ฉินมู่นำหีบเดินตามป๋ายชิงฝู่ ป๋ายฉวีเอ๋อ และคนอื่นๆ ไปยังจวนเจ้าเมืองแห่งเมืองร้อยมั่งคั่ง ระหว่างทาง จิตใจเขาครุ่นคิดแต่คำพูดของผานกงสั่ว และก็รู้สึกร้อนรนใจ
แม้ว่าผานกงสั่วจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตของเขา แต่เขาก็เป็นตัวประหลาดเฒ่าที่ดำรงชีวิตมาเป็นหมื่นปี ความรู้ของเขากว้างใหญ่ไพศาล และคำพูดของเขาก็มีเหตุผลในแง่มุมหนึ่ง
ยุคสมัยที่พวกเขาเหยียบยืนอยู่นี้ ได้จบสิ้นไปแล้วอย่างน้อยก็สามหมื่นปีก่อน ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งได้อยู่ปากเหวที่กำลังพังทลาย ดังนั้นจึงเป็นสถานการณ์อันกอบกู้ไม่ได้ พวกเขาได้มายังสถานที่นี้บนหลังหีบของซิงอ้านด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่หากว่าพวกเขาได้กระทำบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ มิใช่ว่าประวัติศาสตร์ทั้งเล่มจะถูกลิขิตใหม่หมดหรอกหรือ
หรือว่าประวัติศาสตร์ถูกลิขิตใหม่ แล้วยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งจะดำรงอยู่หรือไม่ แล้วสันตินิรันดร์จะมีขึ้นมาไหม
ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ แล้วพวกเราจะยังดำรงอยู่ไหม
การเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้เพียงเส้นผมก็สามารถส่งผลให้เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโลกาสำหรับ ‘ชนรุ่นหลัง’!
“พี่ฉิน พี่ผาน ไม่ต้องกังวล ดาวปากวาฬปลาใต้นั้นห้อมล้อมและคุ้มกันสรวงสวรรค์เอาไว้ ดังนั้นแสนยานุภาพของพวกเขาจึงแข็งแกร่งอย่างสุดขีดขั้ว และแสนยานุภาพของสภาสวรรค์ก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัว ด้วยมีจักรพรรดิสูงส่งบัญชาการศึกด้วยตนเอง มันจะต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
ป๋ายชิงฝู่เชิญพวกเขาไปนั่ง และโคมไฟทั้งหลายก็ถูกจุดสว่าง ลูกแก้วมังกรลอยเลื่อนอยู่กลางเวหา และสาดแสงลงมายังสถานที่นี้ราวกับเวลากลางวัน
ป๋ายชิงฝู่เห็นฉินมู่สีหน้าไม่สู้ดีจึงคาดเดาว่าเขากำลังวิตกเรื่องความปลอดภัยของแนวหน้า เขาจึงกล่าวปลอบใจ “ดาวปากวาฬปลาใต้ได้ต่อสู้กับพวกมันมานับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่ปล่อยให้ศัตรูบุกฝ่ามาได้ แม้ว่ามารร้ายนอกโลกจะมาจากอิทธิพลอำนาจใหญ่แห่งหนึ่ง แต่เมืองร้อยมั่งคั่งของพวกเราก็มิใช่ว่าจะตอแยได้โดยง่าย ดาวปากวาฬปลาใต้แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาคือหนึ่งในสี่กองทัพใหญ่แห่งสภาสวรรค์”
