แม้แต่ท้าวยมราชฟังแล้วก็ยังต้องตื่นตระหนก เขาพลันหันไปมองยังฉินมู่ และผ้าคลุมดำของเขากระพือไหวเป็นลูกคลื่นราวกับว่ามันถูกกระแสลมเป่า “แดนใต้พิภพ? เจ้าไม่ได้เกิดในหมู่บ้านไร้กังวล แต่เกิดในแดนใต้พิภพ?”
ฉินมู่ยังคงมองไม่เห็นใบหน้าใต้ผ้าคลุมและได้แต่ผงกหัว “บิดามารดาของข้าได้มุ่งหน้ามายังแดนโบราณวินาศจากหมู่บ้านไร้กังวล แต่ว่าพวกเขาถูกซุ่มโจมตีระหว่างทาง พวกเขาสูญเสียอย่างหนัก และผู้ที่โชคดีรอดออกมาได้ก็หลบหนีเข้าไปในแดนใต้พิภพ ข้าถือกำเนิดที่นั่น”
เขาได้ค้นพบชาติกำเนิดของตนในหุบเขาภูตผี และจากร่องรอยกาลเวลาในเรือเหาะนั้น มารดาของเขายังอุ้มท้องเขาอยู่ เรือสมบัติได้ผจญกับการโจมตีของเทพและมาร ร่วงตกลงมายังก้นบึ้งของหุบเขาภูตผี ปักคาเข้าไปในผนึกระหว่างสองโลก
เพื่อหลบหนีพวกมารนอกโลก มารดาของเขาได้นำผู้คนจากเรือไปเสาะหาที่ลี้ภัยในแดนใต้พิภพ ฉินมู่น่าจะถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ แต่เขาไม่รู้ว่าเขาถูกนำมายังแดนโบราณวินาศได้อย่างไรหลังจากที่เกิดมาแล้ว ทั้งยังลอยน้ำมาตามแม่น้ำหย่งจนถึงหมู่บ้านพิการชรา
ท่านยายซีได้ยินเสียงร้องของทารก และเก็บเขาขึ้นมา นำไปยังหมู่บ้าน
เขาเกิดในแดนใต้พิภพ อย่างไม่มีข้อสงสัย
“เจ้าเกิดในแดนใต้พิภพ…” น้ำเสียงของท้าวยมราชมีความผิดหวังอยู่หลายส่วน “ข้าคิดว่าจะเป็นนกนางแอ่นตัวเก่าที่ย้อนคืนกลับมาเพื่อนำพวกเราเข้าเผชิญศึก สิ้นสุดในสิ่งที่ยังไม่เสร็จสิ้น ไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะได้เห็นนกนางแอ่นตัวใหม่ ซึ่งก็พอได้เหมือนกัน แต่ในท้ายที่สุด นี่ก็ไม่ใช่นกนางแอ่นตัวใหม่ เป็นเพียงลูกเจี๊ยบตัวหนึ่ง ฮี่ๆ จักรพรรดิก่อตั้ง ท่านนั้นช่างไร้กังวลอยู่ในหมู่บ้านไร้กังวล ลืมไปเรียบร้อยแล้วว่าท่านยังมีผู้คนมากมายรออยู่ในโลกแห่งนี้ให้ท่านหวนกลับมาอีกครั้ง!”
น้ำเสียงของเขามีโทสะเล็กน้อย “หมู่บ้านไร้กังวลไม่ใช่หมู่บ้านอันอ่อนเยาว์ หรือหมู่บ้านที่มิอาจเคลื่อนย้าย มันคือสถานที่ที่ให้ท่านตั้งตัวย้อนกลับมาสู้ใหม่ มิใช่สถานที่ให้ท่านจมเข้าไปในความหลงลืมไร้คิด! ในแดนโบราณวินาศ ยังคงมีเทพและมารจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยังคงรอท่านอย่างไม่ปริปากบ่นให้ย้อนกลับมา พวกเขารอให้ท่านชูธงศึกและเข้าสู้ต่อ!”
