เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน ท่ามกลางอากาศที่แสนสดชื่น กลิ่นอายใบหญ้าและดอกไม้นาๆชนิดที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลทั่วจวนเจ้าเมือง
ณ จวนเจ้าเมืองที่เคยวุ่นวายมาหลายต่อหลายปี ก็ยังคงวุ่นวายไม่มีเปลี่ยน
แต่ในวันนี้กลับต่างออกไป เมื่อลานฝึกซ้อมของบุตรสาวของเจ้าเมืองตระกูลหง กลับมีหนึ่งบุรุษที่กำลัง ฝึกวิชายุทธ์ตั้งแต่รุ่งเช้า โดยมีสาวน้อยนางหนึ่งที่เป็นคู่ซ่อมมือให้
“ท่านพี่ หากท่านทำได้เพียงป้องกัน เช้านี้ท่านคงต้องพาข้าไปเที่ยวตามที่ตกลงไว้แล้ว”
เมื่อทั้งสองคือ หนึ่งบุตรบุญธรรมและหนึ่งบุตรสาวโดยชอบธรรมของเจ้าเมืองตระกูลหง โดยการเฝ้ามองของเหล่าองครักษ์ที่ทำการอารักขารอบจวนเจ้าเมือง
“ท่านนายกองท่านว่า คุณชายเป่าฮู่คิดหวังสิ่งใด จึงใช้ผลงานเพียงชั่วคราวนั้นล่อลวงคุณหนูได้เพียงนี้? และท่านเจ้าเมืองยังคงคล้อยตามคุณชายคนนี้อีก อาจเป็นไปได้หรือไม่ว่า คุณชายเป่าคนนี้คิดที่จะ…?”
เมื่อหัวหน้าองครักษ์ นาม ซื่อหลง หมายปอง คุณหนูน้อยมานาน ใครจะยอมให้เจ้าบ้าที่ไหนก็ไม่รู้คาบไปกินกัน
“ฮึ! คิดใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกลวงหญิงที่ข้าหมายตา ต้องมีวันที่ข้าจะเอาคืน”
เพียงเท่านั้นสิ่งเดียวที่หัวหน้าองครักษ์ผู้นี้จะทำได้ ก็คือแจ้งข่าวของการเดินทางที่เจ้าเมืองตระกูลหงต้องไปส่งบุตรสาวที่นิกายเสือขาว เวลานั้นเหมาะมากที่จะทำการลงมือ เพราะเวลานั้น เจ้าเมืองไม่ได้เดินทางร่วมไปด้วย
ตอนนั้นเพียงแค่ตนเองแจ้งข่าวไปยังเขตปกครองศักดิ์สิทธิ์ แจ้งคุณชายเต้าเหล่ยที่มีความแค้นต่อเจ้าคุณชายกำมะลอเป่าฮู่คนนี้ และตนเพียงต้องการคุณหนูหงหลี่เป็นข้อแลกเปลี่ยนเท่านั้น ก็สำเร็จผลที่รอคอย แต่เจ้ามดปลวกตัวนี้ไม่รู้ว่าอีกไม่นานทั่วทั้ง 4 ดินแดนจะมีงานใหญ่เกิดขึ้น
“พวกเรากลับ ที่นี่มีทหารผลัดใหม่มาเปลี่ยนเวรยามแล้ว”
เพียงเท่านั้นกำหนดการที่แจ้งแก่เหล่าหัวหน้าองครักษ์ทั้งสองชุดก็ถูกหนึ่งในนั้น ส่งอสูรสื่อสารไปแจ้งแก่คุณชายเต้าเหล่ยตามที่มันคิดไว้