ฉินมู่หวนรำลึกถึงโครงกระดูกของเทพเจ้าทั้งหลายแห่งดาวปากวาฬปลาใต้ในทะเลทรายทองคำ และยิ่งวิตกกังวล ทวยเทพแห่งดาวปากวาฬปลาใต้ได้ตายในการสู้รบขณะที่กำลังปกป้องมาตุภูมิ
ใครจะรู้ว่าศึกที่ว่านั้น คือศึกที่กำลังดำเนินไปในขณะนี้หรือไม่
บางที พวกเราอาจจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่าพวกเราจะทำอะไร สิ่งที่จะต้องเกิด ก็จะเกิดขึ้นมาอยู่ดี
ฉินมู่พลันมีความคิดหนึ่ง บางทีข้าอาจจะอยู่ในปรากฏการณ์ประหลาดพิสดารของแดนโบราณวินาศ ข้าเคยประสบเสียงสะท้อนของประวัติศาสตร์มาแล้ว หรือว่านี่จะเป็นเสียงสะท้อนแห่งกาลและอวกาศ ทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลของผู้สูงศักดิ์ไม่มีทางแข็งแกร่งเพียงพอที่จะส่งพวกเราข้ามเวลาหลายหมื่นปีได้หรอก
บางทีนี่อาจจะเป็นเพียงแค่เสียงสะท้อนของกาลอวกาศอันเกิดจากปรากฏการณ์ประหลาดในแดนโบราณวินาศ กาลและอวกาศในอดีตสะท้อนไปยังอนาคต ลงบนร่างกายของพวกเรา หลังจากที่อรุณรุ่งมาถึง ทุกอย่างก็จะหายไป และไม่ว่าพวกเราจะทำอะไร ประวัติศาสตร์ก็จะยังคงวิ่งไปตามเส้นทางของมัน
หลังจากตัดสินใจเรื่องนี้ เขาก็สงบนิ่งลง เหมือนยกภูเขาออกจากบ่า เขาสนทนาอย่างรื่นเริงกับพี่ชายน้องสาวคู่นี้ แลกเปลี่ยนฝีมือและความคิดเกี่ยวกับเพลงกระบี่กับพวกเขา
สองพี่น้องแตกตื่นอย่างระงับไม่อยู่ ป๋ายชิงฝู่ร้องออกมา “หลังจากสิบสี่ท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน ยังคงมีอีกสี่ท่วงท่ากระบี่หรือ ใครเป็นคนคิดค้นมัน ใครมีพรสวรรค์และแรงทะยานใจขนาดนั้น”
ฉินมู่พึมพำกับตนเองครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินที่จะบอกไปตามตรง “ผู้ที่คิดค้นท่วงท่ากระบี่ที่สิบห้า สิบหก และสิบเจ็ดนั้นคืออัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี พรสวรรค์และแรงทะยานใจของเขาสูงส่งถึงขนาดที่ว่าข้าก็ชื่นชมเขาอย่างไม่รู้จบ”
“อัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี?”
ป๋ายฉวีเอ๋อฉงนใจและถาม “พี่มู่ มีเรื่องราวเบื้องหลังอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปีไหม”
ฉินมู่เองก็ไม่รู้มากมายนัก “ข้าได้ยินว่าทุกๆ ห้าร้อยปีในโลกแห่งนี้ จะมีอัจฉริยะที่เต็มปริ่มไปด้วยพรสวรรค์ฟ้าประทาน เขาก็จะก่อตั้งคุณธรรม กุศล และความคิดของเขาในนิพนธ์ข้อเขียน และกลายเป็นนักบุญศักดิ์สิทธิ์ นั่นจึงเป็นเหตุที่เขาจะถูกเรียกว่าอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี ส่วนว่าคำเล่าขานพวกนี้จะมาจากที่ใด ข้าไม่ทราบชัด”
“ที่แท้ก็แบบนี้”
