ตำนานเทพกู้จักรวาล – ตอนที่ 490 ต่อสู้ในหีบมืด

ป๋ายฉวีเอ๋อยกลูกแก้วมังกรเทวะสูงขึ้นพลางอุ้มบุตรของป๋ายชิงฝู่และหันกายพาคณะหลบหนีเดินทางเข้าไปในความมืด

ลูกแก้วมังกรเทวะเปล่งแสงนุ่มนวลอันขับไล่ความมืดจากไป พวกเขาจำเป็นต้องรีบเร่งไปยังสถานีชายแดนข้างหน้า เพื่อขอพึ่งพิงเทพเจ้าที่อยู่ที่นั่น

ข้างๆ หีบ กิเลนมังกรร้องฮื่อในคอเสียงต่ำเพื่อปลุกปลอบขวัญตนเอง ฉินมู่โยนกระถางยักษ์คืนให้ผานกงสั่ว เมื่อฝ่ายหลังพบว่าขาข้างหนึ่งของมันหักไป เขาก็ส่ายหัวและกล่าว “กระถางนี่พังเสียแล้ว พลังของมันอ่อนแอลง ดังนั้นอาจจะไม่สามารถปกป้องพวกเราได้ โชคดีว่า ข้ายังมีสมบัติชิ้นอื่นๆ”

เขาเก็บกระถางยักษ์กลับเข้าถุงเต๋าตี้และนำน้ำเต้าออกมาลูกหนึ่ง เขาพยายามคาดมันเอาไว้ที่รอบตัวเองพลางหัวเราะในคอ “จ้าวลัทธิฉิน นี่คืออาวุธวิญญาณของชาติภพแรกของข้า มันเรียกว่าน้ำเต้ารอยโลหิต และมันเป็นสมบัติชิ้นที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ข้า นานมาแล้วที่ข้ามิได้ใช้มัน ข้าคอยคิดเสมอถึงวิธีการทลายขั้นวรยุทธเทวะและหลอมรวมสิ่งที่ข้าเรียนรู้ทั้งหมดมากกว่าหนึ่งหมื่นปีเข้าด้วยกันเพื่อขัดเกลาน้ำเต้ารอยโลหิตของข้า แต่ทว่า ข้ามิอาจหลอมรวมวิชามากมายขนาดนั้นเข้าด้วยกันได้”

เขาสะพายน้ำเต้านี้ไว้ที่หลังในเมื่อมันสูงสามคืบ แต่ทว่าเขาไม่มีขาดังนั้นภาพทั้งหมดจึงดูแปลกประหลาด

“ผู้สูงศักดิ์ ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเป็นคนที่มีปณิธานทะยานจิต”

ฉินมู่นำเอาฝักมีดออกจากถุงเต๋าตี้ของเขา และสะพายมันไว้ที่หลัง จากนั้นเขาก็นำมีดเชือดหมูสองเล่มออกมา และเสียบมันเอาไว้ข้างใน “น่าเสียดายที่เจ้าเปลี่ยนไปเมื่อพบว่าเจ้าไม่อาจบรรลุเป็นเทพเจ้าได้ และหันไปเดินทางผิด”

ผางกงสั่วมองไปที่ถุงเต๋าตี้ของเขาและยิ้มหยัน “เจ้าคิดว่าถ้าเจ้าเป็นข้าแล้วจะไม่เปลี่ยนไปงั้นหรือ นั่นมันถุงเต๋าตี้ของข้า!”

“ข้าเก็บมันได้จากวังทองโหรวหลัน”

ฉินมู่นำเอาค้อนเหล็กยักษ์ออกมาและเหวี่ยงมันเบาๆ ค้อนยักษ์ส่งเสียงหึ่ง และหัวค้อนขยายออกไปเรื่อยๆ มันขยายใหญ่จนกระทั่งยาวถึงแปดคืบ ด้วยที่จับตรงกลางวงค้อน