ด้านเป่าฮู่หลังจากที่พักอาศัยในจนเจ้าเมืองมาได้สักพัก เจ้าเองก็ได้ตัดสินใจถาม บุตรชายบุญธรรมถึงสิ่งที่ต้องการจะทำให้วันข้างหน้า
ณ ห้องโถงใหญ่ จวนเจ้าเมืองตระกูลหง
“เอาหละลูกเป่าฮู่ เจ้าพักที่จวนมาก็ได้สักระยะแล้ว หลังจากนี้คิดเห็นอย่างไรต่อไป เพราะอีกไม่กี่วัน หงหลี่จะเดินทางไปเข้าร่วมนิกายเสือขาว ตัวพ่อแม้อยากให้เจ้าติดตามไปคุ้มกันนาง แต่นิกายเสือขาวเป็นนิกายที่ฝึกลมปราณธาตุลม และทองซึ่งตัวเจ้าเป็นผู้ใช้ลมปราณธาตุน้ำ พ่อก็ตัดสินใจยาก”
เพียงเป่าฮู่ได้ฟัง ก็คิดว่าสิ่งที่เจ้าเมืองหงซวน ผู้เป็นพ่อบุญธรรมห่วงนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลใจนัก เพราะอย่างไรเสียเป่าฮู่ต้องการเดินทางให้ทั่วทั้ง 4 ดินแดน เพื่อที่จะหาข้อมูลให้มากเท่าจะมากได้และฝึกตนเอง โดยเป้าหมายของเป่าฮู่คือ วันที่เหล่าชาวยุทธ์มาชุมนุมกันที่แดนศักดิ์สิทธิ์ เพื่อชิงตำแหน่งจ้าวยุทธ์ภพ
“ท่านพ่อ เรื่องนี้ลูกตัดสินใจแล้ว ลูกมีเป้าหมายจะเดินทางไปให้ทั่วทั้ง 4 ดินแดน และที่ต่อไปนั้น ลูกจะเดินทางไปยัง ดินแดนแห่งเพลิง ทางใต้นครแห่งหงส์เพลิง ขอรับ”
เมื่อสถานที่ หากเจ้าจะไปที่แดนใต้ ก็จงรับสิ่งนี่ไปด้วย”
เพียงการสะบัดข้อมือ กลับมีเทียบเชิญที่มีอักษรจารึกไว้อย่างวิจิตรงดงาม
(เทศกาล ชมหงส์เพลิง) เป่าฮู่ได้เห็น ก็สงสัยและจ้องมองไปทางเจ้าเมืองผู้เป็นบิดาบุญธรรม
“ท่านพ่อนี่คือ?”
เมื่อหงซวนได้เห็นสิ่งที่บุตรบุญธรรมได้ถามออกมา ก็ทำให้ตัวของหงซวนยิ้มเป็นการใหญ่
“ลูกเอ๋ย เจ้าไปอยู่ที่ใดมา งานเทศกาลชมหงส์เพลิง นั้นหนุ่มๆทั่วทั้ง 4 ดินแดนย่อมต้องไป ก็ได้รับเทียบเชิญนั้นมาไว้ในมือ พร้อมกับก้าวเดินจากห้องโถงออกมา เพียงเท่านั้น ซื่อหลง ก็เดินเข้ามาทัก คุณชายเป่า บุตรบุญธรรมของนายท่านของมันที่ตัว ซื่อหลงไม่ยอมรับ
“คาราวะคุณชายเป่าฮู่ วันนี้เห็นคุณชายยังไม่ได้ฝึกยุทธ์ มิทราบพอมีเวลาให้ข้าซื่อหลงคนนี้ ร่วมเป็นผู้ฝึกซ้อมกับคุรชายสักหน่อยหรือไม่?”