พี่ชายและน้องสาวพลันกระจ่างแจ้งขึ้นมา ภรรยาของป๋ายชิงฝู่แย้มยิ้มและกล่าว “เมืองร้อยมั่งคั่งของพวกเรานั้นเล็ก และไม่สามารถเข้าร่วมอันดับของเมืองเทพยดาได้ ดังนั้นพวกเราจึงไม่รู้เกี่ยวกับคำเล่าขานนี้ พี่ที่นับถือฉินคงจะมาจากเขตแคว้นใหญ่ และรู้เรื่องต่างๆ มากมาย”
ป๋ายฉวีเอ๋อพลันกระวนกระวายและกระซิบถาม “พี่สะใภ้ เขาจะรังเกียจข้าไหมที่ข้าเป็นคนในเขตแคว้นเล็กๆ”
ภรรยาของป๋ายชิงฝู่หัวเราะเบาๆ “แม้ว่าเมืองร้อยมั่งคั่งจะเป็นเขตแคว้นเล็ก แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นองค์หญิงน้อยแห่งตระกูลป๋าย ดังนั้นสถานะเจ้าสูงส่งพอ ไม่ต้องห่วงหรอก ยิ่งไปกว่านั้น มีนิสัยใจคอเข้ากันได้นั้นสำคัญยิ่งกว่าการมีสถานะทางสังคมทัดเทียมกัน”
ป๋ายฉวีเอ๋อฟังแล้วค่อยสบายใจขึ้น
ป๋ายชิงฝู่สงสัยใคร่รู้ “พี่ที่นับถือฉินกล่าวว่าสามท่วงท่ากระบี่นั้นถูกคิดค้นขึ้นมาโดยอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเช่นนั้นใครเป็นผู้คิดค้นท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปด”
ฉินมู่หน้าแดงเขินและกล่าว “ท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปด ถูกข้าคิดค้นขึ้นมาโดยบังเอิญ”
ทุกคนสะท้านใจอย่างรุนแรง แม้แต่ใบหน้าซีดเผือดของผานกงสั่วก็เต็มไปด้วยความชื่นชมระคนความริษยา ไอ้เด็กแซ่ฉินนี่มันเก่งกาจจริงๆ ถึงกับสามารถคิดค้าท่วงท่ากระบี่พื้นฐานได้และเปลี่ยนมรรคาและวิชาแห่งฟ้าและดิน…พวกเราจบเห่ จบเห่แน่นอน ไอ้เด็กบ้าดีเดือดนี่มันถ่ายทอดเพลงกระบี่ของชนรุ่นหลังให้กับคนรุ่นก่อนหน้าและเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ พวกเราทั้งหมดจะต้องหายไป…
ฉินมู่และคนอื่นๆ สนทนากันด้วยความรื่นรมย์และไหวพริบ สักพักหนึ่งเขาก็นำรังมังกรแท้ออกมา และเชิญป๋ายชิงฝู่กับป๋ายฉวีเอ๋อเข้าไปข้างใน เพื่อที่จะขอให้พวกเขาช่วยถอดความในนิพนธ์ แม้ว่าเขาจะถอดความไปได้หลายส่วนแล้ว แต่ก็ยังมีนิพนธ์มังกรจำนวนมากที่เขายังไม่เข้าใจความหมายของมัน
ป๋ายชิงฝู่และป๋ายฉวีเอ๋อเป็นเผ่ามังกร เมื่อป๋ายชิงฝู่แลกหมัดกับเขาก่อนหน้านี้ เขาได้ใช้ทักษะเทวะของมังกร เห็นได้ชัดว่าสายเลือดของเขาสูงส่งบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก
“นี่คือสายแร่มังกรของจ้าวแห่งมังกรแท้หรือ” สองพี่น้องเข้าไปในรังมังกรแท้และตื่นตะลึงอย่างสุดๆ ป๋ายชิงฝู่กล่าว “น่าเสียดายที่จ้าวแห่งมังกรแท้ตนนั้นถูกใครบางคนขัดเกลาไปเป็นสมบัติเสียแล้ว มิเช่นนั้นมันก็สามารถกลายเป็นราชามังกรโดยดูดซับพลังอำนาจของสายแร่มังกรเส้นอื่นๆ! นำมาขัดเกลาเป็นห่วงหยกนี้ช่างน่าเสียดาย”