เมื่อฉินมู่หยุดใช้พลังวัตร ค้อนยักษ์ก็หดกลับลงไปเป็นขนาดเดิม

ฉินมู่เสียบค้อนเอาไว้ในถุงหนังข้างๆ ฝักมีด เก็บมันไว้ที่นั่น จากนั้นเขาก็นำไม้เท้าไผ่ออกมาและกวัดแกว่งมันเบาๆ เช่นกัน สร้างภาพติดตาซ้อนๆ กัน เขาเก็บมันไว้ที่หลังด้วย

ผานกงสั่วสะดุ้ง เขาเห็นหมอนี่เอาพู่กัน หมึกและกระดาษ อันเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ และกระทั่งปักม้วนกระดาษจำนวนหนึ่งไว้ในถุงมีดด้วยเช่นกัน ผานกงสั่วอดไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะ “จ้าวลัทธิฉินผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าจะไปเล่นกายกรรมคณะละครสัตว์หรืออย่างไร หลังเจ้ามีข้าวของเต็มไปหมดแล้ว!”

ฉินมู่นำถุงยาพิษและไจกระบี่ออกมา มันแยกออกเป็นกระบี่แปดพันเล่ม และเขาก็นำเอาขวดขนาดต่างๆ กันมากมายออกจากถุง เขาทาพิษลงบนกระบี่แต่ละเล่มๆ พลางกล่าว “เตรียมให้พร้อมก็ไม่เสียหายอะไร ครั้งแรกที่ข้าเดินทางออกจากแดนโบราณวินาศ ข้าก็แต่งตัวแบบนี้แหละ แม้ว่ามันจะดูหยาบกร้าน แต่มันก็ใช้ประโยชน์ได้ดี เมื่อข้ามีสถานะหน้าตา ข้าก็ต้องหยุดทำตัวหยาบกร้านเช่นนี้ แต่ทว่า ในเมื่อนี่เป็นการต่อสู้ชิงเป็นชิงตาย ก็ย่อมที่จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ผานกงสั่วก็นำเอาธงออกจากถุงเต๋าตี้ของตนมาเจ็ดผืนและปักมันบนพื้นรอบๆ ตัว จากนั้นเขาก็นำเอากระจกทองแดงที่มีสายรัดคาดเอาไว้ที่แขนซ้าย มันดูเหมือนโล่

จากนั้นเขานำเอามีดบินจำนวนหนึ่งออกมา และห้อยมันเอาไว้ข้างในเสื้อทั้งสองข้าง

ฉินมู่ตะลึง ผานกงสั่วจึงนำเอากล่องกระบี่ออกมาจำนวนหนึ่งและตั้งมันไว้ใกล้ๆ ขา และยังมีอาวุธอันดาษดื่นสามัญที่สุดในทุ่งหญ้าอันก็คือไจมีดหลายลูก

แต่ทว่า ไจมีดของผานกงสั่วนั้นไม่ธรรมดา คุณภาพของมันเหนือล้ำกว่าที่ยอดฝีมือทั้งหลายแห่งท้องทุ่งหญ้าใช้กัน

เขายังนำเอาแผ่นไท่จี่และวิหารพุทธรูปที่มีพุทธรูปเล็กๆ อยู่ข้างในออกมาด้วย จากนั้นเขาก็นำเอาเสาแท่งหนาที่มีรอยประทับอักษรรูนเรืองรองและตั้งตระหง่านขึ้นมาด้วยตนเอง

“ผู้สูงศักดิ์ ทรัพย์สินของเจ้านี่ช่างมั่งคั่งจนน่าแตกตื่นเสียจริง” ฉินมู่ชมเปาะ “ราชครูและข้าปล้นสะดมวังทองของเจ้าตั้งหลายครั้งหลายหน แต่เจ้าก็ยังคงมีสมบัติล้ำค่ามากมายขนาดนี้!”

ผานกงสั่วยิ้มหยันและกล่าว “เมื่อเจ้ามีชีวิตอยู่เกินหมื่นปี สิ่งของที่เจ้าสะสมคงจะมากกว่าข้าเสียอีก! พวกเขามาที่นี่แล้ว เนตรปลุกพลัง!”

ดวงตาเขาส่องแสงเจิดจ้า และเขาขับเคลื่อนเนตรสวรรค์ของลัทธิพุทธ และถัดจากนั้น ระหว่างรังสีแสงพุทธธรรม เนตรเต๋าของสำนักเต๋าก็ก่อตัวขึ้นมาและแปรเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์หยินหยาง!

