ไม่นานนัก ฉินมู่ก็ทุบผู้ฝึกวิชาเทวะมารคนหนึ่งให้สลบเหมือดและปอกลอกเสื้อผ้าของเขาออก เขาเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเอง และก้าวอาดๆ ออกไปอย่างผ่าเผยท่ามกลางแผ่นดินของเผ่ามารขณะที่พวกเขาก็กำลังกรูกันเข้ามาในหุบเหว
มันเกิดเรื่องเปลี่ยนแปลงไปในพริบตาที่บริเวณนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวประจักษ์แก่สายตาของทุกๆ คน และทั้งเมืองก็แตกตื่น แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและจบไปในไม่กี่อึดใจ แต่พลานุภาพที่แผ่พุ่งออกมานั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด
ฟิ้ววว!
มารเทวะสองตนเหาะไปยังหุบเหว มารมากมายที่มีปีกก็ตามติดๆ มาข้างหลังพวกเขาทั้งสอง
ฉินมู่เดินสวนฝูงชนค่อยๆ เบียดแทรกไปข้างหน้า ไม่นาน เขาก็เดินออกจากพวกมารที่แออัดยัดเยียด และมุ่งหน้าตรงไปยังประตูเมือง
เขาไม่กล้าเหาะเหินในเมืองของเผ่ามาร เขาไม่รู้ว่าจะมีมารเทวะและยอดฝีมือขั้นสะพานเทวะหรือขั้นเป็นตายซุ่มซ่อนอยู่ในบริเวณโดยรอบมากมายเท่าใด
แม้แต่เทพเจ้าแห่งสวรรค์ไท่หวงก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามที่นี่ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ค่อยๆ คืบไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ระหว่างที่ทำเช่นนั้น เขาก็กลายเป็นกระสับกระส่ายอีกครั้ง
เมื่อมารเทวะทั้งสองไปยังก้นเหว พวกเขาก็จะค้นพบฟู่ยื่อลัวที่หมดสติ และคงใช้เวลาไม่ถึงพริบตาที่จะดึงสติสัมปชัญญะของเขากลับคืนมาได้อีกครั้ง เมื่อมารเทวะลืมตาฟื้นขึ้นมา เขาก็จะต้องออกคำสั่งให้ปิดเมืองทั้งหมดเอาไว้เพื่อเสาะหาตัวฉินมู่เป็นแน่
หากว่าเขาไม่อาจออกไปได้ก่อนคำสั่งปิดเมืองจะมา เขาก็คงจะไม่สามารถหนีไปได้เลย!
เมืองนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองเทพยดาแห่งสวรรค์ไท่หวง และมันกว้างใหญ่ไพศาลเป็นอย่างยิ่ง เขาคงต้องใช้เวลาสักพัก กว่าจะไปถึงกำแพงชั้นนอก
ฉินมู่เร่งรีบไปจนกระทั่งเขามาถึงประตูเมือง ในตอนนั้น เสียงตะโกนก็ดังมาจากหุบเหว “มหาราชามีบัญชาให้รีบปิดกั้นเมืองเอาไว้โดยเร็ว ห้ามมิให้มารคนใดออกไปข้างนอก!”
“กระตุ้นค่ายกลพยุหะ ปิดกั้นเมืองเอาไว้!”
“พื้นดิน ท้องฟ้า ปิดกั้นมันเอาไว้ให้หมด อย่าให้แม้แต่ยุงตัวเดียวเล็ดรอดออกไปได้!”
ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยนขณะที่เขามองไปยังประตูเมือง มีคนงานเผ่ามารหลายคนกำลังผลักประตูเมืองขนาดมหึมาด้วยกำลังแรงเพื่อปิดมันลงไป บนหอคอยแห่งสิ่งก่อสร้างสูงต่างๆ วงจรพยุหะและอักษรรูนก็จุดแสงขึ้นมา พวกมันไหลลงจากยอดหอคอยราวกับสายน้ำ และไหลพล่านไปยังกำแพงเมือง
เมื่อวงจรพยุหะและอักษรรูนบนกำแพงเมืองจุดแสงขึ้นมา ลำแสงสว่างเจิดจ้าก็ยิงพุ่งขึ้นไปบนฟากฟ้า ระหว่างวงจรเหล่านั้น ก็ปรากฏม่านคุ้มกันห้วงอวกาศก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้า
ที่ฐานกำแพง มีวงจรพยุหะและอักษรรูนค่อนข้างมากที่กำลังไหลบ่าลงไปยังพื้น!
