เจ๋อหัวหลีตะโกนด้วยเสียงอันดังและสืบเท้าอีกก้าวเข้าไปหาฉินมู่
“ยอมแพ้เสีย!” จากเหนือชั้นฟ้า เสียงของฟู่ยื่อลัวดังมาราวอสุนีบาต “เพลงมีดของเจ้าแม่นยำ เหมาะสม และเต็มไปด้วยการคำนวณ แต่ทว่า กรอบคิดจิตใจของเจ้าในตอนนี้กำลังปั่นป่วน ดังนั้นเจ้าจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว และยิ่งตายเร็วกว่า! สหายรักของเจ้าสิ้นชีวิตแล้ว ดังนั้นเจ้าต้องอยู่แก้แค้นให้พวกเขา หากว่าเจ้าไม่อยู่รอล้างแค้นและโยนชีวิตทิ้งไปเสียอย่างนี้ เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับพวกบ้าบิ่นไร้สมอง!”
สีหน้าของเจ๋อหัวหลีบิดเบี้ยว และเขาพลันดึงดาบออกมาด้วยมือซ้าย
ข้างนอกโลกจำลองศึกทราย ฟู่ยื่อลัวขมวดคิ้ว และเขามิได้ลงมือเพื่อยับยั้งเจ๋อหัวหลีในโลกจำลองศึกทราย
โลกมิตินั้นสร้างขึ้นมาโดยเขาและนักบุญคนตัดไม้ ดังนั้นหากเขายื่นมือเข้าไป นักบุญคนตัดไม้อีกฟากฝั่งก็จะขัดขวางด้วย หากว่าเป็นเช่นนั้น เรื่องราวก็จะยิ่งเละเทะเข้าไปใหญ่ และเขาไม่อาจมั่นใจในโอกาสสำเร็จ
นักบุญคนตัดไม้เพิ่งถูกอัญเชิญมาจากโลกอื่นในตอนกลางวันก่อนหน้านี้ และได้ขัดจังหวะแผนการณ์และยุทธศาสตร์ของเขาทั้งหมด ทำให้เขาไม่ทันตั้งตัว นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาได้แต่ตั้งการเดิมพันนี้ขึ้นมา เขาไม่อาจทำลายกฎกติกาที่ตัวเขาเองวางเอาไว้ มิเช่นนั้นเขาก็จะสูญเสียทุกอย่างโดยสิ้นเชิง
เขาต้องการเวลา
แม้ว่าเขาจะชื่นชมเจ๋อหัวหลี และเด็กหนุ่มก็มีอาจารย์ของเขาเอง เขาก็ยังมองว่าเจ๋อหัวหลีเป็นผู้สืบทอดของเขา แต่ทว่าเพื่อเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของเผ่ามาร เขาได้แต่กัดฟันข่มความรวดร้าวและยอมเสียเขาไป ไม่ว่าเขาจะชื่นชมเด็กหนุ่มผู้นี้มากแค่ไหน
หางตาของเจ๋อหัวหลีกระตุก และดวงตามารบนด้ามดาบมารของเขาก็ยิ่งมายิ่งประหลาด ตำแหน่งที่มันจ้องมองกลับไม่ใช่ฉินมู่ แต่เป็นแขนขวาของเจ๋อหัวหลี
เจ๋อหัวหลียกแขนขวาขึ้นมาพร้อมๆ กับดาบ
ฉินมู่กล่าวถูก เขาไม่มีทางร่ายรำเพลงมีดของลั่วอู๋ชวงได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากว่าเขาต้องการทำเช่นนั้น เขาจะต้องตัดแขนขวาของตนเอง ไม่อย่างนั้น มันก็จะกลายเป็นภาระของเขา
เป้าหมายของเขาที่ลงมายังแดนต่ำใต้ นั้นเพื่อแสวงหาหนทางที่จะใช้เพลงมีดด้วยมือสองข้าง เขาต้องการให้เพลงมีดของเขาบรรลุเขตขั้นมรรคาเต๋า และเดินออกไปจากเงาของลั่วอู๋ชวง
เมื่อครู่ กระบี่ของฉินมู่น่าแตกตื่นสะท้านขวัญ และเขารู้สึกว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถหลบหลีกมันได้ มีก็แต่สะบั้นแขนออกไปข้างหนึ่งเท่านั้น เขาจึงจะสามารถปลดปล่อยเพลงมีดของลั่วอู๋ชวงจนถึงที่สุดได้