ผ้าคลุมเขายังคงกระพือสะบัด มีก็แต่ตอนที่หัวใจของเขาพลุ่งพล่านหรือเมื่อจิตฮึดสู้ของเขาเห่อเหิมขึ้นมา นั่นแหละผ้าคลุมของเขาจึงจะสะท้านไหวอย่างรุนแรง
ทันใดนั้น รัศมีของเขาก็อ่อนราลงไป และเขาก็กลายเป็นหดหู่ลง “ข้าไม่เชื่อว่าจักรพรรดิคนหนึ่งที่ก่อตั้งยุคสมัยทั้งยุคสมัยจะยินยอมรับความพ่ายแพ้และกลายเป็นเงียบงัน กระนั้น ข้าก็ได้รอมาเป็นเวลาสองหมื่นปีแล้ว และรูปสลักหินของแดนโบราณวินาศอีกทั้งภูตผีในยมโลก ต่างก็รอมาเป็นเวลาสองหมื่นปี ทำไมท่านถึงยังไม่กลับมา…”
ฉินมู่มองไปที่เขาอย่างเงียบงัน ไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไร
ท้าวยมราชได้คาดหวังการมาเยือนของอาคันตุกะจากหมู่บ้านไร้กังวล และคาดหวังข่าวคราวของจักรพรรดิก่อตั้งมาตลอดเวลาสองหมื่นปี
กระนั้นที่เขาได้พบเจอก็เป็นเพียงฉินมู่ บุคคลซึ่งเกิดในแดนใต้พิภพ ถึงแม้ว่าจะมีสายเลือดของจักรพรรดิก่อตั้งก็ตาม
ฉินมู่มิใช่บุคคลที่เขารออยู่ หากว่าเป็นฉินหานเจิน อย่างน้อยก็จะยังพอช่วยปลุกกำลังใจให้เขาและนำข่าวคราวจากหมู่บ้านไร้กังวลมา
ทว่าฉินมู่ผู้ซึ่งถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ ไม่รู้อะไรเลยสักนิดเกี่ยวกับหมู่บ้านไร้กังวล
ศักดิ์ฐานะของทายาทจักรพรรดิก่อตั้งไม่เพียงพอที่จะปลอบขวัญกำลังใจแก่ทหารผู้จงรักภักดีซึ่งรอคอยมาสองหมื่นปี
ผ่านไปนานอยู่ ลมหายใจของท้าวยมราชก็กลับมาเป็นปกติ ดวงตาใต้ผ้าคลุมดำเปลี่ยนมามองยังฉินมู่และกล่าว “เจ้าถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ และมันก็เหมือนกับแดนยมโลก–ทั้งสองแดนล้วนแต่เป็นโลกแห่งคนตาย ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกแห่งคนตาย ให้ข้าดูสักหน่อยว่ามีอะไรผิดปกติในตัวเจ้าหรือไม่”
ฉินมู่จ้องด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่เข้าใจความหมายของเขา
ทันใดนั้น ท้าวยมราชก็เดินวนไปรอบๆ ตัวเขาและพูดด้วยเสียงอันเคร่งขรึม “มีผู้คนอยู่ในแดนใต้พิภพน้อยนิด แต่สัตว์ประหลาดทั้งหลายสามารถถือกำเนิดในแดนใต้พิภพได้ พวกมันเป็นการรวมกันเข้าระหว่างดวงจิตดวงวิญญาณและสันดานมารในแดนใต้พิภพ เจ้าได้เห็นสัตว์ประหลาดข้างใต้สะพานแห่งความจนปัญญาแล้วสินะ พวกมันมาจากแดนใต้พิภพ เจ้าถือกำเนิดในแดนใต้พิภพนั้นแตกต่างจากวิธีการถือกำเนิดของสัตว์ประหลาดอันก่อขึ้นมาจากความอาฆาตแค้นแห่งฟ้าและดินกับสันดานมาร เจ้าเกิดออกมาจากครรภ์ แต่เจ้าอาจจะแปดเปื้อนสันดานมารแห่งแดนใต้พิภพ”
“แปดเปื้อนสันดานมารแห่งแดนใต้พิภพ?” ฉินมู่ถามหยั่ง “ท่านหมายถึง?”