ผานกงสั่วมองเข้าไปในความมืดและเห็นเงาร่างอันวูบวาบ

“ปลุกพลัง!” ฉินมู่กู่ร้องเสียงต่ำ และขับเคลื่อนวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้า

แสงดาวปรากฏในแก้วตาของเขา และดวงอาทิตย์ก็จุดสว่างท่ามกลางทางช้างเผือก จากนั้นชั้นต่างๆของวงจรพยุหะก็ก่อตัวขึ้นมา เฒ่าบอดได้หลอมรวมวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้าของเขาเข้ากับเนตรเทวะอันดับหนึ่งแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งอันเป็นของเทพจื่อชิง ดังนั้นพลานุภาพของมันจึงยิ่งใหญ่ไปกว่าเดิม และทักษะเทวะของเนตรก็ยิ่งทรงพลัง หากแต่ว่าเนตรเทวะเช่นนี้ก็ย่อมเผาผลาญพลังวัตรมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังนั้นฉินมู่จึงพอฝืนเปิดได้ถึงเนตรสวรรค์อาภาอันรวมเป็นห้าสรวงสวรรค์

เพราะอย่างนั้น เขาจึงยังใช้เพียงแค่เนตรสวรรค์ชาด

ความมืดตรงหน้าพวกเขาหนาทึบเกินไป ทำให้แม้แต่เนตรสวรรค์ชาดก็มองไปได้ไม่ไกลนัก ดังนั้นเขาจึงขับเคลื่อนเนตรสวรรค์อาภา

กิเลนมังกรเบิกตากลมโตมองไปรอบๆ แต่มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง “จ้าวลัทธิ ท่านมองเห็นอะไรหรือ”

ผานกงสั่วก็มองไปได้ไม่ไกลเช่นกัน ทั้งหมดที่อยู่ในทัศนวิสัยของเขาคือเงาร่างสิบกว่าเงาที่เดินดุ่มมาในความมืด “จ้าวลัทธิ มีพวกเขาสิบกว่าคนใช่ไหม”

ฉินมู่มองตรงไปในความมืดและผงกหัวด้วยรอยยิ้ม “มีผู้ฝึกวิชาเทวะเพียงสิบกว่าคน ไม่ต้องกังวล”

ผานกงสั่วถอนหายใจโล่งอกและหัวเราะด้วยเสียงอันดัง “ข้าคิดว่าข้าจะต้องตายเหมือนป๋ายชิงฝู่และภรรยาของเขาเสียอีก เหมือนกับพวกสวะนั่น ข้ามิได้สูงส่งอะไรนักหนา ดูเหมือนว่าการติดตามจ้าวลัทธิมาจะเป็นตัวนำโชค ข้าคงไม่ตายแล้ว!”

กิเลนมังกรก็ระเบิดหัวเราะออกมาเหมือนกัน “จ้าวลัทธิมักจะพลิกเคราะห์ภัยให้กลายเป็นโชควาสนา!”

หีบของซิงอ้านก็อ้าๆ หุบๆ ฝาปิดของมัน หัวเราะในแบบฉบับของตนเอง

ฉินมู่เช่นกันและชี้นิ้วออกไป หีบอ้าออกและร่วงลงกับพื้น

หีบของซิงอ้านใช้วัสดุอย่างผืนหนังและกระดูกของเต๋าตี้ กระดูกใช้เป็นโครงสร้างส่วนหนังเอาไว้ห่อหุ้มรอบๆ

บัดนี้เมื่อหีบเปิดหงายอ้าซ่า พื้นที่โดยรอบในรัศมีร้อยห้าสิบวาก็กลายเป็นเขตปลอดภัย

ยืนอยู่ข้างในเขตนี้ พวกเขาก็จะมีแสงเทวะจากหีบส่องออกมาปกป้องและทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องความมืด