ป๋ายฉวีเอ๋อก็กล่าวอย่างเสียดาย “บรรพบุรุษมังกรแห่งสภาสวรรค์ก็ถือกำเนิดจากสายแร่มังกรแห่งเจ้าแห่งมังกรแท้ กำลังฝีมือของเขานั้นทรงอิทธิฤทธิ์อย่างที่สุด และเขาเป็นคนใหญ่โตคนหนึ่งในสภาสวรรค์ พลังอำนาจของกำลังฝีมือเขานั้นหายากนักในโลกหล้า แม้แต่จักรพรรดิสูงส่งก็ยังต้องเคารพเขาอยู่สามส่วน…”
มันมิใช่สมบัติที่ฉินมู่จะสามารถขัดเกลาขึ้นมาเองได้ ดังนั้นป๋ายชิงฝู่และป๋ายฉวีเอ๋อจึงไม่คิดอะไรมากมาย
สองพี่น้องช่วยเขาชี้ทางกระจ่างในนิพนธ์บนสายแร่มังกร และป๋ายชิงฝู่ก็ตื่นเต้นจากงานของพวกเขา “พี่ที่นับถือฉิน กล่าวได้ว่าพวกเราได้รับประโยชน์จากเจ้า เมื่อดูกันจริงๆ แล้ว ตระกูลป๋ายต่างหากที่ได้เปรียบจากเจ้าไปอย่างมาก! พวกเราเรียนเพลงกระบี่ของเจ้า แถมยังเรียนนิพนธ์มังกรจากรังมังกรแท้ของเจ้าแห่งมังกรแท้อีกต่างหาก สำหรับเจ้าแล้ว ภาษามังกรอาจจะไม่ได้ทำให้ฝีมือรุดหน้าไปมากนัก แต่มรรคผลที่พวกเราได้รับนั้นเกินธรรมดา!”
ที่เขากล่าวคือข้อเท็จจริง ฉินมู่มิใช่เผ่ามังกร ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถฝึกปรือวิชาของจ้าวแห่งมังกรแท้ได้รวดเร็วเท่ากับพวกเขา เมื่อฉินมู่เชื้อเชิญพวกเขาเข้ามาในรังมังกรแท้เพื่อถอดความนิพนธ์มังกร พวกเขาก็ได้รับผลประโยชน์ยิ่งใหญ่อันเหนือล้ำไปกว่าที่ฉินมู่ได้รับเสียอีก
ป๋ายฉวีเอ๋อก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น และคิดในใจด้วยความสุขสันต์ หากว่าเขานำภาษามังกรในรังมังกรแท้นี้เป็นสินสอด พ่อของข้าจะต้องดีใจจนเนื้อเต้นและยอมยกข้าให้กับเขาแน่ๆ เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าเขาจะแต่งงานแล้วหรือยังนะ…แต่ถึงแต่งแล้วก็ไม่เป็นไร!
ป๋ายชิงฝู่และป๋ายฉวีเอ๋อถอดความภาษามังกรในรังมังกรทีละเล็กทีละน้อยและสอนมันให้แก่ฉินมู่ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีบางนิพนธ์ที่พวกเขาไม่เข้าใจ
“หากว่าท่านพ่ออยู่ที่นี่ สายเลือดของเขาสูงส่งกว่า และเขาจะต้องสามารถถอดความนิพนธ์มังกรทั้งหมดได้อย่างแน่นอน” ป๋ายฉวีเอ๋อสายตาวิบวับและแย้มยิ้มอย่างหวานหยด “พี่มู่ อยู่ในเมืองร้อยมั่งคั่งต่ออีกสักหลายวันสิ จนกว่าพ่อของข้าจะกลับมา”
ฉินมู่ผงกหัว เขานั้นพอใจกับมรรคผลที่ได้เป็นอย่างยิ่งแล้ว
สองพี่น้องได้ถอดความแง่อัศจรรย์มากมายในนิพนธ์มังกร ถึงจุดที่ว่ามีเพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้นที่ยังไม่ถูกไขปริศนา วิชาฝึกปรือแห่งมังกรแท้ ทะยานรุดหน้าไปอย่างใหญ่หลวง และยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก!