เพียงเท่านั้น หงหลี่ที่กำลังเดินทางมาแจ้งข่าวแก่พี่ชายของนางได้ยินเข้าพอดีและรู้ว่า เจ้าอันธพาลซื่อหลงคนนี้เป็นคนชั่วช้าเช่นไร แต่ที่ท่านพ่อของนางยังรับตัวของเจ้าคนผู้นี้เอาไว้ ก็เพราะมีงานเดียวที่มันทำได้อย่างไร้ข้อกังขา นั่นคืองานสังหารผู้ที่คิดร้ายต่อจวนเจ้าเมืองแห่งนี้
“หยุดความคิดชั่วๆของเจ้าซะ ซื่อหลง เรารู้ว่าเจ้าคิดสิ่งใด”
เสียงร้องเตือนให้หัวหน้าองครักษ์ของจวนเจ้าเมืองหยุด ก็คือเสียงของเทพธิดาประจำจวนนั่นเอง
“ซื่อหลง คาราวะคุณหนู”
ท่าทีที่เปลี่ยนไปของซื่อหลงที่มีต่อหงหลี่และ การกระทำก่อนหน้าต่อเป่าฮู่ทำให้เป่าฮู่เริ่มหันมาสนใจ ชายคนนี้
“พี่ชาย อย่าไปสนใจเจ้าหมาบ้าคนนี้เลย ตามตื้อข้าจนข้านั้นเบื่อหน่าย เราไปกันเถอะวันนี้ข้ามาเรื่องจะบอกท่านด้วย”
จากการไม่ชอบกลับกลายเป็นสนิท กิริยาแบบนี้ที่ซื่อหลงไม่ชอบใจ จนแววตาชิงชังส่งไปถึงเป่าฮู่ด้วยจิตสังหารที่รุนแรงจนน่าสะอิดสะเอียน เป่าฮู่หยุดก้าวเท้าเดินและหันกลับมา พร้อมกล่าวออกไปว่า
“เดิมทีเรามิคิดจะมีเรื่องอะไรกับท่าน ท่านหัวหน้าองครักษ์ แต่จิตสังหารทีท่านปล่อยออกมาเมื่อครู่ทำให้เราต้องหยุดมองท่านอีกครั้ง การมีคนที่มากด้วยความคิดอกุศล ไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่ตน หวังปีนป่ายขึ้นมาจากตัวบุตรสาวของผู้เป็นนาย ข้าเป่าฮู่เองก็มิอาจทำใจยอมรับได้ ในเมื่อเวลานี้ข้าในฐานะพี่ชายบุญธรรมเห็นคนที่คิดชั่วช้าต่อน้องสาวาคงอาจปล่อยไว้ได้อีก”
เมื่อซื่อหลงได้ฟัง บวกกับความอึดอัดที่มีมานานต่อจวนเจ้าเมืองแห่งนี้ มันได้หันไปสั่งการต่อคนของมันที่คิดจะปลีกตัวจากจวนแห่งนี้พร้อมกันว่า
“ฮ่าๆๆๆๆ ในเมื่อวันที่ข้าเฝ้าอดทนมาจนถึงขีดสุด วันนี้ และวันนี้ ข้าซื่อหลง ผู้ทีทุ่มเททำงานตามคำสั่งของ ตาเฒ่าหงซวนมานาน จะหวังชื่นชมเทพธิดาตัวน้อยคนนี้ไม่ได้เชียวหรือ แล้วแก่เป็นใครวิเศษมาจากไหน เพียงแค่คิดว่าตนเองมีระดับลมปราณขั้นราชา จะสามารถมองผ่านคนเช่นข้าได้”
คนกล่าวที่ดังลั่นไปทั่วลาน จนทำให้ตัวหงซวนผู้เป็นเจ้าเมืองที่เดินทางมาเพื่อจะย้ำเตือนบุตรชายบุญธรรมของตนก่อนที่จะออกเดินทาง
ณ สวนไผ่ด้านหลังกำแพง
หลังจากที่หงซวนเดินมาได้ครึ่งทางก็ได้ยินการต่อล้อต่อเถียงกันของบุตรสาวของตน โดยกลุ่มคนที่ติดตามมาก็คือ ซื่อหม่า ผู้เป็นองครักษ์อีกผู้หนึ่ง ที่ได้รับการชุบเลี้ยงจากเจ้าเองมาตั้งแต่เด็ก
“นายท่าน นั่นเสียงของเจ้าซื่อหลง มันช่างชั่วช้านัก ให้ข้าจัดการมันดีหรือไม่?”