แต่ทว่า หากเขาตัดแขนออกไปข้างหนึ่ง เขาก็จะไม่มีวันเดินออกพ้นจากเพลงมีดของลั่วอู๋ชวง และไม่มีวันเสาะหามรรคาเต๋ามีดของตนได้ นี่ก็เท่ากับการสะบั้นมรรคาเต๋าตน
สีหน้าของเจ่อหัวหลีเดี๋ยวซีดเดี๋ยวคล้ำ เต็มไปด้วยอารมณ์ต่างๆ นานา ทันใดนั้น แสงมีดของเขาก็ฟันลงไปบนพื้น
“ข้าแพ้แล้ว”
เขาทรุดตัวลงและคุกเข่าลงกับพื้น แต่เขามิได้คุกเข่าให้แก่ฉินมู่ หรืออวี่เหอและคนอื่นๆ เขาคุกเข่าให้แก่ศพของเจี่ยงอี้
เจ๋อหัวหลีค้อมตัวคารวะและลุกขึ้น เขาอุ้มศพของเจี่ยงอี้และเบือนหน้ากลับไป “ข้าได้เห็นเพลงกระบี่ของเจ้าแล้ว แต่ข้าจะไม่ให้อาจารย์ของข้าได้เห็น เพราะว่าข้าต้องการปลิดชีวิตเจ้าด้วยน้ำมือของข้าเอง เพื่อล้างแค้นให้กับเพื่อนรักของข้า!”
ฉินมู่พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “หากว่าวันนั้นมาถึง ข้าตายก็คงไม่ย้อนเสียใจ”
เจ๋อหัวหลีเดินตรงไปยังกำแพงไฟ ดาบมารของเขาโบยบินขึ้นไปและผ่ามันแหวกออกเป็นสอง สร้างเส้นทางเดินออก เจ๋อหัวหลีอุ้มเจี่ยงอี้ออกไป และร่างของพวกเขาก็หายลับ
หางตาของฉินมู่กระตุก พฤติการณ์ของเจ๋อหัวหลีทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ไม่ดี
เจ๋อหัวหลีนั้นไม่ด้อยไปกว่าเขา และเพลงมีดที่เขาใช้ผ่าแหวกทะเลไฟนั้นเพริศแพร้วพิสดารอย่างถึงขีดสุด กายเนื้อ พลังวัตร จิตวิญญาณดั้งเดิม และแม้กระทั่งเพลงมีดของเขาอันแสดงว่าความสำเร็จของเขาในมรรคา วิชา และทักษะเทวะ ไม่ด้อยไปกว่าฉินมู่เลย กายเนื้อของเขายังเหนือกว่าอีกมากด้วยซ้ำ
เจ๋อหัวหลีในตอนนี้เหมือนกับฉินมู่หลังจากที่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกได้ทำลายความมั่นใจของเขาอย่างไร้ปรานี เขานั้นหมิ่นเหม่อยู่ระหว่างการพังทลายและการเปลี่ยนแปลง
หากว่าเขาหลุดพ้นออกมาได้ ค้นพบมรรคาเต๋าของตนเอง เขาก็จะเหมือนกับฉินมู่ผู้ซึ่งคิดค้นกระบวนท่าแรกของกระบี่ภัยพิบัติของตน เจ๋อหัวหลีก็จะคิดค้นเพลงมีดของตนเช่นกัน และเดินออกมาจากเงื้อมเงาของเพลงมีดของลั่วอู๋ชวงในระหว่างเส้นทางการล้างแค้นของเขา
ตอนที่เขาหันหลังเดินจากไปผ่านกำแพงไฟ หากว่าข้าฟันเขาสักหนึ่งกระบี่ ก็คงจะกำจัดเขาไปได้แล้วแท้ๆ…หากว่าเป็นท่านปู่เป๋ เขาจะต้องทำแบบนี้ในวินาทีนั้นโดยปราศจากความลังเล! ฉินมู่สีหน้าซีดเผือดสลับดำคล้ำไปมาไม่หยุด
ข้างนอกโลกจำลองศึกทราย เสือเทพยดาขนดำมองจับสีหน้าของเขาได้และพลันตื่นเต้นขึ้นมา “นายท่าน นายท่าน! ท่านเห็นไหม หางตาของไอ้เด็กนั่นกระตุกบ่อยครั้ง ทั้งสีหน้าของเขายังแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุดยั้ง เดี๋ยวก็ซีดเดี๋ยวก็หมอง เขาถึงกับอุทานด้วยความตื่นเต้นเป็นระยะ! กรอบคิดจิตใจของเขาย่ำแย่ชัดๆ!”