ผานกงสั่วจัดวางสมบัติของเขาทั้งหมดไว้อย่างเหมาะสม ขณะที่กิเลนมังกรมองไปที่ชั้นหิ้งภายในหีบด้วยความหวาดกลัว มีชิ้นส่วนร่างกายมากมายแขวนอยู่บนหิ้งเหล่านั้น และเมื่อฉินมู่ไม่ทันมอง ผานกงสั่วก็แอบเอาขาติดพิษของเขาไปแขวนเอาไว้ ก่อนที่จะฉวยเอาสองข้างที่ดีๆ ออกมาแล้วยัดเข้าถุงเต๋าตี้ของตนเอง

ฉินมู่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น และเพียงแต่มองออกไปข้างหน้า ด้วยเนตรสวรรค์อาภาของเขา เขาก็มองเห็นกองทัพของ ‘มารนอกโลก’ หลายร้อยกำลังพลข้างหลังเงาร่างสิบกว่าร่างนั้น!

พวกเขายืนอยู่อย่างเงียบเชียบขณะที่เงาร่างสูงโปร่งหนึ่งกำลังขี่สัตว์พิสดารอันใหญ่โตกำยำนำหน้า เขาผู้นั้นกำลังมองไปยังผู้ฝึกวิชาเทวะที่ส่งออกไปสอดแนม

ผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านี้ถูกใช้เพียงเพื่อทดสอบกำลังฝีมือของพวกเขา!

ฉินมู่เก็บสิ่งที่เห็นเอาไว้ในใจ และสูดลมหายใจลึกยาว ไจกระบี่ของเขาไหลออกมาจากแขนเสื้อ และกลิ้งอยู่อย่างเงียบงันอยู่ที่ขอบหีบ ที่นั่น มันขุดคุ้ยพื้นและมุดลงไปใต้ดิน ส่งกระบี่บินทั้งหลายให้แผ่กระจายออกไปในรัศมีหนึ่งร้อยห้าสิบวานี้

“ตอนนี้ล่ะ!”

ฉินมู่กู่ร้อง และมีดเชือดหมูสองเล่มของเขาก็ออกมาจากฝักให้มือของเขาคว้าจับเอาไว้

ในเวลาเดียวกัน ผู้ฝึกวิชาเทวะสิบกว่าคนก็พุ่งทะยานเข้ามา และกิเลนมังกรก็อ้าปากของเขาเพื่อร้องคำราม ไฟแท้อันโหมไหม้แปรเปลี่ยนเป็นเสาเพลิงอันยิงไปข้างหน้า เมื่อมันระเบิด เงาร่างเหล่านั้นก็รีบหลบหลีกและพุ่งเข้าไปโจมตีกิเลนมังกร

กิเลนมังกรขยับหันศีรษะ และเสาอัคคีก็กวาดไปทั่วทิศทาง หนึ่งในคนพวกนั้นกดฝ่ามือลงไป และแผ่นดินก็ควรจะถูกยกผงาดขึ้นมา แต่ทว่าภายใต้การสะกดทับของหีบ มันก็ยกไม่ขึ้นเลยแม้แต่น้อย

อีกคนหนึ่งใช้แสงมีดอันเป็นเพลงมีดเลิศล้ำมหัศจรรย์ พวกมันหมุนวนอย่างดุเดือดไปรอบๆ เสาอัคคี และตัดสะบั้นมันขาดจากกันเป็นชิ้นๆ ฉินมู่จึงคว้ามีดของเขาและพุ่งทะยานไปยังบุคคลผู้นั้น

ผู้ฝึกวิชาเทวะนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเขารู้ว่าความเป็นและความตายห่างกันเพียงเส้นผมคั่นเมื่อผู้ฝึกวิชาบู๊เข้ามาต่อสู้ประชิดตัวเขา เขามองเห็นก็แต่เพลงมีดและท่าเท้าของอีกฝ่าย

ทั้งสองคนเคลื่อนไหวและหมุนวนไปมาอย่างเร็วจี๋ราวลูกข่าง ในเสี้ยวพริบตาที่แสงมีดตวัดขึ้นและลง ผลแพ้ชนะก็ชี้ขาด

“เพลงมีดเลิศล้ำ!”