ป๋ายชิงฝู่ทดลองขับเคลื่อนวิชาฝึกปรือมังกรแท้ และเขาพบว่าพลังวัตรของเขาเพิ่มพูนไปอย่างเร็วจี๋ รากฐานของเขานั้นก็ยิ่งหนาแน่นมั่นคง ซ่อมปะสิ่งที่เขาขาดพร่องมาก่อน นี่ทำให้เขาต้องอุทานด้วยความยินดี “พี่ที่นับถือฉิน หากว่าข้าฝึกปรือวิชาในรังมังกรแท้นี้เสร็จ เจ้าก็อาจจะไม่สามารถเอาชนะข้าได้ในขั้นวรยุทธเดียวกัน!”
เมื่อทั้งสามคนเดินออกมาจากรังมังกรแท้ ฉินมู่ก็เก็บมันกลับเข้าไปในถุงเต๋าตี้ เขาแย้มยิ้มและส่ายหน้า “ต่อให้พี่ป๋ายฝึกวิชาของจ้าวแห่งมังกรแท้ เจ้าก็อาจจะยังไม่สามารถเอาชนะข้าได้อยู่ดี ข้านั้นคือกายาจ้าวแดนดิน ยากนักที่ข้าจะพบพานคู่ต่อสู้ในขั้นวรยุทธเดียวกัน”
ป๋ายฉวีเอ๋อจ้องเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง และป๋ายชิงฝู่ก็อึ้งจนสีหน้าว่างเปล่า
“กายาจ้าวแดนดิน? พี่ที่นับถือฉิน อะไรคือกายาจ้าวแดนดิน” ป๋ายชิงฝู่ขอคำชี้แนะอย่างถ่อมตน “ส่วนมากข้าจะท่องเที่ยวไปในบริเวณโดยรอบของเมืองร้อยมั่งคั่ง และเพียงได้ไปยังสภาสวรรค์ไม่กี่ครั้งในอดีตเมื่อได้ยินว่าผู้อาวุโสเทพเที่ยงแท้ที่นั่นถ่ายทอดมรรคาของพวกเขา ดังนั้นข้าจึงไม่รู้เรื่องราวมากมาย ข้านั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิดเกี่ยวกับกายาจ้าวแดนดินนี้ ดังนั้นพี่ที่นับถือฉินคงจะได้เดินทางท่องเที่ยวอย่างกว้างขวาง และรอบรู้อย่างมากมาย ขอพี่ที่นับถือฉินช่วยสั่งสอนข้าเรื่องนี้ได้หรือไม่”
ฉินมู่นั้นกำลังจะอธิบาย แต่พลันได้ยินเสียงหัวร่อฮาๆ “ชิงฝู่ แขกผู้ทรงเกียรติมายังบ้านตระกูลป๋ายของเจ้า ทำไมเจ้าไม่บอกพวกข้าสักนิด”
“ชิงฝู่ ข้าเห็นเจ้าถูกอัดจนน่วม! ใครใช้ให้เจ้าอวดโอ่โอหังอยู่ทุกวี่วันเล่า คราวนี้เจ้าถูกหวดกระเด็นต่อหน้าผู้คนทั้งเมืองเลยไหมล่ะ”
ฉินมู่มองไปยังที่มาของเสียงและเห็นชายหนุ่มหญิงสาวจำนวนมากเดินเข้ามา พวกเขาล้วนแต่มีจิตวิญญาณอันฮึกเหิม และมีรูปโฉมอันทรงเสน่ห์เหนือธรรมดา
ป๋ายชิงฝู่กล่าวทันที “พวกเขาคือยอดฝีมือรุ่นเยาว์แห่งเมืองร้อยมั่งคั่งของข้า และมาที่นี่เพื่อหัวเราะเยาะข้า พี่ที่นับถือฉิน ให้ข้าแนะนำพวกเขาสักหน่อย”
จากนั้นเขาก็ทำตามที่กล่าว เมื่อแนะนำทุกคนเสร็จ เขาก็พูดถึงเรื่องที่ฉินมู่ได้คิดค้นท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปด และเรื่องที่ว่าเขาคือกายาจ้าวแดนดิน ทุกคนล้วนแต่แตกตื่น
ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวออกมา ด้วยจิตฮึดสู้ที่เข้มข้นดุเดือด และตะโกนไปด้วยเสียงอันดัง “กายาจ้าวแดนดินฉิน เจ้าบอกว่ากายาจ้าวแดนดินของเจ้าแข็งแกร่งขนาดที่ว่าสยบทุกผู้ที่ต่อต้าน และไร้เทียมทานในขั้นวรยุทธเดียวกัน แต่ข้าไม่เชื่อเจ้า มาชี้ทางกระจ่างแก่ข้าหน่อยซิ!”
