สายลมที่พัดสอดมาตามช่องลมใต้หลังคาบ้านเรือนที่ผุพัง จนได้สัมผัสถึงกลิ่นไอธรรมชาติ ความหนาวเย็นและกลิ่นหอมที่สาวใช้ของจวนเจ้าเมืองตระกูลหง ได้เตรียมสมุนไพรอันหอมหวนไว้ ตามคำสั่งของธิดาเจ้าเมืองตระกูลหง
วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่ง วันที่เป่าฮู่ลืมตาขึ้นมาในสถานที่อันไม่คุ้นเคย ภาพทุกอย่างที่ได้เห็นเป็นห้องพักกลับดูสะอาดตา กลิ่นหอมที่โชยมาทำให้กำลังวังชาฟื้นคืนมาเป็นปกติ ดั่งน่าอัศจรรย์
“ที่นี่ ที่ไหนกัน?”
เพียงการเอ่ยวาจาที่บางเบา สาวใช้ที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี ก็ได้รีบวิ่งออกไปแจ้งแก่องครักษ์ของจวนเจ้าเมืองตระกูลหง เพื่อให้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
หลังจากที่เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น วันนี้เป็นวันที่ จ้าวนิกายเสือขาวได้เดินทางมาเจรจา เพื่อขอโทษแทนศิษย์ของตน ที่ได้ทำความเสื่อมเสียหวังช่วงชิงอสูรของตระกูลหงในวันคัดเลือกบุตรเขยนั้น
แต่ทางด้านเจ้าเมืองหลังจากผ่านเรื่องในวันนั้นมา ก็ได้ระวังตัวเป็นพิเศษ และยังมีความประสงค์จะนำอสูรลมปราณเสือขาว มาเป็นข้อต่อรองเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่สมน้ำสมเนื้อ
เพราะตัวตนที่ยื่นมือเข้ามายุ่งในครั้งนี้ แม้จะเป็นนิกายเสือขาว แต่ก็ยังดีกว่า โจรชั่วเช่น เต้าเหล่ยแห่งแดนศักดิสิทธิ์ อัตระกูลเต้ามากด้วยอำนาจการที่จะทักทานกับตระกูลมหาอำนาจได้ต้องมีกองหนุนที่ไว้ใจได้ โดยหากจะทำเช่นนั้นได้หงซวนต้องสร้างมันขึ้นมาเอง
ณ ห้องโถงจวนเจ้าเมืองตระกูลหง
ระหว่างการมาเยือนของ ไป๋ฟงเสียน จ้าวนิกายเสือขาว โดยวันนี้เป็นการมาเพื่อเชื่อมรอยร้าวของเมืองตระกูลหงและนิกายเสือขาว
“คาราวะท่านเจ้าเมืองตระกูลหง หงซวน ข้านั้นได้ทำความเสื่อมเสียแก่นิกายเป็นอย่างมาก ที่ไม่ได้อบรมศิษย์ของตนเองให้ดี วันนี้ข้านั้นจึงเดินทางมาด้วยตนเอง เพื่อขอโทษท่านที่ต้องทำให้ท่านขุนเคืองใจและเพื่อรักษามิตรภาพอันดีของเราสืบต่อไปอีกหลายปีข้างหน้า”