เขานั้นตะลึงไปเล็กน้อย ครั้งหนึ่งมารเทวะตนหนึ่งเคยกล่าวว่าฉินมู่นั้นก็เป็นมารเหมือนกับเขา หากว่ามารเทวะไม่ได้โกหก และอันที่จริงแล้วเขามีสันดานมารอยู่ในตัวล่ะ?
และเขามีมันมาตั้งแต่วินาทีที่ลืมตาดูโลก?
ท้าวยมราชไม่พูดอะไรต่อ ในทางกลับกัน เขาเลิกผ้าคลุมสีดำออกและเผยใบหน้าข้างใต้นั้น
ไม่ทันที่ฉินมู่จะได้เห็นใบหน้า ดวงตาทั้งสองก็ราวกับวังน้ำวนหมุนที่ดูดกลืนจิตรู้ของเขาเข้าไปข้างใน
“ไม่ต้องกลัว ข้าเพียงแต่สำรวจดวงวิญญาณของเจ้าเพื่อดูว่ามันแตกต่างจากมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาในโลกปกติหรือไม่”
ฉินมู่รู้สึกว่าโลกของเขาหมุนติ้วราวกับว่าถูกจับไปไว้ตรงกลางระหว่างดวงตาทั้งสอง พวกมันเป็นสีแดงฉานราวโลหิตและใหญ่โตอย่างพิลึกพิสดาร แก้วตาคู่นั้นมองไปที่เขาจากทางซ้ายและขวาระหว่างที่เขาปั่นหมุนไปอย่างไม่หยุดยั้ง ร่วงลงไปไม่ถึงก้นบึ้ง!
เขารู้สึกราวกับว่ากำลังร่วงลงไปในความมืดอันไร้สิ้นสุด อันมีความรู้สึกถ่วงจมที่ไม่รู้จบ
เมื่อท้าวยมราชเอ่ยวาจา เสียงของเขาก็ดูจะห่างไกลลิบลับจากฉินมู่ ไกลเสียยิ่งกว่าสวรรค์เก้าอันสูงส่ง “ไม่เคยมีมนุษย์คนไหนที่ถือกำเนิดในแดนใต้พิภพมาก่อน และข้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีมนุษย์เกิดขึ้นมาในแดนใต้พิภพ แต่ทว่า ข้าสามารถคาดเดาได้ว่า ตอนที่เจ้าเกิด บางอย่างที่น่าสยดสยองอย่างสุดขีดขั้วได้ปะทุขึ้นมา”
“สันดานมารและดวงวิญญาณอันร่อนเร่ไปทั่วแดนใต้พิภพก็คงจะพยายามเข้าไปในร่างกายของเจ้า มารดาของเจ้าน่าจะสามารถต่อสู้ป้องกันดวงวิญญาณร่อนเร่ในแดนใต้พิภพได้ แต่นางอาจจะไม่สามารถกีดกันสันดานมารออกไป ข้าอยากจะดูว่าแดนใต้พิภพได้ทำอะไรกับเจ้า…”
ฉินมู่พยายามที่จะตั้งจิตให้มั่นคง และจี้หยกที่คอของเขาก็พลันลอยขึ้นมา เกิดแสงและเสียงหึ่งฮัมเมื่อมันสาดส่องออกไปข้างหน้าราวกับว่ากำลังป้องกันเขาไว้จากดวงตาโลหิตของท้าวยมราช
ดวงตาโลหิตทั้งสองขยายใหญ่ขึ้น และแสงจากจี้หยกก็ยิ่งเจิดจ้าขึ้น กระนั้นในท้ายที่สุด เนตรโลหิตทั้งสองของท้าวยมราชก็สะกดข่มแสงจากจี้หยก