หงซวนได้ยอนได้ฟังดังนั้น จึงสั่งให้เหล่าองครักษ์ที่เหลือแยกย้ายไปจัดการลูกสมุนของซื่อหลงให้หมด และคุมตัวมารอรับโทษ และตัวหงซวนพร้อมทั้งซื่อหม่า ทั้งสองเดินลัดเลาะไปตามกำแพงจนพบจุดที่สามารถมองออกมาเห็นการต่อสู่ที่กำลังจะเกิดบนลานฝึกยุทธ์
ณ ลานฝึกยุทธ์
เมื่อซื่อหลง เห็นเป่าฮู่เดินก้าวออกมาจากจุดที่คุณหนูผู้เป็นที่รักของมันยืนอยู่ รอยยิ้มที่ชั่วช้าของมันพลันบังเกิด แต่ทางด้านเป่าฮู่ได้เห็นแววตาที่ต่ำช้าและความคิดที่สกปรกนั้น มันไม่มีทางที่จะปล่อยให้คนชั่วแบบนี้ต้องลอยนวล
“นำอาวุธของเจ้าออกมา หัวหน้าองครักษ์ซื่อหลง เพราะวันนี้เราเป่าฮู่ขอทำหน้าที่แทนท่านพ่อบุตรธรรม ขจัดหนูโสโครกออกจากลานหลังบ้านของท่าน เจ้าจะไม่มีชีวิตรอดออกจากลานฝึกยุทธ์นี้เป็นแน่ จงแสดงทุกอย่างที่เจ้ามีออกมา”
เมื่อซื่อหลงได้ยินก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ฮ่าๆๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ ลำพังเจ้าที่มีระดับราชาลมปราณระดับต้นเท่ากับข้า คิดกำจัดข้าที่ผ่านการเข่นฆ่ามาแต่เด็ก ไร้สาระจริงๆ เมื่อมั่นใจตนเองขนาดนั้น รับมือ”
การเคลื่อนตัวออกจากจุดเดิมที่เคยยืน ด้วยทักษะของพลังวายุชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นวิชาที่สำหนักเจ้าเมืองนั้นมี มันคือวิชาก้าวเงามายา เพียงร่างเงา ที่เคลื่อนตัวหายไปจากตรงหน้าของเป่าฮู่ ทั้งที่ตัวเป่าฮู่ยังหยัดยืนอยู่ที่เดิม ด้วยท่าทางที่มั่นคง
การที่เป่าฮู่ยืนมั่นคงอยู่กับที่ หงหลี่ก็เริ่มรับรู้ว่าพี่ชายของนางกำลังจะทำอะไร เพราะตลอกเวลาที่นางปะมือกับพี่ชาย แม้แรกเริ่มจะทำให้นางรับรู้ถึงกลิ่นอายแห่งความชนะที่หอมหวน
แต่เพียงชายหนุ่มนามเป่าฮู่ยืนตัวตรง ผายมือไปด้านหน้าหนึ่งข้างอีกหนึ่งไว้ด้านหลัง นั่นคือท่าทางของชายหนุ่มทีเอาจริงและไม่มีทางปราณีต่อศัตรูตรงหน้า
เป่าฮู่ที่โคจรลมปราณเต่าดำคุ้มกาย จนเกราะปราณสีดำอ่อนๆปรากฏเป็นรูปกระดองเต่า วันนี้เป่าฮู่คิดว่านี่คือครอบครัวจึงไม่คิดจะปกปิด และตลอดเวลาที่อาศัยอยู่ได้แอบศึกษานิสัยแต่ละคนจนแน่ใจ และรู้ดีว่าตระกูลหงคือตระกูลผู้ใช้ธาตุวายุนั่นเอง ลมปราณที่หายสาบสูญไปกว่า 100 ปีจึงไม่มีใครที่รู้จัก
เมื่อกระดองเต่าที่เสมือนของเด็กเล่น สำหรับคนโง่เขลาเช่นซื่อหลง แต่สำหรับผู้เป็นเจ้าเมืองที่ศึกษาตำราและบันทึกต่างๆมาบ้างพอที่จะรู้มาอยู่บ้างเช่นกัน
(เป็นไปไม่ได้ ลมปราณเทพ ต้องใช่ลมปราณเทพ เป็นแน่เกราะคุ้มกายเช่นนี้ อย่าบอกนะว่า ฮู่เออร์ของข้า คือศิษย์ของนิกายที่สาบสูญ เสวียนอู่ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ)
เสียงที่กู่ก้องในหัวของหงซวน เพียงเท่านี้ก็ทำให้หงซวนรับรู้ถึงความรุ่งโรจน์ในวันข้างหน้า หนึ่งในลมปราณเทพทั้ง 4 ของยุทธ์ภพ และอีกไม่นาน บุตรสาวก็จะได้ครอบครองลมปราณเทพเสือขาว เพียงเท่านี้ ตระกูลหงก็นับว่ามีโอกาสคงอยู่ไปอีก100 ปี