ฉินมู่ลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็หมายจะแลกเปลี่ยนคำชี้แนะกับทุกคนที่นี่เช่นกัน!”
ชายหนุ่มคนนั้นร่างสั่นเทิ้มและแปรเปลี่ยนเป็นมนุษย์ที่มีหัวเป็นนก เขาผงาดบินขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางโบกกระพือปีกสีทองของตน ฉินมู่ก็เหาะขึ้นไปบนอากาศ ผู้คนที่อยู่ข้างล่างรู้สึกละลานตาและโห่ร้องเสียงอึงอล
เพียงไม่กี่อึดใจ เพลงกระบี่เด็กหนุ่มฝ่ายตรงข้ามก็ถูกทำลาย และเขาร่วงลงมา
“ให้ข้าลองเจอกับกายาจ้าวแดนดินฉินหน่อย!”
หญิงสาวผู้หนึ่งอดทนไม่ไหวอีกต่อไป และพุ่งเข้าโจมตี นางเองก็เป็นเผ่ามังกร และมีความเชี่ยวชาญในทักษะเทวะเวทมนตร์ของเผ่านาง สามารถทำให้ทักษะเทวะระเบิดพลานุภาพอันน่าแตกตื่นระหว่างนิ้วและฝ่ามือของนางได้
ฉินมู่ขับเคลื่อนคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต ด้วยพลังฝ่ามือหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา ทักษะเทวะกว่าสามร้อยชนิดก็แผ่พุ่งออกไปราวกับนภาประดับดาว เป่าหญิงสาวผู้นั้นกระเด็นลงมา
“ทักษะเทวะล้ำเลิศ!”
เสียงชื่นชมดังมาจากข้างล่าง และชายหนุ่มอีกคนก็พุ่งขึ้นมากลางอากาศ หลังจากต่อสู้กันสองสามกระบวนท่า เขาก็ถูกมีดของฉินมู่ฟันตกลงมา
ทุกคนดาหน้าออกไป แต่พวกเขาทั้งหมดพ่ายแพ้จนสิ้น
ป๋ายฉวีเอ๋อตื่นเต้นสุดๆ และถามด้วยเสียงเบา “พี่สะใภ้ ท่านว่าเขาเป็นอย่างไร”
“โดดเด่นเหนือธรรมดา ช่างโดดเด่นเหนือธรรมดาอย่างแท้จริง” ภรรยาของป๋ายชิงฝู่เผยรอยยิ้มขื่นและกล่าวด้วยเสียงเบา “ข้าเริ่มจะกังวลเกี่ยวกับเจ้าแทนล่ะตอนนี้”
ป๋ายฉวีเอ๋อเองก็ว้าวุ่นวิตกขึ้นมาเหมือนกัน
“กายาจ้าวแดนดิน สมแล้วกับที่เป็นกายาจ้าวแดนดิน!”