ฉินมู่พยายามจะดิ้นรน แต่เขารีดเร้นพละกำลังออกมาไม่ได้เลยสักนิด เขาได้แค่ปล่อยให้ดวงตาสีเลือดคู่นี้อันดูราวกับฝันร้ายน่าสยองยังคงจ้องลึกเข้ามาเค้นหาความลับและสะกดข่มเขาเอาไว้
เขารู้สึกว่ากายเนื้อของเขาไม่มีเรี่ยวแรงใดๆ ราวกับว่ามันแยกออกไปจากดวงวิญญาณ
ราวกับเขากำลังจมน้ำและไม่อาจหายใจได้อีกต่อไป ดวงวิญญาณของเขาค่อยๆ ลอยออกมาจากร่างเนื้อ
ในจังหวะนั้นเอง ฉินมู่ก็พลันหยุดหมุนติ้ว และเสียงกระซิบกระซาบก็ดังมาจากรอบข้าง ราวกับว่ามีมารร้ายนับไม่ถ้วนที่ซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดอันไร้ขอบเขต กำลังกระซิบไปมาด้วยเสียงแผ่วเบา
เสียงกระซิบเหล่านั้นใกล้เข้ามา ยิ่งดังขึ้นและดังขึ้น อึงอลขึ้นและอึงอลขึ้น สุดท้ายแล้วพวกมันก็กลายเป็นเสียงนับไม่ถ้วนที่โหมถล่มเขาด้วยถ้อยคำแตกต่างกันในภาษาต่างๆ มากมาย ทำให้เขาปวดหัวจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ มันดังอึงอลถึงขนาดที่ว่าความคิดและสำนึกรู้ของเขากลายเป็นกระจัดกระจายและสะเปะสะปะ!
ในที่สุดแล้ว สรรพสำเนียงทั้งหลายก็ซ้อนทับกันและหลอมรวมเป็นเสียงเดียว!
มันคือภาษามารแห่งแดนใต้พิภพ!
“หุบปาก!” ฉินมู่ตะโกนออกไปอย่างเกรี้ยวกราด แต่สิ่งที่ออกจากปากของเขามิใช่ภาษามนุษย์ มันเป็นภาษามารแดนใต้พิภพ
ทันใดนั้น พลังงานน่าสะพรึงกลัวก็แผ่พุ่งออกมาจากร่างกายของเขา และมันพลันเคลื่อนไหวได้ เขายังคงลอยอยู่ที่ระหว่างดวงตาโลหิตทั้งสอง ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยว ข้างหลังเขาคือความมืดอันไร้ขอบเขต แต่ปรากฏรอยแยกปริออกมาระหว่างความมืดนั้น!
มันเปิดออก และเสียงกระซิบกระซาบก็ดังระงมอีกครา รอยแยกนั้นขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น จนกระทั่งแสงสว่างไหลออกมา ด้วยเสียงหึ่งฮัม ลูกตาดวงมโหฬารก็ปรากฏข้างหลังเขาและกลอกไปซ้ายขวา
ดวงตานั้นเผยแก้วตาประหลาดอันดูเหมือนมีแก้วตาสามอันเบียดอัดเข้าหากัน พวกมันยังหมุนติ้วพลางเปลี่ยนทิศทางไปมา!
แสงมารสาดส่องจากดวงตาราวกับว่ามีปีกผีเสื้อสีดำที่แผ่สยายออกจากทั้งสองข้าง มันทั้งสวยงามและน่าหลงใหล กระนั้นก็พิลึกกึกกืออย่างถึงที่สุด
“หุบปาก!” ฉินมู่กอดหัวของเขาเอาไว้พลางตะโกนออกไปอย่างโมโหร้าย “อย่าส่งเสียงหนวกหู!”
ตึงงง!
