วยความตกตะลึง ฉินมู่ก็ปีนลงจากหลังกิเลนมังกร “แม่นาง โปรดนำทาง”
หญิงผู้นั้นก็ลงมาเหยียบที่พื้นและนำทางพวกเขาไปยังบ้านใหญ่หลังหนึ่งอันดูราวกับคฤหาสน์ รูปแบบการตกแต่งนั้นดูน่าเกรงขาม สิงโตหินสองตัวยืนขึ้นและหันมามองดูฉินมู่และกิเลนมังกร ก่อนจะหมอบนั่งกลับไปยังแท่นหินของพวกมันตามเดิม
ฉินมู่ตามแม่นางในดอกไม้เข้าไปในบ้านและเห็นเด็กหนุ่มและเด็กสาวมากมายเข้าออกกันขวักไขว่ มันคึกคักเป็นอย่างยิ่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาส่วนใหญ่แปลงกายมาจากดอกไม้ ต้นไม้ ใบหญ้า และก้อนหยก มีกระทั่งพวกที่มีจิตวิญญาณขึ้นมาจากทองคำทมิฬและทองแดงทมิฬ
“คฤหาสน์นี้มิได้ก่อสร้างตามแบบแผ่นดินตะวันตก แต่เป็นแบบสันตินิรันดร์…ช้าก่อน ทองคำทมิฬและทองแดงทมิฬพวกนี้…”
ฉินมู่ตะลึงไปเมื่อสายตาเขาจ้องไปจับที่หม้อน้ำเดินได้อันมีอาหารอยู่ข้างใน มันกระโดดขึ้นไปบนหัวมนุษย์ไฟ และปรุงอาหารในนั้นด้วยตนเอง
“หม้อน้ำใหญ่นี้เป็นอาวุธวิญญาณ! แม้แต่อาวุธวิญญาณก็กลายเป็นพรายวิญญาณได้หรือ”
ฉินมู่พลันรู้สึกว่าทุกอย่างกระจ่างแจ้งขึ้นมา เขาจึงก้าวช้าลงอย่างไม่รู้ตัวและเข้าสู่ภวังค์
เขาสามารถสัมผัสได้ถึงทางลัดในการปฏิรูป! มันคือการนำแนวคิดอุดมการณ์ของทุกสิ่งมีดวงจิตและทุกสิ่งมีดวงวิญญาณเข้าไปในสันตินิรันดร์ อันจะสร้างคลื่นแห่งการปฏิรูปลูกใหม่ขึ้นมา!
หากว่าอาวุธวิญญาณของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์สามารถเกิดมีดวงจิตขึ้นมาได้ กำลังฝีมือของทุกคนก็จะเพิ่มพูนอย่างน่าแตกตื่น! ไม่เพียงแค่นั้น ด้วยการหลอมรวมสองระบบวรยุทธเข้าด้วยกัน ก็จะสามารถสรรค์สร้างเวทมนตร์และทักษะเทวะใหม่ๆ ได้อีกมาก ทั้งยังจะหลากหลายคล่องตัวขึ้นอีกด้วย!
อาวุธวิญญาณของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์มิใช่อาวุธที่มีจิตวิญญาณอย่างแท้จริง ด้วยว่ามันเพียงแต่เกิดขึ้นและบำรุงหล่อเลี้ยงเอาไว้ในทักษะเทวะเท่านั้น แต่หากว่าพวกเขาดูดซับแนวคิดอุดมการณ์แห่งแผ่นดินตะวันตกเข้าไป พวกมันก็จะกลายเป็นอาวุธวิญญาณอย่างจริงแท้ที่สุด!
เวทมนตร์ของสันตินิรันดร์ให้ความสำคัญกับพลังโจมตี และมันก็มีวิชาฝึกปรือพิสดารและทักษะอันมหัศจรรย์ทุกรูปแบบ เวทมนตร์แห่งแผ่นดินตะวันตกนั้นด้อยกว่าในด้านพลังโจมตี และพวกเขาก็ยังขาดวิธีการโจมตีไปมาก แต่ทว่าวิธีการของทุกสิ่งมีดวงจิตสามารถทำให้อาวุธวิญญาณทั้งหลายกลายเป็นอาวุธวิญญาณที่แท้จริง! ด้วยระบบวรยุทธทั้งสองระบบนี้ พวกเราก็จะสามารถส่งเสริมซึ่งกันและกันได้! ปัญหาที่ยากที่สุดก็คือ จะหลอมรวมเวทมนตร์แห่งทุกสิ่งมีดวงจิตจากแผ่นดินตะวันตกเข้ากับวิชาฝึกปรือแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้อย่างไร และจะทำอย่างไรถึงจะทำให้ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์สามารถหยั่งสัมผัสได้ถึงดวงจิต และปลุกดวงจิตนั้นขึ้นมาในอาวุธวิญญาณของพวกเขา
นั่นผู้ชายนี่!