แม้แต่เมืองหลวงของสันตินิรันดร์ก็ไม่มีระบบป้องกันที่รัดกุมขนาดนี้ หากว่าวงจรพยุหะบนท้องฟ้าเข้ามาบรรจบกับวงจรพยุหะบนพื้นดิน ฉินมู่ก็ลืมเรื่องที่จะออกไปจากเมืองไปได้เลย!
ประตูนั้นทั้งใหญ่และหนักอึ้ง แม้ว่าจะมีคนงานกำยำเผ่ามารกว่าสิบคนออกแรงด้วยกัน พวกเขาก็ได้แต่ผลักมันให้ปิดได้อย่างเชื่องช้า
คนงานบึกบึนพวกนี้ได้ฝึกปรือทักษะเทวะกายเนื้อ และมีพละกำลังอันไร้ประมาณ ไม่ใช่เวทมนตร์หรืออาวุธวิญญาณ พวกเขาฝึกปรือแก่กล้ามเนื้อและกระดูก เพิ่มพูนพละกำลังของตน!
ในกองทัพของลัทธินักบุญสวรรค์และของสันตินิรันดร์ก็มีคนงานกำยำเช่นนี้อยู่เหมือนกัน เมื่อมีคนงานที่ฝึกปรือความแข็งแกร่งของพวกเขาจนถึงขีดสุดสองคน ก็จะสามารถใช้ให้ยกรูปสลักหินอันเป็นร่างเนื้อของเทพเจ้าได้!
กระนั้น กำแพงเมืองของเมืองเทพยดาแห่งนี้ ก็ยังต้องอาศัยคนงานบึกบึนกว่าสิบคนมาผลักมัน!
เงาอันคือฉินมู่กระโจนไปมาระหว่างเงาของสิ่งปลูกสร้างราวกับภูตพราย เขาดูเหมือนกับดวงจิตที่พุ่งวูบวาบไปยังตีนประตูเมืองก่อนที่มันจะถูกปิด เขาจะต้องออกไปเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นก็จะไม่มีทางหนีรอด!
ด้วยความพยายามของคนงานกำยำเผ่ามารมากมาย ประตูก็เกือบจะปิดสนิท มีเพียงแค่รอยถ่างเล็กๆ เหลืออยู่ระหว่างประตูสองบาน
ทันใดนั้น ลูกแก้วสุกใสก็กลิ้งเข้าไป และติดคาอยู่พอดีระหว่างสองบานประตู ป้องกันไม่ให้มันปิดลงไป
คนงานกำยำข้างๆ ประตูเห็นเช่นนั้นจึงเตะลูกแก้วออกไปจากเมือง เขาบ่นพึมพำก่อนที่จะผลักประตูใหญ่ให้ปิดสนิท
เพียงแต่ว่าเขาไม่ทันเห็นว่าตอนที่เขาเตะไปนั้น ‘เงา’ ของเขาก็กลิ้งออกไปพร้อมกับลูกแก้ว เข้าหลอมรวมกับเงาของลูกแก้ว
ลูกแก้วกลิ้งต่อไปอีกสิบห้าวา มันร่วงลงไปยังข้างๆคูเมืองและค่อยๆ หยุดลงตรงนั้น
เงารูปวงรีข้างใต้ลูกแก้วพลันงอกแขนแขา และเงาสองติ่งที่ดูเหมือนแขนของมันก็กลายเป็นใหญ่ขึ้นและยาวขึ้น และมันกลิ้งไปข้างหน้า ก่อนร่วงลงไปในแม่น้ำเสียงดังผลุบ
ผ่านไปสักพัก ในเงาตรงฝั่งตรงข้ามของคูเมือง เงาดำสนิทก็ปีนออกมา และเคลื่อนที่ไปตามพื้น
ไม่นานนัก ประตูเมืองก็อ้าออกกว้าง และมารมายมายนับไม่ถ้วนก็กรูกันออกจากเมือง “คนผู้นั้นไม่อยู่ในเมือง ตามหาตัวเขาโดยพลัน พวกเราปล่อยเขาออกไปพ้นเขตแดนไม่ได้เป็นอันขาด!”
ฉินมู่ซ่อนและหลบ หลีกเลี่ยงเจดีย์สังเกตการณ์ทั้งหมด เขาขับเคลื่อนวิชาเงามายาของตนจนถึงขีดสุด ในเวลาไม่นาน เขาก็ปีนขึ้นที่สูง และมองออกไปไกลๆ แต่ก็ยังคงมองไม่เห็นเมืองหลี
ฟู่ยื่อลัวได้นำตัวข้ามายังเขตแดนของเผ่ามาร แต่ว่าที่นี่คือที่ไหนกันแน่ มันอยู่ห่างจากเขตแดนของเผ่ามนุษย์แค่ไหน
ดินแดนไพศาลและท้องฟ้าก็มืดมัว ดวงตะวันในทิศตะวันออกเย็นเฉียบเมื่อมันค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดง เป็นสัญญาณบอกการมาเยือนของราตรี
ฉินมู่ปลุกปลอบตนเอง และซ่อนเงาร่างของเขา สวรรค์ไท่หวงไม่มีดาวสักดวง ดังนั้นคงยากที่จะระบุพิกัดของตนเอง ข้าคงได้แต่เร่งรุดไปข้างหน้าอีกทีตอนเช้า
พลสอดแนมของเผ่ามารเสาะตัวเขาทุกหนทุกแห่ง ขณะที่ฉินมู่ก็ไปแอบซ่อนทางนั้นทีทางนี้ที เมื่อตอนที่เขาเกือบจะถูกพบตัว เขาก็สังหารพลสอดแนมมารคนหนึ่ง และเปลี่ยนเป็นใส่ชุดเกราะเหล็กดำหนา ด้วยหมวกเกราะและทวนมารเล่มใหญ่ที่ห้อยอยู่กับตะขอข้างม้า เขาก็ขี่ม้าฝันร้ายไฟปีศาจมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก
เมื่อยามบ่ายมาถึง ฉินมู่ก็เงยหน้าขึ้นมองทางดวงตะวัน และสีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ดวงตะวันแตกหักทางทิศตะวันตกจู่ๆ ก็แตกดับไป!
ราชครู เจ้าจะทำงานไวเกินไปแล้วไหม
ฉินมู่แทบจะกระอักเลือดเก่าออกมา เขาได้บอกราชครูให้ช่วยเหลือสนับสนุนสวรรค์ไท่หวงออกแบบดวงตะวันใหม่ขึ้นมาสองดวง ดังนั้นการที่ดวงตะวันแตกหักเก่านั้นหายวับไปจากท้องฟ้าย่อมเกี่ยวข้องกับเขาเป็นแน่!
นี่ก็คงเป็นเพราะว่าราชครูสันตินิรันดร์พบว่าดวงตะวันที่นี่ระคายสายตาจนเกินทน และได้เรียกตัวผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหมดมายังสวรรค์ไท่หวงเพื่อกำจัดสิ่งนี้และหลอมสร้างมันขึ้นมาใหม่
เมื่อดวงตะวันหายไป ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ฉินมู่จะระบุตำแหน่งของตนเอง!
…
ในเมืองหลี เปลวเพลิงส่องสว่างและจุดแสงแก่ความมืด ด้วยแสงของของสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณที่เชื่อมต่อสวรรค์ไท่หวงกับแดนโบราณวินาศ ก็มีผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายจากสันตินิรันดร์ไหลบ่าเข้ามา พวกเขาได้ก่อสร้างโรงงานขนาดใหญ่ข้างๆ เมืองหลี และเริ่มต้นหลอมยักษ์พยนต์ อีกทั้งชิ้นส่วนอื่นๆ ตลอดวันตลอดคืน
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้นำเอาพิมพ์เขียวที่ไม่มีใครอ่านเข้าใจอออกมา พิมพ์เขียวเหล่านี้แสดงภาพของเตาหลอมใหญ่สุริยันอันถูกทิ้งไว้โดยเทพสร้างตะวัน เทพนั้นไม่มีเวลาหลอมสร้างดวงตะวันดวงที่สองจนเสร็จสิ้น เขาก็ถูกพวกมารลอบสังหาร แต่โชคดีว่าพิมพ์เขียวของเขายังอยู่ดี
ราชครูสันตินิรันดร์เรียกตัวผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายที่เชี่ยวชาญในด้านพีชคณิตมาเพื่อคิดคำนวณแบบแปลนใหม่อีกครั้ง ยกระดับพิมพ์เขียว เขาตั้งเกณฑ์มาตรฐานด้านความแม่นยำไว้อย่างสูงลิ่ว
ที่ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งเมืองหลีกำลังหลอมสร้าง คือเตาหลอมใหญ่สุริยัน
“นายท่าน ข้าทำศิษย์น้องหาย…”
บนป้อมปราการเมืองหลี เทพเสือขนดำเกลือกกลิ้งไปกับพื้นและแปลงร่างกลับไปเป็นเสือขนดำตัวน้อยๆ ที่สูงเพียงหนึ่งคืบ มันมีลายพาดกลอนสีดำและสีเหลืองพร้อยไปทั่วทั้งตัว เขาจุดธูปแท่งหนึ่งและสวดภาวนาอย่างเคารพ
ควันของธูปลอยขึ้นเป็นเกลียววง และควบแน่นกันเป็นเมฆเหนือศีรษะเขา มันแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของนักบุญคนตัดไม้อันจ้องมาที่เขาอย่างไร้อารมณ์
เสือน้อยก้มหัวของเขา และลู่หูมาติดกับหลังหัว ไม่กล้าพูดอะไร
ผ่านไปสักพัก เสียงของนักบุญคนตัดไม้ก็ดังมา “เก็บเจ้าไว้จะมีประโยขน์อะไร”
เสือเทพยดาขนดำรู้สึกเลือดในกายเย็นเฉียบ และรีบกล่าว “ไม่ต้องห่วง นายท่าน ข้าจะต้องตามหาศิษย์น้องฉินให้เจอ!”
หลังจากที่ควันกระจัดกระจายไป เสียงของนักบุญคนตัดไม้ก็กล่าวอีกครั้ง “ข้าได้ไปยังโลกของเผ่ามาร และยังไม่สามารถกลับมาสักระยะหนึ่ง หากว่าข้ากลับมาและยังไม่เห็นศิษย์ของข้า เจ้าก็จงอยู่ในร่างนี้ไปตลอดกาลเถอะ อย่าฝันจะได้แปลงร่างกลับเลย!”
เสือเทพยดาขนดำระบายลมหายใจโล่งอก ในตอนนั้น เขาก็ได้ยินเสียงดังและสดใสจากที่ไกลๆ “มังกรอ้วน ถึงแม้ว่าคุณชายจะอยู่ในโลกแห่งนี้ เจ้าจะไม่อดตายหรอกหรือถ้าพวกเราหาเขาไม่พบและเจ้าก็ยังกินยาวิญญาณเสบียงของเจ้าหมดในมื้อเดียวแบบนี้น่ะ”
เสียงหัวเราะดังมา และเสียงอู้อี้ก็กล่าว “พี่สาวหลิงเอ๋อ เจ้าอาจจะไม่ทันสังเกต แต่หลังจากที่ข้าได้แย่งชิงยาวิญญาณของเขามากระหยิบมือหนึ่งจากแม่ทัพมารที่ถูกขังไว้ในหีบ ข้าก็กล้ากินยาวิญญาณเพียงแค่วันละเม็ดเท่านั้น! ข้าได้อดโซถึงขนาดที่ว่าเหนือแต่หนังหุ้มกระดูก ดูสิ ข้าผอมกว่าแต่ก่อนเยอะ! เพื่อไม่ให้นายน้อยจำข้าไม่ได้ ข้าก็เลยตัดสินใจกินยาวิญญาณที่เหลือทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็กังวลอยู่ดี ว่าข้าจะฟื้นฟูกลับมาสภาพเดิมไม่ได้…”
“ข้าได้ยินว่าคุณชายหายตัวไป หากว่าพวกเราหาเขาไม่พบ เจ้าได้อดตายแน่!”
“จ้าวลัทธิออกจะฉลาด เขาจะหายไปได้อย่างไร”
เทพเสือขนดำมองไปยังที่มาของเสียง สิ่งแรกที่เขาเห็นคือหีบใหญ่มหึมา จากนั้นก็สัตว์ยักษ์ที่มีพุงใหญ่โต เมื่อเขาเดินขึ้นมาบนป้อมปราการเมือง ไขมันของเขาก็กระเด้งดึ๋งๆ ไปมาอย่างสะเปะสะปะ มันเหมือนกับสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ที่มีสายเลือดของมังกรและกิเลน
บนหัวของเจ้าอ้วนนี้มีเด็กหญิงตัวน้อยน่ารักน่าชังคนหนึ่งที่อายุราวๆ ห้าหกขวบ นางมีหางจิ้งจอกขนขาวราวหิมะหกหางอยู่ข้างหลัง และก็มีหูขนฟูๆ สองข้างอยู่บนหัว
ซังฮั่ว อวี่เหอ และคนอื่นๆ ตามมาข้างหลัง ยังมีเด็กสาวสองคนที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่ท่ามกลางพวกนั้น
เด็กหญิงน้อยที่มีหางและหูขนฟูเห็นเขา และสายตาของนางก็เป็นประกาย นางกระโดดลงมาจากหัวของเจ้าอ้วนยักษ์ตนนี้ และหัวเราะคิกคักเมื่อนางพุ่งตรงไปหาเทพเสือขนดำ เขาปรบมือและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เฉือน้อยน่ารักอะไรอย่างนี้ ให้ข้ากอดเจ้าสักหน่อยเถอะ!”