ห้วงมิติรอบๆ สั่นสะท้านอย่างรุนแรงราวกับกระจกที่แตกร้าว
ท้าวยมราชตกตะลึงกับพลานุภาพในเสียงคำรามนั้น และได้แต่จ้องไปด้วยสายตาว่างเปล่ายังดวงตาอันน่าลุ่มหลงหลอกหลอนข้างหลัง เขาพึมพำ “เจ้าถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ และได้รับผลกระทบจากสันดานมารของแดนใต้พิภพจริงๆ มันอยู่ข้างในร่างกายของเจ้า แต่มันถูกจี้หยกนี้สยบเอาไว้ บัดนี้เมื่อข้าสะกดข่มจี้หยก ข้าก็ได้ปลดปล่อยสันดานมารของเจ้าออกมา…”
“เลิกพล่ามเสียที!”
ภาษามารแดนใต้พิภพจากปากของฉินมู่ไหลออกมาอย่างลื่นคล่องแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และเมื่อเสียงของเขาดังออกไป ห้วงอวกาศรอบๆ ข้างก็แตกสลาย กาลและอวกาศอันสร้างขึ้นมาจากเนตรโลหิตของท้าวยมราชพังทลายลงไป
ข้างหลังเขา รอยแยกอีกรอยปรากฏขึ้นมา เมื่อดวงตาอีกดวงกำลังจะเปิดออก
ท้าวยมราชขนหัวลุกเต็มเหยียด ราวกับว่าเขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ร้ายมหึมาอันน่าสยดสยอง ซึ่งกำลังจะลืมตาตื่น
“สันดานมารร้ายกาจอะไรแบบนี้! ข้าปล่อยเจ้าออกมาไม่ได้เด็ดขาด!”
เขาลงมือทันที และดวงตาโลหิตทั้งสองก็ถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว ผ้าคลุมของเขาสะบัดกระพือและเข้าคลี่คลุมฟ้าและดิน ห่อหุ้มทั้งท้องพระโรงราชาฉินเอาไว้ เขาขับเคลื่อนพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อสะกดข่มสันดานมารในร่างของฉินมู่
เสียงอันเต็มไปด้วยสันดานมารดังออกมาจากท้องพระโรงราชาฉินด้วยภาษาแดนใต้พิภพอันคล่องแคล่ว “เป็นแค่ผีตัวเล็กๆ แต่เจ้ากล้าจะสะกดข่มข้า?”
ตูม!
ท้องพระโรงราชาฉินสะท้านไหวอย่างรุนแรง และเสียงเปรี้ยงปร้างอีกระลอกดังออกมา ท้องพระโรงราชาฉินสะท้านสะเทือนอีกหลายครั้ง และเสาทั้งหลายโดยรอบก็ไหวเอนไปซ้ายและขวา หลังคาโถงวังพลันฉีกแยก และทั้งโถงวังก็สั่นเทิ้มราวกับว่ามันพร้อมจะพังย่อยยับลงไปได้ทุกขณะ
ไม่นานนัก ท้องพระโรงก็กลับมาสงบอีกครั้ง
ฉินมู่ลืมตาขึ้นมาและมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง ตรงหน้าเขา เสาใหญ่มากมายแตกหักราวกับว่ามันถูกกรงเล็บคมกล้ากรีดตัดจนขาดครึ่ง มันยังมีอีกหลายเสาที่บิดงอไปราวกับว่าถูกฟาดทุบ
ไฟแท้หยางพิสุทธิ์จำนวนหนึ่งไหลเข้ามาข้างในจากรอยแยกของท้องพระโรงราชาฉิน แผดเผาเนื้อไม้ด้วยลิ้นเพลิงของมัน
ดูราวกับว่าที่นี่เพิ่งผ่านศึกสงครามเมื่อมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังมาจากหลังคา ผงคลีกลุ่มใหญ่และอิฐหินร่วงลงมาเป็นระยะ
“เกิดอะไรขึ้น” ฉินมู่งงสนิท