ฉินมู่งงงัน เมืองหอมเบ่งบานนี้เป็นเมืองอันรุ่งเรืองมั่งคั่งชัดๆ ตามหลักแล้ว มันน่าจะเป็นสตรีที่ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการ แต่ทำไมที่นี่จึงกลายเป็นว่ามีบุรุษคนหนึ่งนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงส่งแทนล่ะ
เขามองไปยังชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มาต้อนรับเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มผู้นี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยแก่เขา ราวกับว่าเคยเห็นมาจากที่ไหนสักแห่งมาก่อน แม้ว่าฉินมู่จะแน่ใจว่าเขาไม่เคยพบกับชายผู้นี้มาก่อน
กิเลนมังกรพลันตื่นเต้นขึ้นมา และกล่าวด้วยเสียงเบา “จ้าวลัทธิ ท่านไม่คิดหรอกหรือว่าเขาดูคล้ายกับปรมาจารย์อยู่หน่อยๆ นะ”
ฉินมู่ตะลึง เขารู้สึกว่าทั้งสองคนดูคล้ายกันจริงๆ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความประทับใจอันดีต่ออีกฝ่าย เขาคารวะทักทาย “จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ฉินมู่ น้อมคารวะเจ้าของสถานที่แห่งนี้”
ชายหนุ่มคารวะตอบไปและพิธีมารยาทของเขาก็เป็นแบบจักรวรรดิสันตินิรันดร์ “จ้าวลัทธิฉิน เกอเคอขอน้อมคารวะท่าน ไม่นานมานี้ รูปวาดของจ้าวลัทธิได้แพร่กระจายไปทั่วแผ่นดินตะวันตก และชื่อเสียงของท่านก็กำจรไปไกล สร้างความสนใจอึงอลทั่วไปหมด ผู้เปี่ยมความสามารถรุ่นเยาว์มากมายหมายที่จะพบกับจ้าวลัทธิฉิน เชิญทางนี้ จ้าวลัทธิฉิน”
ฉินมู่สีหน้ามืดคล้ำ ในเมื่อเขาพาเสียงซีอวี่มาด้วย เขาก็กะจะให้ราชครูและเสียงซีอวี่เป็นแนวหน้า ชื่อเสียงเกียรติภูมิของสองคนนั้นกระเดื่องดังยิ่งกว่าเขามากนัก ในเมื่อหนึ่งนั้นเป็นราชครูแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ และอีกหนึ่งนั้นคือจ้าวตำหนักคนก่อนแห่งตำหนักสวรรค์แท้ พวกเขาน่าจะจับความสนใจของแผ่นดินตะวันตกเอาไว้ และถ้าเป็นแบบนั้น ก็จะไม่มีใครสังเกตเห็นเขากับเสียงฉีเอ๋อ อันทำให้การเดินทางของพวกเขาก็จะปลอดภัยขึ้นมาก
จุดมุ่งหมายของเขาที่มาที่นี่ก็เพื่อทำความคุ้นเคยกับธรรมเนียมสังคมแห่งแผ่นดินตะวันตก ในอนาคต จักรวรรดิสันตินิรันดร์จะยกกองกำลังมาที่นี่อย่างแน่นอนและเข้ายึดครอง เพิ่มมันเข้าไปในส่วนหนึ่งของอาณาเขต
เป้าหมายของราชครูสันตินิรันดร์นั้นเป็นแนวทางจากบนลงล่าง ด้วยการยึดตำหนักสวรรค์แท้มาไว้ในกำมือ ก่อนที่จะเรียกศึกก่อสงคราม และให้ตำหนักสวรรค์แท้ยอมศิโรราบและสวามิภักดิ์ต่อสันตินิรันดร์ อันจะช่วยลดทอนการบาดเจ็บล้มตายลงไปได้มาก
แต่ฉินมู่ไม่คาดคิดเลยว่าเป็นเพราะไอ้ลูกเต่าผานกงสั่วที่สอดมือเข้ามา การปรากฏตัวของเขาในแผ่นดินตะวันตกจึงกลายเป็นที่รู้กันโดยทั่วไป และประกาศจับอันมีรูปของเขาก็แปะไปทั่วทุกเมืองน้อยใหญ่ในแผ่นดินตะวันตก