นักบุญคนตัดไม้จ้องเขา และเสือเทพยดาขนดำก็สีหน้าแปรเปลี่ยน เขารีบหลุบหูลู่ลง
นักบุญคนตัดไม้ยื่นมือออกไปคว้าจับด้ามขวานเทวะ ในเวลาเดียวกัน ฟู่ยื่อลัวก็ยื่นมือออกไปเพื่อคว้าจับทวนมารของเขา ทั้งคู่ดึงอาวุธของตนกลับมา
ฉินมู่ผู้อยู่ในโลกจำลองศึกทรายพลันพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ ห้วงอวกาศพลันพังทลายเริ่มจากจุดที่ขวานและทวนเคยไขว้กันอยู่ ทุกอย่างหดเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว กลืนกินภูเขาอันยิ่งยงทั้งหลาย!
“ไปเร็วเข้า!” ฉินมู่ดึงซังฮั่วไปโดยไม่อธิบายมากมาย และอักษรรูนอันสวยงามก็ปรากฏขึ้นรอบๆ ตัวเขา พวกมันหมุนวนไปขณะที่เขากล่าว “ศิษย์พี่อวี่เหอ ศิษย์พี่ฉู่เหยา รีบมาทางข้าเร็วเข้า!”
อวี่เหอและฉู่เหยายังคงยืนอยู่ด้วยความตะลึงงันและมองมาที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า พวกเขาดูเหมือนจะยังไม่ได้สติสตัง
ห้วงมิติที่พังทลายเข้ามาใกล้พวกเขาขึ้นเรื่อยๆ และฉินมู่กัดฟันกรอดขณะที่ขับเคลื่อนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลของเขา แสงจ้าสว่างมาวาบหนึ่ง และเขาก็หายวับไปพร้อมกับซังฮั่ว
ก็ตอนนั้นเองที่อวี่เหอและฉู่เหยาได้สติ และหันกลับไปมอง สีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยวอย่างระงับไว้ไม่อยู่ อวี่เหอตะโกนออกไป “ศิษย์น้องฉู่เหยา มาร่วมมือกันทำลายกำแพงไฟและแหวกฝ่าออกไปจากสถานที่นี้!”
ความเร็วของพวกเขาเร็วอย่างยิ่งยวด แต่เมื่อพวกเขายกขาขึ้น พวกเขาก็ตระหนักว่าได้ดูเบาภยันตรายนี้เกินไปแล้ว พวกเขาเร็วจนทะลุความเร็วเสียง เร็วยิ่งกว่าฉินมู่ตอนที่อีกฝ่ายนั้นวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด กระนั้นความเร็วของห้วงมิติพังทลายก็ยังเหนือกว่า!