ป๋ายชิงฝู่หัวเราะร่าและเชิญฉินมู่กลับมานั่งอีกครั้ง เขากวาดตามองรอบๆ และถามด้วยเสียงอันดัง “พวกเจ้าคิดว่าพี่ที่นับถือฉินสามารถต่อสู้ฟันฝ่าขึ้นไปยังสภาสวรรค์ และสั่งสอนไอ้พวกหยิ่งจองหองบนนั้นได้หรือไม่”
ทุกคนหัวเราะและกล่าวเป็นเสียงเดียว “ได้แน่นอน!”
หญิงสาวคนหนึ่งในนั้นยิ้มแล้วกล่าว “ข้ารู้สึกว่าวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของพี่ฉินนั้นราวกับจะก้าวหน้าเกินยุคสมัย มันทั้งแปลกพิสดารและมหัศจรรย์ เช่นเดียวกับท้าทายกรอบคิด ราวกับว่ามีความเป็นไปได้อันไม่รู้จบที่ถูกสร้างขึ้นมาจากมรรคา วิชา และทักษะเทวะของพี่ฉิน วิวัฒน์จากมรรคา วิชา และทักษะเทวะของยุคจักรพรรดิสูงส่งจนถึงสุดขีดขั้ว!”
คนอื่นๆ ก็ผงกหัวและยิ้มรับ “พวกเราก็มีความรู้สึกทำนองนี้เช่นกัน!”
ป๋ายชิงฝู่จึงเสนอ “พี่ที่นับถือฉิน หลังจากากรต่อสู้แห่งดาวปากวาฬปลาใต้สิ้นสุดลง พวกเราไปที่สภาสวรรค์ด้วยกันเถอะ และซัดไอ้พวกจองหองที่นั่นให้กระจุยกันไปเลย! ทุกคน เห็นด้วยหรือไม่”
“แน่นอน!” เสียงหัวเราะของทุกคนดังก้องไปถึงท้องฟ้า
ฉินมู่เองก็หัวเราะอย่างสาสมใจและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในด้านมรรคา วิชา และทักษะเทวะ เขาไม่มีความคิดเรื่องว่าเขาอาจจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์
ที่มุมหนึ่งของงานเลี้ยง ผานกงสั่วใบหน้าซีดราวขี้เถ้า เขามองไปยังกิเลนมังกรที่กำลังเขมือบอาหาร และหีบอันซ่อนอยู่ในความมืด เขาคิดในใจ นี่จะนับว่าเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้อย่างไร นี่มันเป็นการแทงประวัติศาสตร์ให้รั่วหลายๆ รูชัดๆ! พวกเราจบเห่ จบเห่แน่นอน พวกเรากลับไปไม่ได้อีกแล้ว พวกเราอาจจะจางหายไปเลยดื้อๆ ก็ได้…
เขารู้สึกหวาดผวาจับจิต แม้แต่ท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปด ไอ้เด็กวายร้ายนี่ก็สอนให้พวกเขา ฟ้าและดินกำลังจะพลิกคว่ำโกลาหล! ให้สวรรค์สาปเถอะไอ้เด็กแซ่ฉิน ข้าจะตกกะไดพลอยโจนตายไปด้วยกับเจ้า!
ในงานเลี้ยง ทุกคนหัวเราะและสนทนา แม้กระทั่งเมามายจนสลบเหมือดก็มี เซไปซ้ายไปขวา ป๋ายฉวีเอ๋อรวบรวมความกล้าของนางดึงฉินมู่ออกไปเต้นรำ ใบหน้าของเขาแดงก่ำ และเขาไม่อาจสลัดหลุดจากการคว้าจับของนางได้ เขาจึงได้แต่เต้นรำกับนาง ทำให้ทุกๆ คนหัวเราะกันดังสนั่น
ในตอนนั้นเอง เสียงระเบิดกัมปนาทก็ดังมาจากที่ไกลๆ ราวกับว่าสรวงสวรรค์ร่วงหล่น ท่ามกลางเสียงอึกทึกกึกก้อง ความมืดและกระแสอากาศก็โถมซัดเข้ามา และถล่มเข้าใส่เมืองร้อยมั่งคั่ง ทำให้มันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
……………………………..