“เจ้าไม่รู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้น” เสียงของท้าวยมราชดังมาจากในความมืด
ฉินมู่รีบมองไปยังทิศทางเสียง และเห็นท้าวยมราชถูกฝังเข้าไปในใจกลางเสาอันบิดงอ ราวกับว่าเขาถูกอัดกระแทกด้วยพลานุภาพอันร้ายกาจน่ากลัว
ฉินมู่อ้าปากค้างและรีบเดินเข้าไปหมายจะช่วยเขา แต่ท้าวยมราชโบกมือไล่และดิ้นรนออกมาจากเสาด้วยตนเอง “เจ้าไม่รู้จริงๆ น่ะหรือว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น”
ฉินมู่ส่ายหัว เขานั้นไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง เขาจำได้ก็แต่ตอนที่ดวงตาของท้าวยมราชมองมาที่เขาขณะที่เขาจมลงไปในนั้นเรื่อยๆ
“ก็ดีเหมือนกันที่เจ้าไม่รู้ จงเก็บจี้หยกหมู่บ้านไร้กังวลนี้ไว้กับตัวตลอดเวลา เจ้าถอดมันออกไม่ได้เด็ดขาด จำเอาไว้เลยว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถอดมันออกไปไม่ได้โดยเด็ดขาด” ท้าวยมราชระบายลมหายใจสะท้านออกมาและกล่าวอย่างเยือกเย็น “จี้หยกนี้เป็นสิ่งของที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้า หากว่าเจ้าทำมันหาย สิ่งน่าสยดสยองจะเกิดขึ้น”
ฉินมู่เก็บจี้หยกกลับเข้าไปใต้เสื้อของเขาและถาม “ข้าเอาจี้หยกให้คนอื่นดูได้ไหม”
ท้าวยมราชตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง และเขากล่าวอย่างเฉียบขาด “อย่าทำจะดีกว่า!”
ฉินมู่จึงยิ้มกล่าว “แต่ก่อนหน้านี้ข้าเคยเอาจี้หยกให้คนอื่นดูมาตั้งหลายครั้งนะ”
ท้าวยมราชระบายลมหายใจสะท้านอีกรอบ “นั่นคือโชคของพวกเขา และพวกเขาควรยินดีที่ยังรอดชีวิตมาได้ เจ้าไปได้แล้ว ฉือซิ่ว ส่งเขาออกไป!”
เทพฉือซิ่วชะโงกหัวเข้ามาข้างใน มองไปรอบๆ อย่างสงสัยใคร่รู้ เมื่อเขาเห็นสภาพอันยับเยินของท้องพระโรงราชาฉิน เขาก็หดคอกลับไปและกล่าว “จ้าวลัทธิฉิน ตามข้ามา”
ฉินมู่มีความกังขา เขารีบเดินออกไปจากท้องพระโรงราชาฉินและถามเทพฉือซิ่วด้วยเสียงเบา “เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“ข้าไม่รู้” เทพฉือซิ่วส่ายหัวและกล่าว “ดูเหมือนจะมีตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวบางตัวตนเข้าโจมตีท้องพระโรงราชาฉิน อย่าพูด เจ้ามีกลิ่นของมนุษย์…”
“อีกอย่าง!” เสียงของท้าวยมราชดังมาจากข้างหลัง “เจ้าสามารถเดินเข้าไปในความมืดของแดนโบราณวินาศ และมันจะไม่ทำอันตรายเจ้าเลยแม้แต่น้อย หากว่ามีโอกาส เจ้าก็ควรลองไปเยือนแดนใต้พิภพดูสักหน”
ฉินมู่ตะลึง และหันกลับไปร้องออกมา “ข้าสามารถเข้าไปในความมืดของแดนโบราณวินาศ?”
ไม่ทันที่ท้าวยมราชจะได้ตอบกลับ เสียงครืนครันบาดหูก็ดังมาจากข้างหลังพวกเขา และท้องพระโรงราชาฉินก็ถล่มลงทับจ้าวผู้ครองแห่งแดนยมโลก!
…………….
Related