ศีรษะของคนผู้นั้นปลิวกระเด็น และร่วงลงไปในความมืดระหว่างที่เขาเอ่ยชม

ขณะที่ศพของเขาล้มลงไป ฉินมู่ก็ถูกฝ่ามือของผู้ฝึกวิชาเทวะอีกคนฟาดเข้าใส่หน้าอก แต่ทว่า ร่างกายของเขาม้วนขดประดุจมังกรไร้เขา และปราณชีวิตของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นมังกรอีกตัวที่กระหวัดพันรอบแขนของคู่ต่อสู้ มีดคู่จึงฟันตามมาด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ ซัดแสงมีดจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อเฉือนตัดศัตรู!

“เพลงมีดเลิศล้ำอย่างแท้จริง!” คนผู้นั้นเอ่ยชมเมื่อความมืดเข้ากลบกลืนดวงตาของเขา เขามิอาจมองเห็นมีดของฉินมู่ได้

ตึง

ศีรษะของเขาร่วงลงกับพื้นและกลิ้งไปสองตลบ ดวงตาของเขายังคงเบิกกว้างเมื่อสำนึกรู้ของเขาค่อยๆ เลือนหายไป “สามารถตายภายใต้เพลงมีดเช่นนี้…”

ไจมีดของผานกงสั่วลอยขึ้นไปบนอากาศ และเขาโจมตีพร้อมๆ กับฉินมู่ ไจมีดของเขาพุ่งซิกแซก และแสงมีดจำนวนมากก็เคลื่อนเลียดพื้นฟันออกไป ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงหวีดหวือก็ดังมาจากน้ำเต้ารอยโลหิต เมื่อน้ำตกโลหิตพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า กวาดซัดผู้ฝึกวิชาเทวะคนที่กระโดดขึ้นไปเพื่อหลบเลี่ยงมีดเลียดพื้นของเขา

ในน้ำตกนั้นมีแมลงทุกชนิดทุกประเภท อันรุมทึ้งกัดกินเขาจนสิ้นซาก!

เสียงของการปะทะฉาดฉานดังมา เมื่อผู้ฝึกวิชาเทวะอีกคนลงมือระหว่างที่เหยียบไปบนมีดเหล่านั้น และพุ่งทะยานเข้าใกล้ผานกงสั่ว เขายกฝ่ามือขึ้น และแสงเทวะก็พุ่งออกไปข้างหน้า

ผานกงสั่วรับมือด้วยความเร็วดุจสายฟ้าและตวัดแขนเสื้อของเขาขึ้น มีดบินจำนวนนับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกไปเป็นกระแสเชี่ยว แทงเข้าไปในใบหน้าของคนผู้นั้นจนเต็มไปด้วยมีด

กิเลนมังกรคำรามอย่างเกรี้ยวกราด เผยร่างที่แท้จริงอันสูงหกสิบวา ตอบโต้ศัตรูด้วยการใช้อุ้งเท้าตบและกัดให้ตาย

ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินมู่ก็สังหารศัตรูคนสุดท้ายและเตะศพของเขาออกไป เขาถ่มเลือดและเสมหะที่อยู่เต็มปากของเขา วรยุทธของผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านั้นมิได้สูงมาก เพียงแค่ขั้นหกทิศและเจ็ดดาว และยังมียอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์คนหนึ่งที่กิเลนมังกรรับมือเอาไว้ จิตวิญญาณดั้งเดิมของคนผู้นั้นแข็งแกร่งมาก และเกือบจะงัดกิเลนมังกรปลิวกระเด็นเข้าไปในความมืด

มีก็แต่เมื่อฉินมู่และผานกงสั่วร่วมมือกับกิเลนมังกร พวกเขาจึงสามารถสังหารศัตรูนี้ได้ในระยะขอบเขตร้อยห้าสิบวา

ผานกงสั่วถูกทักษะเทวะจำนวนหนึ่งโจมตี และใบหน้าเขาก็เปรอะเปื้อนไปหมด เขาไม่ใส่ใจจะซ่อนจากฉินมู่อีกต่อไปและเชื่อมต่อขาเทวะทั้งสองข้างเข้ากับร่างตน

ฉินมู่ทำเป็นไม่เห็นและหัวเราะ “ผู้สูงศักดิ์ ไวๆ เข้าหน่อย ศัตรูไม่ให้เวลาเรามากหรอกนะ”