กำแพงไฟอยู่ตรงหน้าพวกเขาชัดๆ แต่ทว่าไม่ว่าพวเขาจะวิ่งเร็วเท่าใด ก็ไม่อาจเข้าไปใกล้มันได้
ไม่เพียงแค่นั้น ระยะห่างระหว่างพวกเขากับกำแพงยิ่งขยายถ่างออก และพวกเขาก็ยิ่งถูกดึงเข้าไปใกล้กับห้วงมิติที่กำลังพังย่อยยับมากขึ้นทุกที!
เหงื่อเย็นเยียบผุดออกจากหน้าผากของอวี่เหอและฉู่เหยา ข้างในห้วงอวกาศที่กำลังพังทลายนั้นซ่อนมหิทธานุภาพการปะทะกันระหว่างขวานเทพของนักบุญคนตัดไม้กับทวนมารของฟู่ยื่อลัว พลานุภาพนี้ได้เสกสรรโลกจำลองศึกทรายเมื่อก่อนหน้า เปลี่ยนแปลงจัตุรัสที่กว้างสามร้อยสิบคืบ ยาวห้าร้อยคืบ ให้กลายเป็นขุนเขาดารดาษในโลกมิติอันกว้างไกลกว่าพันลี้
แต่บัดนี้โลกแห่งนี้ได้ระเบิดปะทุและย่อหดเข้าไปย่อยยับพังทลาย มันก็ย่อมปลดปล่อยมหิทธานุภาพเมื่อขวานเทวะและทวนมารปะทะกัน
มหิทธานุภาพระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาวจะสามารถต้านทานได้ เกรงว่าก็คงมีแต่จะถูกกวาดล้างจนระเหิดหายเป็นไอ แหลกสลายแม้กระทั่งดวงวิญญาณ!
“ฉินมู่นักตีเหล็กเพียงเรียกพวกเราไปเมื่อครู่นี้ กะจะพาพวกเราออกไปด้วยกันใช่ไหม”
พวกเขาพลันนึกย้อนเสียใจ พวกเขาตกตะลึงจากรังสีแสงอันเจิดจ้าของกระบี่ฉินมู่เมื่อครู่ และได้ตะลึงงัน ไม่ทันฟังอย่างถนัดถนี่ว่าฉินมู่กำลังกล่าวอะไร เมื่อสะดุ้งจากภวังค์ขึ้นมาก็สายไปเสียแล้ว
ในตอนนั้น ก็มีแสงวาบมาอีกครั้ง และเงาร่างของฉินมู่ก็ปรากฏขึ้นข้างๆ พวกเขาในทันที จากนั้นอักษรรูนมากมายก็หมุนวนพลุ่งพล่านในอากาศรอบๆ ร่างกายพวกเขา ลำแสงระเบิดออกมาและอวี่เหอกับฉู่เหยาก็มึนงง เมื่อตั้งหลักได้อีกครั้ง ลืมตาขึ้นมาดู ก็พบว่าพวกเขาอยู่นอกจัตุรัสแล้ว
“ไปเร็ว!”
ฉินมู่ตะโกนบอก และโลดโจนทะยานไปข้างหน้า “ไปซ่อนข้างหลังโถงวัง!”
อวี่เหอและฉู่เหยาตามเขาไปอย่างเร่งรีบ ทั้งสามคนวิ่งอ้อมโถงวังใหญ่ข้างหลังอย่างเร็วรี่ ซังฮั่วซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ทั้งสี่คนเพิ่งมาถึงจุดนี้ ฉินมู่ก็นั่งหมอบลงไป ปิดตา อ้าปาก และปิดหูเอาไว้ ซังฮั่วเห็นเช่นนั้นก็รีบนั่งหมอบ ปิดตา อ้าปาก และปิดหูเอาไว้เช่นกัน
อวี่เหอและฉู่เหยายังไม่ทันได้สติดี คลื่นกระเพื่อมอันร้ายกาจก็ระเบิดออกมาจากจัตุรัส รังสีแสงเข้มข้นเจิดจ้าพวยพุ่งออกมาจากทั้งสองฝั่งฟากของโถงวังหลัก แสงวาบนั้นวูบมา ดวงตาของพวกเขาทั้งสองไม่อาจจะมองเห็นสิ่งใดได้ เมื่อพวกเขาหลับตาลง สองตาก็หลั่งน้ำตาโลหิตออกมา!
คลื่นกระเพื่อมนั้นส่งมาจากการที่ห้วงมิติพังทลายลงไปโดยสิ้นเชิง อวี่เหอและฉู่เหยาถูกยืดร่างออกอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นมนุษย์เส้นหมี่สองคน
เสียงอันกัมปนาทสะท้านฟ้าดังมา หูของพวกเขาก็ดับไปในพริบตานั้น กลายเป็นเงียบสงัดอย่างผิดธรรมดา!
เลือดที่ไหลจากหูทั้งสองของพวกเขาทำให้รูหูอุ่นไปหมด
ในโถงวังใจกลาง ทวยเทพแห่งสวรรค์ไท่หวงต่างก็แผดพลานุภาพอันไร้เทียบทานของพวกตน ประกอบกันเป็นกำแพงแสงเทวะ ป้องกันพลังงานที่เกิดจากห้วงมิติย่อยยับทำลายพวยพุ่ง แม้จะทำเช่นนั้น พวกเขาก็ยังคงถูกโยนจากคลื่นกระแทกและถ่อยร่นตุปัดตุเป๋
แต่ฉินมู่และซังฮั่วที่หมอบอยู่นั้นไม่เป็นอะไรมาก เมื่อรังสีแสงโรยราลงไป และคลื่นกระแทกก็พุ่งห่างไปที่ไกลๆ ทั้งสองคนจึงหุบปากลง ลืมตาและลุกขึ้นยืน
อวี่เหอและฉู่เหยาจากบนอากาศ ร่วงลงพื้นปังๆ นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง เมื่อคลานไต่ไปดูพวกเขา ก็พบว่าทั้งสองคนมีแต่เลือดโซมหน้า
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งสองคนก็ยังไม่อาจได้ยินเสียง มองอะไรไม่เห็น
“ศิษย์พี่ทั้งสองนี้ยังคงอ่อนเยาว์เกินไป ไม่เคยมีประสบการณ์พบพานเรื่องแบบนี้”
ฉินมู่ส่ายหัว ก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยทั้งสองคนตรวจดูอาการ “ข้าเคยพบพานเรื่องทำนองนี้มาก่อน และรู้ว่าถ้าอยู่ข้างๆ ยามที่เทพและมารสู้รบปรบมือกันจะเกิดอะไรขึ้น…พวกเขาไม่บาดเจ็บสาหัสเท่าไร ข้าจะหลอมปรุงยาจำนวนหนึ่งมาให้ทีหลังเพื่อให้ม่านตาและแก้วหูของพวกเขางอกขึ้นมาใหม่”
ซังฮั่ววิตก “เกิดอะไรขึ้น”
“ม่านตาของพวกเขาถูกเผาไหม้ และแก้วหูของพวกเขาก็ฉีกขาด มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่” ฉินมู่คุ้ยหาในถุงเต๋าตี้เพื่อค้นดูสมุนไพรประกอบยา “หากว่าดวงตาของพวกเขาระเบิดและกระดูกในหูของพวกเขาแตกหัก ข้าก็คงจะรักษาไม่ได้เพราะว่าในตอนนั้นสมองของพวกเขาคงสุกไปหมด แต่ว่าม่านตาของพวกเขาไม่ได้ถูกเผาไปโดยสิ้นเชิง และแก้วหูของพวกเขาก็มีรูทะลุเล็กๆ ดังนั้นพวกมันจึงสามารถงอกกลับมาดี”
“กายเนื้อของศิษย์พี่หญิงอวี่เหอ และศิษย์พี่ฉู่เหยานับว่าแข็งแกร่งอย่างแท้จริง แข็งแกร่งยิ่งกว่าข้า หากว่าเป็นข้า ม่านตาของข้าคงถูกเผาไหม้ไปจนหมด”
ซังฮั่วลอบแลบลิ้น และมองไปรอบๆ นางพบว่าสิ่งปลูกสร้างกว่าครึ่งหนึ่งในเมืองหลีถูกทำลายไป ทุกหนทุกแห่งมีแต่บ้านเรือนที่พังพินาศและเก๋งศาลาอันพังทลาย เผ่ามารมากมายล้มคว่ำอยู่กับพื้น และกลิ้งเกลือกไปมาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
ฟู่ยื่อลัวชักทวนมารของเขาออก และใบหน้าทั้งสามของเขาก็ตะโกนออกไปเป็นเสียงเดียว “เมื่อกล้าพนันก็ต้องยอมรับผลแพ้ชนะ! มารทั้งหมด จงฟังคำสั่งและละทิ้งเมืองนี้! ศิษย์น้องสวีโม่ นำไพร่พลทั้งหมดออกไปจากเมืองหลี!”