“พี่เกอเคอสุภาพเกินไปแล้ว”
ฉินมู่เดินไปกับเขา และพบว่าทั้งหญิงและชายรอบตัวเกอเคอนั้นไม่อ่อนแอเลยสักนิด มีกำลังฝีมืออันโดดเด่นเหนือธรรมดา แต่ทว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนแต่มองมาที่ฉินมู่ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร อดใจรอแทบไม่ได้ที่จะได้สู้ต่อยตี แต่ในเมื่อมีเกอเคอเป็นผู้เหย้า พวกเขาก็ยังไม่หักหน้าลงมือกันทันที
ฉินมู่มองไปยังเกอเคอด้วยความสงสัยใจเล็กน้อย ชายหนุ่มผู้นี้ดูคล้ายคลึงกับปรมาจารย์เยาว์ และคฤหาสน์นี่ก็เป็นแบบของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ไม่ใช่สถาปัตยกรรมโค้งกลมของแผ่นดินตะวันตก พิธีมารยาทของเกอเคอเองก็เป็นแบบที่เขาคุ้นเคยดี ดังนั้นหรือนี่จะเป็นดอกผลอันเกิดขึ้นมาจากการที่ปรมาจารย์มาวิวาห์เยือนที่แผ่นดินตะวันตก
แต่นี่ไม่ถูกต้อง! เขาไม่ได้ดูแก่ขนาดนั้น แต่เพียงราวๆ สิบเจ็ดปีเท่านั้น แม้ว่าปรมาจารย์จะดูหล่อเหลาและรวยเสน่ห์ แต่เขาก็ยังเป็นเฒ่ากระดูกผุเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน ดังนั้นเขาจะวิ่งเร่มาที่แผ่นดินตะวันตกเพื่อวิวาห์เยือนได้อย่างไร แต่อีกแง่ ปรมาจารย์ก็ดูเหมือนเด็กหนุ่ม เช่นนั้นเกอเคอก็อาจจะฝึกปรือวิชาเสกสรรในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต จึงไม่แก่เฒ่าลงไป
เกอเคอนำทุกๆ คนขึ้นไปบนตึกสูง และมันมียวดยานเข้ามาที่นั่นจากทุกหนแห่ง ผู้คนที่มาล้วนแต่มีศักดิ์ฐานะไม่ธรรมดา ฉินมู่เห็นบางคนขี่มาบนก้อนเมฆอันผูกไว้กับต้นไม้โบราณ มีสัตว์พิสดารทุกรูปแบบ แม้กระทั่งภูเขาลูกย่อมๆ!
ผู้มาย่อมเป็นชนชั้นที่มิได้ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม พวกเขาล้วนแต่ดูเยาว์วัยและน่าจะเป็นบุคคลสำคัญในศักดิ์ฐานะต่างๆ มาเพื่อร่วมเทศกาลภูเขาดอกไม้ เพราะว่าจะอย่างไร ก็คงไม่มีใครเลือกผู้เฒ่าคนชราเป็นคู่ร่วมอภิรมย์ในเทศกาลภูเขาดอกไม้หรอก
เกอเคอเชิญพวกเขามานั่งเก้าอี้และฉินมู่ก็ข่มระงับความสงสัยในหัวใจพลางนั่งลงด้วย เกอเคอปรบมือหนึ่งที และก็มีคนรับใช้ผู้หนึ่งนำภาพวาดมา
ผู้เหย้าหนุ่มคลี่ม้วนภาพออก และมิใช่ภาพอื่นใดนอกจากภาพวาดของจ้าวลัทธิมาร จากนั้นเขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตำหนักสวรรค์แท้ส่งภาพวาดของจ้าวลัทธิฉินไปทั่ว และกล่าวว่าท่านเป็นผู้ลักลอบหลบหนีจากแดนโบราณวินาศ ข้าก็คิดสงสัยอยู่ว่าจ้าวลัทธิฉินผู้ใจกล้านี้จะเข้ามาในเมืองหอมเบ่งบานของข้าหรือไม่ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าเขาจะเข้ามาจริงๆ จ้าวลัทธิฉินมู่กำลังฝีมืออันเหนือธรรมดาและกึ๋นที่ใหญ่โตมิใช่น้อย ดังนั้นเชิญมาชมดูเหล่าผู้เปี่ยมความสามารถแห่งแผ่นดินตะวันตกของข้า จอมยุทธหญิงผู้นี้คืออวี้จิ่นฟางซึ่งมีสาแหรกตระกูลอันลึกล้ำ สาเหตุที่พี่สาวอวี้แซ่อวี้นั้นก็เพราะว่าบรรพบุรุษของนางมาจากแขนงหนึ่งของตระกูลอวี้แห่งแผ่นดินตะวันตก จ้าวลัทธิฉินคงรู้จักใช่ไหม”