“ศัตรู?” ผานกงสั่วหัวเราะ “ไม่ใช่ว่าพวกเราฆ่าไปหมดแล้วหรือ”

เขาเงยศีรษะขึ้นมองไปในความมืด และอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อเห็นเงาร่างดำๆ พุ่งทะยานฝ่าความมืดมา เขารีบหันกลับไปตั้งท่าจะวิ่งหนี แต่ความมืดอยู่ข้างหลังพวกเขา เขาจึงขยับไม่ได้

“ไม่มีทางรอด!” ผานกงสั่วหันหน้ากลับและร่ำร้อง “จ้าวลัทธิฉิน นี่ไม่มีทางรอดแล้ว! ข้าจบเห่ไปด้วยก็เพราะเจ้า!”

ฉินมู่ยืนอยู่ใจกลางของเขตแสงสว่างและเสียบมีดคู่ของเขากลับไป เนตรหยกตะวันร่วงลงมาวางข้างเขา และเขาก็ร้องตะโกน “ข้ามเขตเข้ามา พวกเจ้าจะต้องตาย!”

“อวดดีจนไร้ยางอาย!”

ผู้ฝึกวิชาเทวะของฝ่ายมารนอกโลกพุ่งเข้ามา และแสงกระบี่ก็พลันยิงออกมาจากใต้ดิน มันพุ่งเฉียดอกของเขาและแทงเข้าไปในหัว

ผู้ฝึกวิชาเทวะนี้วิ่งไปอีกสิบกว่าก้าว ก่อนจะล้มครืนตรงหน้าฉินมู่

เด็กหนุ่มยิ้มและทวนคำพูดเดิมแต่มารนอกโลกหลายร้อยคนที่อยู่ข้างนอก “ข้ามเขตเข้ามา พวกเจ้าจะต้องตาย!”

“ข้าจะฆ่าเจ้า!”

ยักษ์ตนหนึ่งควงโล่ใหญ่ในมือของเขาและกระโจนขึ้นมาเหวี่ยงโล่เอาไว้ใต้เท้าเพื่อป้องกันแสงกระบี่อันท่วมท้นขึ้นมาใส่เขา ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็คำรามอย่างเกรี้ยวกราด และร่างกายของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเทพเจ้าหลังเต่าที่มีงูยักษ์กระหวัดพันรอบกาย เขาก้าวลงไปเหยียบในเขตพื้นที่รอบหีบและเหวี่ยงกำปั้นเข้ามา งูเหินหาวร้องฟ่อๆ และกระหวัดพันรอบหมัดของเขา

ฉัวะ ฉัวะ!

แสงมีดสองเส้นเฉือนกากบาทขนานและตั้งฉาก ยักษ์นี้ถูกผ่าออกเป็นสี่เสี่ยง

ฉินมู่สะบัดเลือดให้หลุดออกจากมีดคู่ และฉีกยิ้ม “ข้ามเขตเข้ามา เจ้าจะต้องตาย!”

“พวกเจ้าแค่สองคนและหมูตัวหนึ่งสกัดกั้นพื้นที่ร้อยห้าสิบวา และหมายจะขัดขวางกองทัพของข้างั้นหรือ”

สัตว์พิสดารเดินเข้ามา บนนั้น หัวหน้ากลุ่มมารนอกโลกก็ถอดหน้ากากออกและมองลงมายังฉินมู่ เขายิ้มหยันและกล่าว “ดูเจ้ามีวรยุทธไม่เลวและยังมีความกล้าหาญ ข้าจะให้เจ้าตายโดยซากร่างที่สมบูรณ์! ทหารทั้งหลายจงฟัง ทุบเข้าไปเหยียบพวกมันให้ราบ!”

มารนอกโลกดาหน้ากันเข้ามาและหลั่งไหลเข้ามาเต็มพื้นที่ร้อยห้าสิบวานี้

กระบี่แปดพันเล่มพุ่งแหวกอากาศ และแปรเปลี่ยนเป็นกระบวนท่าแรกของภาพกระบี่ กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ พวกมันส่งทุกๆ คนในพื้นที่ร้อยห้าสิบวานี้เข้าไปในภาพกระบี่!