มารเทวะทั้งหลายรับคำบัญชาของเขา และเข้าไปควบคุมจัดเตรียมกองกำลังมารของแต่ละคนเพื่อล่าถอยออกไปจากเมือง
“ครูบาสวรรค์ วันนี้ไม่ใช่วันดีที่จะประมือกับเจ้า ไว้พวกเราค่อยต่อกันวันหลัง”
“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา”
ฟู่ยื่อลัวกระโดดลงไปจากราชวัง และพาทุกคนของฝ่ายเขาออกไป ในตอนนั้นฉินมู่กำลังหลอมปรุงยาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของอวี่เหอและฉู่เหยา เมื่อเขาเหลือบไปเห็นฟู่ยื่อลัวกำลังเดินออกไป เขาก็รีบมองไปที่อีกฝ่าย และอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
เขาพบว่าข้างหลังศีรษะของฟู่ยื่อลัวมีเส้นผมหยิกขอดหนาทึบ และไม่มีใบหน้าที่สี่ ในทางกลับกัน มีใบหูแหลมสองข้างอยู่ตรงนั้น อันตั้งตรงขึ้นมาเป็นพิเศษ
เขามีแค่สามหน้านี่นา
และด้วยฉะนี้ ฉินมู่ก็ไขปริศนาที่คันใจเขาอยู่ ตั้งแต่เมื่อที่เขาได้เห็นฟู่ยื่อลัว เขาก็เอาแต่สงสัยว่ามารตนนี้มีใบหน้ากี่หน้ากันแน่ เขาเอาแต่ขบคิดเรื่องนี้ และในที่สุดก็ได้คำตอบ
ฟู่ยื่อลัวสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา และบิดคอไปเพื่อเผยให้เห็นใบหน้าใบที่มีรอยยิ้ม เขากล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ชื่อของเจ้าคือฉินมู่หรือ ฉินมู่นักตีเหล็ก?”
เด็กหนุ่มกำลังจะอ้าปากตอบไป แต่ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งก็พุ่งวูบเข้ามาตรงหน้าของเขา และนักบุญคนตัดไม้ก็ปรากฏตัวกั้นกลาง ขัดขวางสายตาของฟู่ยื่อลัว
ฉินมู่ยังคงโผล่หัวของเขาออกจากข้างหลังและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ชื่อของข้าคือฉินมู่ ข้าขอน้อมคารวะมารเทวะวัชรา”
“เจ้าเข้าใจภาษามารด้วย? ฟู่ยื่อลัวแปลว่าวัชราจริงๆ นั่นแหละ” ฟู่ยื่อลัวผงกหัวและกล่าวด้วยความนัยอันลึกล้ำ “เจ้าและข้ามีวาสนาต่อกัน ดังนั้นพวกเราจะได้พบกันอีก”
เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็หันกลับและเดินจากไป “เจ๋อหัวหลี ตามมา”
………..