เทพเสือขนดำได้กลิ่นของสุนัขจิ้งจอก และสีหน้าของเขาก็มืดคล้ำ เขารีบกลิ้งไปและแปลงร่างกลับเป็นเสือขนดำตัวใหญ่ที่งดงามอันใหญ่กว่าสิบห้าวา เขาคำรามไปถึงท้องฟ้า และรัศมีเทวะกับความดุร้ายของเขาก็พวยพุ่งไปรอบบริเวณ
สีหน้าของปีศาจจิ้งจอกตัวน้อยแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และนางหันกลับวิ่งจู๊ดไปทางเด็กสาวที่เขาไม่คุ้นหน้า นางกระโดดเข้าไปกอดหนึ่งในนั้นและเริ่มร้องไห้แงๆ “เฉือใหญ่…”
เด็กสาวคนนั้นอุ้มเด็กหญิงหันหนีไปจากเขา ขณะที่เจ้าอ้วนยักษ์นี่นั่งจ้ำเบ้าลงกับพื้นและแหงนคอมองสัตว์ยักษ์ตรงหน้าเขาด้วยความทึ่งและยำเกรง
ซังฮั่วรีบก้าวเข้าไปและกล่าว “ผู้อาวุโสเสือ พวกเขาเหล่านี้คือสหายของจ้าวลัทธิฉิน”
เทพเสือขนดำสลายรัศมีเทวะและความดุร้ายของตน ก่อนที่จะแปลงร่างกลับเป็นเด็กหนุ่มหัวเสือ เขาชักกรงเล็บกลับไป และหูเขาก็กระดิกสองครั้ง “ตอนที่ข้ายังเยาว์ข้าเคยถูกปีศาจจิ้งจอกหลอกต้มตุ๋นมาก่อน ดังนั้นข้าไม่อาจพบเจอกับปีศาจจิ้งจอกได้ ขออภัยด้วย”
ปีศาจจิ้งจอกน้อยโผล่หัวของนางออกมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่หลอกต้มตุ๋นคนนะ” นางรวบรวมความกล้าและเดินออกมาจากข้างหลังหลิงอวี้จิวเพื่อมองสำรวจตรวจตราเทพเสือขนดำ “ข้าจับหูเจ้าได้ไหม” นางถามด้วยความสงสัย
เทพเสือขนดำลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะก้มหัวลงมา “ข้าเพิ่งทำให้เจ้าตกใจกลัวไป เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าจับดู”
ฮู่หลิงเอ๋อแตะหูทั้งสองของเขา และอุทานด้วยความชื่นชม “นุ่มอะไรอย่างนี้! พวกเจ้า ลองแตะดูสิ!”
หลิงอวี้จิวลังเล “นี่จะดีหรือ” หลังจากกล่าวเช่นนั้น นางก็รวบรวมความกล้าและลองดูเช่นกัน ก่อนที่จะร้องออกมาด้วยความแตกตื่น “พวกมันทั้งนุ่มและฟู!”
เด็กสาวคนอื่นๆ ก็ยื่นมือเข้ามาจับๆ เกาๆ ดูเช่นกัน และเทพเสือขนดำก็รู้สึกว่านี่มันไม่ค่อยเหมาะนัก เพราะถึงอย่างไรเขาก็คือปีศาจเทวะคนหนึ่ง และมันค่อนข้างน่าอายที่ถูกจับหูไปมาแบบนี้
แต่ทว่า มันสบายหูดีจริงๆ
กิเลนมังกรก้าวเข้ามา และหมายที่จะลองด้วยเช่นกัน เทพเสือขนดำรีบยกกรงเล็บของเขาขึ้นและกดเจ้าหมอนี่ลงกับพื้น
ผ่านไปสักพัก ทุกคนก็สมใจ และเทพเสือขนดำถาม “พวกเจ้ากะจะไปค้นหาศิษย์น้องฉินอย่างไร”
“ง่ายมาก มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม!” ซีอวิ๋นเซี่ยงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
………………….