ผู้นำกำลังหัวเราะเย็นชา และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ทะยานขึ้นไปบนอากาศ พลังวัตรของเขาแผ่พุ่งออกไป และเป่ากระบี่บินทั้งหมดให้กระจุย ทำลายกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์!

ผานกงสั่วหน้าซีดเผือดขณะที่เขามองไปยังตัวตนผู้นี้อันสามารถทำลายภาพกระบี่ได้อย่างง่ายดาย หัวใจเขาสิ้นหวังและเขาก็พึมพำ “แม้แต่แม่ทัพในวรยุทธขั้นเป็นตายก็อยู่ที่นี่ ดังนั้นพวกเราไม่มีทางรอดแล้วจริงๆ ข้าไม่มีทางหนีไปไหนได้…”

“มีทางสิ!” ฉินมู่ตะโกนออกไป และแสงเจิดจ้าก็พวยพุ่งออกมา แทงเข้าไปในดวงตาของแม่ทัพ ในพริบตาที่เขาจัดการกับภาพกระบี่ แสงของเนตรหยกตะวันก็แทงเข้าไปในหว่างคิ้วของเขาและทะลุออกมาที่หลังศีรษะ!

ผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นพุ่งเข้ามายังฉินมู่และกลุ้มรุมเขา เนตรหยกตะวันก็เป่าผู้ฝึกวิชาเทวะหลายคนให้กระจุยกระจายไปสองข้าง

ความหวังถูกจุดขึ้นมาใหม่ในหัวใจของผานกงสั่ว และเขาก็ต้อนรับผู้คนหลายร้อยด้วยสีหน้าอันเหี้ยมโหม “ตายซะ!”

“ตายซะ!” กิเลนมังกรคำรามออกมา และเกล็ดของเขาก็ชี้ชัน ยิงพุ่งออกไปจากร่าง

ปัง ปัง ปัง!

พื้นที่ร้อยห้าสิบวาพลันหดม้วนเข้าไปอย่างรวดเร็วและปิดงับ มารนอกโลกหลายร้อยคนถูกเก็บเข้าไปในกล่องพร้อมๆ กับผานกงสั่ว ฉินมู่ และกิเลนมังกร

ท่ามกลางความมืด หีบส่องแสงเลือนลาง ขณะที่ข้างในนั้นมืดสนิท ปราศจากแสงสว่างโดยสิ้นเชิง เสียงปะทะกันดังสนั่นอยู่ข้างในหีบราวกับว่ามีบางสิ่งที่กำลังฟาดตีใส่กันอยู่อย่างไม่หยุดยั้ง

เสียงอันน่าสะพรึงกลัวของการต่อสู้ดังออกมาจากในหีบ มีดดาบทั้งหลายฟาดเฉือนเลือดเนื้อของผู้ฝึกวิชาเทวะให้เละกระจุย เลือดสดๆ หลั่งรินออกมาจากในหีบ

สักพักใหญ่ หีบจึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

ปัง!

มือโซมเลือดผลักหีบเปิดออก และศีรษะหนึ่งก็โผล่ขึ้นมา เจ้าของหัวผู้นี้หมายจะปีนออกไปข้างนอก แต่ในพริบตาถัดมาเขาก็ถูกไม้เท้าไผ่เสียบทะลุจากหว่างคิ้ว ก่อนจะถูกดึงกลับเข้าไป

หีบพ่นศพนั้นออกมา

ความเงียบกลับมาเยือนอีกครั้ง ผ่านไปพักหนึ่ง เสียงทึบต่ำก็ดังออก หีบเปิดฝาและพ่นศพออกมาอีกศพ

“เมื่อสู้กันในโลกแห่งความมืด ใครที่ตาบอดย่อมได้รับชัยชนะ!” ฉินมู่ยืนอยู่กับไม้เท้าไผ่ของเขาในความมืดอันไร้แสง “อาจารย์ของข้าบังเอิญว่า–เป็นคนตาบอด!”

…………………

ตำนานเทพกู้จักรวาล

ตำนานเทพกู้จักรวาล

ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset