หลังจากที่ทั้งสองคนเป่าฮู่และจี้เออร์พากันเดินทางมายังตลอดเมืองหลวงของ
แดนศักดิ์สิทธิ์ เป่าฮู่ก็ได้เห็นว่าในเมือหลวงแห่งนี้มากมายด้วยผู้คนเหล่าผู้คนชั้นสูงชนชั้นสามัญ และทาสรับใช้ต่างถูกแบ่งแยกออกมาอย่างชัดเจน
โดยสิ่งเหล่านี้ผู้ปกครองเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ก็คือเต้าเจิ่งผิงและ
เต้าเหลียงคุนสองพี่น้องต่างแบ่งกันปกครองเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่ของตนเอง โดยมีการควบคุมจากเต้าห่วงเย่อยู่เบื้องหลัง
เพียงวันเวลาผ่านอาการของเต้าห่วงเย่ที่กำเริบหนักกว่าเดิมก็ปรากฏให้เหล่าชนชั้นผู้นำในดินแดนนี้ได้เห็น
การที่เหล่าชาวบ้านในแดนศักดิ์สิทธิ์มองตระกูลเต้าเป็นราชวงศ์ของพวกเขาก็ไม่ผิดเพาะ เต้าเจิ่งผิงคือราชาผู้ปกครองเหล่าชาวบ้านอีกชั้นหนึ่ง
ดังนั้นตำแหน่งของเต้าอิงเฉิงและเต้าเหล่ยจึงสำคัญอย่างมาก วันนี้เหล่าผู้คนในตลาดต่างพากันมาตั้งแผงลอยขายของ สินค้าที่วางขายสิ่งต่างๆก็ล้วนแต่เป็นของที่หาได้จากป่า และหินแร่จากเหมือที่หามาอย่างยากลำบาก
เพียงเป่าฮู่เดินผ่านแผงลอยข้างทางที่มีแม่ค้าวัยชราและหลานชายวัยหนุ่มมาตั้งแผงขายหินเก่าๆจำนวนมาก ในสายตาของคนเหล่านี้หินพวกนี้อาจดูไร้ค่าเพราะยังไม่ได้ล้างทำความสะอาดให้ดีนักแต่มันล้วนเป็นหินแร่ที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของชายหนุ่มที่นั่งมองสินค้าตนเองอยู่อย่างใจจดจ่อว่าใครหนอจะช่วยซื้อมันไปเสียที
เมื่อการเดินผ่านไปไม่นานเต่าตัวเท่าฝ่ามือก็ออกมาปรากฏที่บนหัวของเป่าฮู่ก่อนที่มันจะบอกผ่านห้วงสำนึกของชายหนุ่ม
“เจ้าหนู หินเก่าๆเหล่านั้นคือหินกำเนิดพลังธาตุและดูๆแล้วน่าจะเป็นหินที่สะสมพลังธาตุไม้ของธรรมชาติไว้หนาแน่นหน้าดู แม้ข้าจะไม่อาจตรวจสอบได้อย่างแน่ชัดแต่ว่าเจ้าของสิ่งนั้นอาจมีประโยชน์กับเจ้าก็ว่าได้”
เพียงเท่านั้นเป่าฮู่ก็เดินมาส่งจี้เออร์ที่ร้านชุดก่อนที่ตัวมันเองจึงย้อนกลับไปที่แผงลอยขายหินแร่งเหล่านั้น
“นี่น้องชาย หินเหล่านี้เจ้าขายอย่างไร?”