ด้วยคำกล่าวนี้ หงซวนก็ได้มองเห็นความจริงใจของไป๋ฟงเสียน ว่าเป็นคนที่เที่ยงตรงไม่เสแสร้ง ส่วนการที่ศิษย์เอกของเขากระทำการลบหลู่นำพาคนบุกสุสานบรรพชน ก็เพียงหวังจะกำราบอสูรลมปราณในตำนาน เสือขาวตนนั้น
“เอาอย่างนี้ ท่านจ้าวนิกาย ข้าหงซวนเป็นคนที่ตรงไปตรงมา วันนี้บุตรสาวข้า ก็อายุครบกำหนด 16 ปี ดังนั้นจึงคิดว่า ควรต้องย้ายนางที่ศึกษาอยู่ที่สำนักจ้าวเมืองของตระกูล เข้าไปศึกษาที่ นิกายของท่าน โดยข้านั้นต้องการข้อตกลงแลกเปลี่ยนจากท่านนับจากนี้ต่อไปวันข้างหน้า”
คำกล่าวที่เป็นการยื่นข้อเสนอนี้ ไป๋ฟงเสียนรับรู้ว่าคนเช่นหงซวนย่อมต้องมีอะไรที่เป็นของแลกเปลี่ยนเป็นแน่
“ท่านเจ้าเมืองหงซวน ท่านต้องการให้นิกายเสือขาวของข้าทำสิ่งใด เพื่อลบเลือนรอยร้าวของเราทั้งสองฝ่ายจงบอกมา อย่าได้เกรงใจข้าคนนี้เลย”
เมื่อได้ฟังไป๋ฟงเสียนกล่าวตามที่ตัวของหงซวนวางแผนไว้ ดังนั้นจึงทำให้หงซวนเปิดแผนการที่ตัวของมันวางไว้ให้แก่บุตรสาว หรือก็คือ หงหลี่นั่นเอง
“อันตัวเรานั้น ยินดีมอบอสูรลมปราณเสือขาวให้แก่ท่าน นิกายเสือขาว แต่ว่า ท่านต้องยอมรับข้อเสนอของเรา 3 ข้อ”
เมื่อไป๋ฟงเสียนได้ยินว่า ตระกูลหงยินดีมอบอสูรในตำนานให้แก่นิกายเสือขาว โดยแลกเปลี่ยน กับ ข้อตกลง 3 ข้อนั่นยิ่งทำให้ตัวของไป๋ฟงเสียนยิ้มแทบไม่หยุด หากจะกล่าวถึงอสูรลมปราณเสือขาวที่ตามหามานาน มีหรือเพียงข้อตกลง 3 ข้อจะไม่ยินยอม
“เชิญ ท่านเจ้าเมืองกล่าวมา แม้ข้าไป๋ฟงเสียนคนนี้จะทำไม่ได้ ลูกข้า ศิษย์ข้าย่อมต้องทำตามข้อตกลงของท่านได้เป็นแน่”
คำกล่าวนั้นทำให้หงซวน ยิ้มออกมา และเริ่มกล่าวในสิ่งที่ตัวมันต้องการ
“ข้อที่ 1 ท่านต้องรับบุตรสาวของข้าเป็นศิษย์ส่วนตัวของท่านหรืออาวุโสคนใดคนหนึ่ง และอบรมนางอย่างดี
ข้อที่ 2 ท่านต้องหาสัตว์อสูรให้นางเป็นการทดแทนอสูรเสือขาวตัวนี้และระดับคุณค่าของมันต้องไม่ธรรมดา
…”
การพูดถึงข้อที่ 3 จู่ๆองครักษ์ที่เฝ้าอาการของชายหนุ่มแปลกหน้าก็รุดเข้ามารายงาน
“คาราวะท่านเจ้าเมือง ท่านจ้าวนิกายไป๋ฟงเสียน ข้าน้อยรีบนำความสำคัญมารายงาน ท่านผู้นั้นฝืนสติแล้วขอรับ”
เมื่อหงซวนได้ฟังดังนั้น ก็คิดว่า เรื่องนี้ เดิมเป็นความชอบของชายหนุ่มผู้นั้นที่ สามารถจัดการกับเต้าเหล่ยให้หนีไปได้ โดยที่ตนและคนของตน ไม่มีใครต้องล้มตาย