ฉินมู่ผงกหัวแล้วกล่าว “เจ้าตำหนักแห่งตำหนักสวรรค์แท้คนปัจจุบันเป็นของตระกูลอวี้”
เกอเคอแย้มยิ้มและกล่าว “พี่สาวอวี้มีที่ดินใหญ่หมื่น เทือกเขาแปด และยังเป็นผู้สืบทอดของตระกูลอวี้ วรยุทธของนางอยู่ที่ขั้นเจ็ดดาว”
ฉินมู่ผงกหัวให้แก่อวี้จิ่นฟางด้วยรอยยิ้ม
นางยิ้มนิดๆ ให้เขาเป็นการตอบกลับ
เกอเคอจึงกล่าวต่อ “ยังมีบุรุษหลายคนที่เป็นผู้ดูแลกิจการครอบครัวในแผ่นดินตะวันตก นี่คือนายน้อยแห่งสำนักมณฑลสวรรค์แห่งแผ่นดินตะวันตก เยว่ชิงซาน สำนักมณฑลสวรรค์นั้นนำโดยบุรุษและวิธีการฝึกวรยุทธของพวกเขาคล้ายคลึงกับของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ พวกเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในแผ่นดินตะวันตก พี่เยว่ชิงซานนั้นมีวรยุทธขั้นหกทิศ”
ฉินมู่ทักทายเขา
เยว่ชิงซานนั้นค่อนข้างหยิ่งยโสและกล่าว “แม้ว่าข้าจะอยู่ในขั้นหกทิศ แต่เวทมนตร์และทักษะเทวะของสำนักมณฑลสวรรค์ของข้ามีรากเหง้าอันเก่าแก่โบราณ พวกมันถูกถ่ายทอดมาโดยทวยเทพ”
ฉินมู่สนใจขึ้นมาทันทีและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเคยเห็นวิชาของเทพเจ้ามากมาย และพวกมันก็ไม่เลวเลยจริงๆ นั่นแหละ”
“และแม่นางผู้นี้ก็ไม่ธรรมดา แต่นางมิได้มาจากเมืองหอมเบ่งบานของพวกเรา นางมาจากตำหนักสวรรค์แท้ ศิษย์พี่หญิงถิงฟาง” เกอเคอกล่าว
ฉินมู่มองไปที่สตรีนางนั้นและเห็นว่านางก้าวออกมาข้างหน้าด้วยเสื้อผ้าอันวิจิตรตระการ นางมีรูปโฉมเลิศล้ำ เขาจึงเอ่ยชม “อุทยานเต็มไปด้วยบุปผาเบ่งบานชูช่อ ศิษย์พี่ถิงฟางมีนามอันไพเราะนัก”
ถิงฟางแย้มยิ้มและกล่าว “จ้าวลัทธิฉิน เป็นผู้อาวุโสในตำหนักสวรรค์แท้ที่ต้องการทวงความยุติธรรมจากเจ้า มิใช่ข้าเกลียดชังเจ้าเป็นการส่วนตัว โปรดอภัย”
เกอเคอจึงแนะนำปูมหลังความเป็นมาของทุกๆ คน และล้วนแต่สำคัญไม่ธรรมดา
ฉินมู่ส่งยิ้มให้แต่ละคนไม่พลาดใคร วรยุทธของผู้คนเหล่านี้ค่อนข้างสูง และพวกเขานับได้ว่าโดดเด่นน่าประทับใจในหมู่รุ่นเยาว์
เมื่อการแนะนำตัวเสร็จสิ้น ฉินมู่ก็แย้มยิ้มและกล่าว “พี่เกอเคอได้แนะนำผู้คนมากหลายปานนี้ แต่ไฉนพี่ท่านไม่แนะนำตนเองล่ะ”
เกอเคอหัวเราะและกล่าว “ข้าเป็นเพียงเจ้าของที่ดินในสถานที่แห่งนี้ เมืองหอมเบ่งบานเป็นสมบัติที่บิดามารดาหลงเหลือไว้ให้ข้า อันมิใช่อะไรที่ควรค่าแก่การเอ่ยอ้าง จ้าวลัทธิฉิน ด้วยยอดฝีมือทั้งหลายที่ดาหน้าออกมาและหมายจะกำราบท่าน ท่านจะทำอย่างไร”
ฉินมู่มองไปรอบๆ และกล่าวอย่างจริงใจ “ศิษย์พี่หญิงและชายทั้งหลาย พวกท่านก็ล้วนแต่ดูท่าจะผู้เปี่ยมความสามารถ เหตุใดจึงมาหาที่ตายถึงนี่ล่ะ”
………………
[1] ต้นชิวไห่ถัง ต้นบีโกเนีย