เสียงที่เป็นดั่งเสียงของเทพจากสวรรค์ที่ชายหนุ่มผู้นั้นรอคอย การที่ลูกค้าคนแรกมาถามซื้อหินเหล่านั้น ในใจของชายหนุ่มก็ซึ้งจนพูดไม่ออก
เพาะของเหล่านี้ล้วนแล้วแต่สามารถต่อเติ่มชีวิตของสองยายหลานได้เป็นอย่างดี
“เอ่อ…คุณชายหินพวกนี้มันคือหยกชิ้นดีที่ยังไม่ได้รับการตกแต่งขัดเกลา
ข้าขายให้ท่านหากท่านสนใจ ในราคาพิเศษเลยทีเดียว”
เมื่อเป่าฮู่ได้ฟังก็ถามออกไปถึงราคาของสินค้าเหล่านี้
“บอกมาเถอะท่านยายว่าหินเหล่านี้ราคาเท่าไหร่กัน หากข้าช่วยได้ข้าจะช่วย”
คำกล่าวที่อ่อนโยนและสายตาที่เห็นใจในความลำบากของคนชนชั้นต่ำในดินแดนเหล่านี้ เป่าฮู่ได้คิดว่าหากมันมีประโยชน์จริง ตนที่ได้เงินมาจากตระกูลเต้าก็จะขอใช้เงินของพวกมันสนองความต้องการเสียให้สิ้น
เป่าฮู่ได้เห็นท่าทีของแม่ค้าวัยชราตัวมันเองจึงถามออกไปอีกครั้ง
“ท่านยายท่านจะขายให้ข้าสักเท่าไหร่กัน บอกมาเถิดหากข้าไหวข้าจะช่วย?”
หลานชายที่เห็นยายแก่คิดคำนวณราคาตัวมันเองที่เห็นความเชื่องช้านั้นก็พลันกล่าวออกไปว่า
“ข้าจะขายในราคา 10 หินลมปราณระดับสูง”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวที่เหมือนปล้นกันนี้เป่าฮู่แม้มีเงินมากพอที่จะจ่ายแต่ท่าทีของชายหนุ่มนั้นเหมือนไม่รู้ว่า หินที่ตนเองหามาจะมีค่ามากพอสำหรับหินลมปราณระดับสูงถึง 10 ก้อนเชียวหรือ
“เจ้าหนูหยุดสิ่งที่เจ้ากล่าวซะ”
คำตะวาดของยายแก่ที่พูดออกมา และราคาที่ยายแก่พูดขึ้นตามมาก็คือ 8 หินลมปราณระดับสูง นั่นทำให้เป่าฮู่ยิ้มออกมาและกล่าวว่า
“ท่านยายข้าตกใจเพราะท่าทีของหลานชายท่านเฉยๆ และนี่คือหินลมปราณระดับสูง 10 ก้อน เอาหละของทั้งหมดข้าขอเก็บไปแล้วกัน”
ในเวลาที่เป่าฮู่เก็บของที่ตนเองได้ซื้อลงไปในวงแหวนเก็บของ การหย่อนสิ่งของลงในอากาศและทำให้มันหายไป สำหรับชนชั้นต่ำยากนักที่จะได้เห็นเช่นนี้ แม้จะเป็นในแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม
“โอ้! พี่ชาย ท่าน ท่านทำแบบนั้นได้อย่างไร ทำของทั้งหมดให้หายไปต่อหน้าต่อตา?”
เพียงสิ่งที่เด็กหนุ่มผู้นั้นตกใจก็ทำให้หลายคนเริ่มหันมาสนใจเป่าฮู่มากยิ่งขึ้น รวมทั้งหญิงสาวที่รอนแรมมานานนับเดือนเพื่อที่พยายามเดินฝ่าฝูงชนเข้ามาในบริเวณที่มีผู้คนพลุกพล่าน
“นั่นมัน?”
หญิงสาวนางนั้นเห็นกลุ่มคนที่มองดูชายหนุ่มวัย 18 ปี จากด้านหลัง นางมองดูแล้วไม่อาจจะผิดไปได้นางจดจำรูปลักษณ์ของชายที่นางใฝ่หามาตลอด ชายที่ทะยานร่างขึ้นไปบนเวทีประลอง
หากไม่มีเต้าอิงเฉิงเจ้าคนทรยศนั่น ก็คงต้องเป็นชายที่มีนามว่า เป่าฮู่ คนที่นางตามหาและเมื่อเดินทางมาเยือนยังแดนศักดิ์สิทธิ์นางก็จะขอมาเห็นกับตาว่า เจ้าคนสารเลวที่ทำให้นางถูกเนรเทศนั้นอยู่กินอย่างไร
“คุณชายเป่า?”