“อื่ม ไปเชิญท่านผู้นั้นมาที่นี่ ระวังดูอาการเขาด้วย”
คำกล่าวที่ผ่อนปรนทำให้ไป๋ฟงเสียนรู้สึกตกใจ ข้าไม่ทราบว่าท่านมีแขกหรือบุคคลสำคัญ เช่นนั้นธุระของเราข้าว่า…”
คำกล่าวนั้นทำให้เจ้าเมืองหงซวนรีบกล่าวออกไปเพื่อแก้ต่างทันท่วงที
“ช้าก่อน ช้าก่อน ท่านจ้าวนิกาย เรื่องนี้เองก็เกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อวันวานจนสิ้น ท่านผู้นั้นก็คือชายหนุ่มที่นำความเรื่องที่มีการบุกรุกมาแจ้งแก่เรา เจ้าเมืองหงซวน ดังนั้น ข้าคิดว่า ข้อเสนอข้อสุดท้ายข้าจะยกให้แก่คุณชายท่านนั้น”
เมือเรื่องที่ลงเอยแบบนั้น ไป๋ฟงเสียนเริ่มคิดหนัก และไม่รู้ว่า ชายหนุ่มแปลกหน้าจะขออะไรหากเป็นเรื่องเล็กก็ว่าไป หากเป็นเรื่องใหญ่แล้วย่อมต้องพิจารณาร่วมกันกับเหล่าอาวุโส
หลังจากที่องครักษ์ไปตามเป่าฮู่เพียงไม่นาน ชายหนุ่มที่เดินมาพร้อมอาการอ่อนเพลียหลังจากที่ร่วมการต่อสู้อย่างหนักหน่วงเมื่อวาน
“ท่านเจ้าเมือง ท่านผู้นั้นมาถึงแล้ว”
เป่าฮู่ชายหนุ่มผู้สวมใส่ผ้าคลุมดำเฉกเช่นเดิม ทำให้เจ้าตัวไม่รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหน้า เป็นยอดฝีมือชั้นแนวหน้าของดินแดนเสือขาวแห่งนี้
เมื่อไป่ฟงเสียนได้จับสัมผัสระดับพลังของชายหนุ่มแปลกหน้า ก็รู้สึกแปลกใจ
เพราะเท่าที่ดูจากผิวพรรณและโครงสร้างร่างกาย นาจะเป็นรุ่นเยาว์แต่ระดับพลังกลับลึกล้ำกว่าศิษย์ของตนเองเสียอีก
หลังจากที่เป่าฮู่เดินเข้ามาก็รับรู้แล้ว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ใดและควรทำตัวเช่นใด
“ผู้เยาว์คาราวะ ท่านเจ้าเมือง และท่านอาวุโส”
เมื่อคำกล่าวว่าผู้เยาว์ทั้งองท่านก็ได้องมาทางรุ่นเยาว์ผู้ลึกลับ และเป่าฮู่หลังจากที่ได้มาถึงจุดที่ยืนของตนก็ลดผ้าคลุมหน้าออกเผยให้เห็นถึงรูปร่างเค้าโครงที่หล่อเหลาเป็นอย่างมาก
“อื่ม เป็นรุ่นเยาว์ที่น่าสนใจ”
ไป๋ฟงเสียนได้เห็นก็กล่าวออกมาเพียงบางเบา หลังจากนั้นเจ้าเมืองหงซวนได้เห็นท่าทีของทั้งสองก็รีบกล่าวบางสิ่งออกมา
“เอ่อ ข้าเจ้าเมืองหงซวนเองต้องขอขอบใจ คุณชาย เอ่อ ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่า?”