เป็นเสียงที่ทำให้เป่าฮู่ตกใจเพราะไม่เคยเตรียมใจว่า จะมีคนรู้จักร้องทักนามเดิมของเขาและก็หันไปโดยธรรมชาติที่ติดตัวมา ด้วยนั่นมันคือชื่อของตัวมันเอง
แต่สิ่งที่เป่าฮู่เห็นและสิ่งที่หย่วนซิวหยูได้เห็น ภาพที่นางได้เห็นไม่ใช่บุรุษคนเดิมคนนั้น
แต่สำหรับเป่าฮู่กลับตกใจที่นางผู้นี้เดินทางมาได้เช่นไร หรือ เต้าอิงเฉิงส่งคนไปรับนางมา จากตระกูลหย่วน
เมื่อเป่าฮู่หันมาก็นึกขึ้นได้และทำทีเป็นเขินอายจากเหตุการณ์ก่อนหน้า และม้วนตัวจากไปยังทิศทางที่จี้เออร์อยู่
แต่ที่สังสัยกลับยังเป็นหย่วนซิวหยูที่มาปรากฏตรงหน้าของเขาและร้องทักเขาจากด้านหลังจนทำให้ตัวเป่าฮู่เกือบพลาดท่าเสียแล้ว
หากเพียงแต่ในขณะที่เป่าฮู่กำลังจะจากไป หย่วนซิวหยูกลับพยายามมองตามและมองจนแน่นใจว่าใช่ แต่นางจดจำกลิ่นเสื้อผ้าที่เขาใส่ได้เพราะมันเป็นกลิ่นเดียวกัน
คนเราปิดบังรูปโฉมได้แต่กลิ่นตัวของแต่ละคนความเหม็นและหอมมันต่างกัน ดังนั้นนางจึงไม่ยอมลดละความสนใจติดตามเป่าฮู่ไปจนถึงร้านเสื้อผ้าที่จี้เออร์ยืนรออยู่
เพียงได้เห็นจี้เออร์ร้องทัก หย่วนซิวหยูจึงหยดการติดตามเป่าอู่ลงทันที
“พี่ชาย ท่านไปไหนมา ทิ้งศิษย์น้องเช่นข้าไว้แบบนี้ ไม่ดีเลยนะ”
เมื่อได้เห็นท่าทีของหย่วนซิวหยูที่เปลี่ยนไป เป่าก็ฮู่ไม่อยากทำลายสิ่งที่นางทำมาจึงหันไปยิ้มและกล่าวออกไปว่า
“คาราวะแม่นาง ท่านติดตามข้ามาตั้งแต่ร้านขายหินแร่ คงมีบางสิ่งสงสัยในตัวข้า หากท่านพอมีเวลาแวะมาจิบชากับข้าที่โรงเตี๊ยมใกล้นี้ก็ได้”
เพียงจี้เออร์เห็นศิษย์พี่ของนางเริ่มฉายแววเจ้าชู้ออกมาทำให้นางรีบแสดงตัวตน
“ท่านพี่ฮู่”
เสียงที่หลงลืมตัวตนนั้น ทำให้หย่วนซิวหยูตกใจ ท่านพี่ฮู่ คำๆนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่บังเอิญเป็นแน่ เพราะนางเองก็คิดว่านี่อาจเป็นคุณชายที่ปลอมตัวมาก็ได้
เมื่อนางได้ตัดสินใจจะลองไปจิบน้ำชา เป่าฮู่ก็คิดว่าจะดึงนางมาเป็นพวกเพราะนางมีพลังที่นางกลัวซ่อนอยู่แต่สำหรับเป่าฮู่ตอนนี้มิได้มอง หย่วนซิวหยูด้วยสายตาที่แปลกไปจากสหายเลย เพราะเป้าหมายของตัวเป่าฮู่ยังอีกยาวไกลหากจะมองหาภรรยาคงเป็นการนำพาคนเหล่านั้นมาเผชิญอันตรายเสียมากกว่า