เป่าฮู่ได้ฟัง ก็คิดว่าตนเองควรบอกนามของตนไปดีหรือไม่ แต่ก็คิดว่าขอแค่ไม่ใช่คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ย่อมไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน
“ผู้เยาว์ มีนามว่า ฮู่ แซ่เป่า เป็นคนจากแดนเสวียนอู่ เดินทางมาที่เมืองตระกูลหง ก็เพราะอยากท่องยุทธ์ภพ และเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เผอิญผู้เยาว์ผ่านทางมา เพียงเห็นว่าเป็นคนจาก แดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าน้อยที่มีแค้นลึกซึ้งจึงได้ล่วงเกินท่านจ้าวเมืองอุกอาจทำลายงานคัดเลือกบุตรเขยของท่าน และทำให้คุณหนูของท่านไม่อาจพบเจอเนื้อคู่ที่คู่ควร”
เมื่อไป๋ฟงเสียนได้ฟังเรื่องราวก็เข้าใจว่า คนที่สามารถจัดการกับเต้าเหล่ยคนนั้นได้คือเจ้าหนุ่มตรงหน้าคนนี้หรือ
“พ่อหนุ่ม ข้าคือจ้าวนิกายเสือขาว เจ้าเป็นศิษย์ของผู้ในในยุทธ์ภพพอจะบอกแก่ข้าได้หรือไม่ คนที่สามารถจัดการกับเต้าเหล่ยอัจฉริยะแห่งตระกูลเต้าได้นับว่าต้องมีชื่อเสียงในยุทธ์ภพบ้าง”
เป่าฮู่ได้ฟังก็ได้ครุ่นคิดว่าจะกล่าวสิ่งใดออกไป ดังนั้นจึงกล่าวออกไปเพียง
“ข้าน้อย ไร้วาสนา ได้รับการสั่งสอนจากยอดยุทธ์พเนจรเพียงไม่นาน และรับฝากเจตนารมณ์ของท่านไว้ และอยากจะทำให้สำเร็จจึงไม่ได้เฝากตัวเป็นศิษย์ใครอย่างจริงจัง”
เมื่อไป่ฟงเสียนได้ฟังว่า เจ้าหนุ่มคนนี้ไม่ได้มีใครเป็นอาจารย์ แต่กลับพาตนเองมาถึงระดับราชาลมปราณยอมต้องมีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงทำให้ไป๋ฟงเสียนต้องการที่จะดึงเจ้าหนุ่มคนนี้เข้าร่วมนิกาย แต่ทางด้านเจ้าเมืองกลับคิดว่า หากลองเสนอตำแหน่งดีๆให้เต้าหนุ่มคนนี้อาจต้องการที่จะมีความเจริญในอนาคต
“อะแหม!”
เจ้าเมืองหงซวนได้ครุ่นคิดจนสิ้นก็กล่าวออกไปถึงสิ่งที่คั่งค้าง
“คุณชายเป่าฮู่ เดิมทีก่อนหน้านี้ ข้าได้คุยกับท่านจ้าวนิกายเสือขาวทำกรแลกเปลี่ยนข้อตกลงกัน โดยเหลือข้อแลกเปลี่ยนข้อสุดท้ายที่ข้าตั้งใจจะยกให้ท่าน ที่ช่วยเราจากภัยพิบัติเมื่อวานที่ผ่านมา ท่านต้องการสิ่งใดให้นิกายเสือขาวตอบแทนท่านจงกล่าวออกไปได้เลย”
คำพูดนี้ทำให้ไป๋ฟงเสียนรู้สึกว่า ตัวมันกำลังถูกรูดทรัพย์ก็มิปรานแต่ เมื่อต้อแลกกับอสูรพยัคฆ์ขาว ต่อให้เสียเท่าไหร่ก็ยอม
“อื่ม! เชิญคุณชายเป่าฮู่ขอมาได้เลย ข้านั้นพร้อมทำตามที่ท่านต้องการ”
เมื่อโอกาสที่เป็นเสมือนสวรรค์หล่นทับ ภารกิจตามล่าหาเคล็ดวิชาของนิกายได้มาเยือนโดยไม่ได้คิดมาก่อน
“เอ่อ…ข้าจะขออะไรก็ได้ใช่หรือไม่ อย่างนั้น ข้าน้อยจะขอหละนะ”
คำกล่าวนี้ทำให้ไป่ฟงเสียนคิดว่า
(ไอ้หนูเอ็งอย่าขอในสิ่งที่ข้าทำไม่ได้เชียวหละ ไม่อย่างนั้น มีหวังข้าคงอับจนหนทางเป็นแน่)
ส่วนทางด้านหงซวนคิดว่า
(มันจะดีแล้วหรือ ที่เรายกข้อสุดท้ายให้แก่ เจ้าหนุ่มนี่ ทั้งที่เราเพียงมอบเงินทองสักเล็กน้อยให้ก็พอ แต่วาจะตกปลาใหญ่ใจต้องกล้าที่จะเสี่ยง ด้วยฝีมือและพรสวรรค์ขนาดนี้ ต่อให้ยกลูกสาวให้ก็ยังได้)