หลังจากที่ได้ต่อสู่กัน หย่วนซิวหยูเพียงคนเดียวนั้น สามารถต้านทานกลุ่มคนทั้ง 5 ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
เปลวเพลิงที่เข้าต่อสู้กับทักษะแห่งวายุและอัสนี ทักษะลมปราณของหอยอดยุทธ์ที่มีมาช้านาน ส่วนใหญ่จะเป็นทักษะที่รวบรวมมาช้านาน และถ่ายทอดแก่เหล่าศิษย์ในทุกๆรุ่น
เมื่อจี่ซวงได้เห็นความสามารถของหญิงที่มันหมายปองกลับทำให้ของตัวมันยิ่งฮึกเหิมขึ้น ดั่งเปลวเพลิงที่ได้น้ำมันราดลงไปเพิ่ม ให้ความเร้าร้อนโหมเป็นทวีคูณ
“แม่นาง เปลวเพลิงของเจ้านั้นร้อนแรงจริงๆช่างถูกใจข้ายิ่งนัก และข้าชักอยากได้เจ้ามาเป็นผู้หญิงของข้าจริงๆเสียแล้ว”
เมื่อหย่วนซิวหยูได้ฟังก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ด้วยสิ่งที่นางคิดในใจนั้นยิ่งทำให้นางตระหนักได้ว่า ที่เต้าอิงเฉิงไม่ส่งจดหมายตอบรับกลับมานั้น ถือเป็นโชคดีของนาง
เพราะตอนนี้นางได้พบเจอชายที่นางคิดว่า เขาคือคนที่นางจะเป็นมือเป็นเท้าให้ไม่ว่าจะยามไหน
“ฮ่าๆๆๆลำพังเพียงเจ้า คิดหมายปองข้า ขนาดเต้าอิงเฉิงยังไม่อาจจะอยู่ในสายตาข้าและไม่คู่ควร”
คำกล่าวนั้นทำให้จี่ซวงถึงกับชะงัก เพราะเต้าอิงเฉิงถือเป็นที่สุดของตระกูลเต้าและแดนศักดิ์สิทธิ์หากจะมีเพียง เต้าเหล่ยเท่านั้นที่เทียบเคียงได้
ข่าวของเต้าอิงเฉิงได้ไปเที่ยวชมงานเทศกาลหงส์เพลิงและได้เลือกหญิงที่เหล่าอาวุโสตระกูลพากันขัดขวางระหว่างสองคนนี้หรือว่านางผู้นี้คือคนที่เต้าอิงเฉิงต้องการ
เพียงคิดได้ดังนั้น แววตาของจี่ซวงก็ระเบิดความกระหายในตัวของหญิงนางนี้ออกมา
แม้ชาตินี้จะไม่อาจแข่งขันกับพรสวรรค์ที่ฟ้าประทานมาแก่ เต้าอิงเฉิงได้ ก็ขอคว้าเอายอดดวงใจของมันมาครอบครอง
ด้านเป่าฮู่ได้เห็นว่าการต่อสู้ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าศิษย์จากหอยอดยุทธ์ ยิ่งทำให้ความรู้สึกเกลียดชังต่อแดนศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้นไปอีก จนภาพที่เป่าฮู่ได้เห็นคือจี่เหล่ยที่พุ่งทะยานออกจากการต่อสู้ของพี่ชายและนำสมุนติดตามมาเพียง 1 คน
เพราะว่า แรงกดดันจากต้านเสี่ยวหรือเป่าฮู่ที่ปลดปล่อยอกมาก็คือ ระดับราลมปราณขั้นที่ 1 ซึ่งมีระดับทัดเทียมกับมัน แต่ข่าวที่ได้มาคือเจ้าต้านเสี่ยวเป็นคนขี้ขลาดชอบเล่นกับพิษ นั่นจึงทำให้มัน ระวังมากกว่าเดิมเข้าไปอีก
เมื่อได้พาร่างของตนเองมาจนถึงเบื้องหน้าเป่าฮู่ห่างออกไปไม่กี่ สิบก้าว จี่เหล่ยก็ตะวาดเสียงที่ดังคำรามออกมา
“เข้าขี้ขลาด ต้านเสี่ยว จงส่งตัวแม่นางจี่เออร์มาให้ข้าจี่เหล่ยซะ แล้วข้าจะรับเจ้ามาเป็นผู้ติดตาม มาทำงานกับเราตระกูลจี่เจ้าจะสายไปทั้งชาติ”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวคำนี้ทำให้เป่าฮู่คิดที่จะระบุนามแซ่จี่เข้าไปในบัญชีที่ต้องลบทิ้งจากผืนแผ่นดินนี้
“แซ่จี่ เป็นแซ่ที่ดี หากแต่บรรพชนคงไม่ได้อบรมบ่มนิสัยพวกลูกหลานมาดีพอ เอาหละข้าคนนี้จะอบรมพวกเจ้าให้ก็แล้วกัน”
เมื่อกล่าวจบเป่าฮู่ก็หันไปกล่าวต่อจี้เออร์ว่า
“ศิษย์น้อง วันนี้พี่ชายจะหาอะไรสนุกสนุกมาให้เจ้าทำแล้วกัน”
เพียงชายหนุ่มนามต้านเสี่ยว ชายอัปลักษณ์ในสายตาของเหล่าศิษย์ของหอยอดยุทธ์
ได้ลุกขึ้นมาจากที่นั่ง อันเป็นก้อนหินที่หยาบกร้าน และเดินก้าวเท้าที่บางเบาออกไปอย่างคนที่ไร้พิษสง
เป่าฮู่มองไปยังชายทั้งสองคนเบื้องหน้า และจ้องลงไปยังแววตาของ
จี่เหล่ย พร้อมกับการปลดปล่อยจิตสังหารหรืจิตคุกคามออกมา เพียงแค่เสี้ยวอึดใจ จากแววตาที่ยิ่งยโสของจี่เหล่ยกลับเผยความหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด ปากที่สั่นด้วยเสียงจากฟันที่กระทบกัน กึ๊กๆๆ กั๊กๆๆ
“เจ้า…ไม่ได้ เป็นดั่ง”
คำพูดที่ไม่เป็นคำเท้าที่ก้าวไม่ออกจากที่เดิมที่เคยยืน นั่นไม่ใช่แค่จี่เหล่ยแต่เป็นทั้งสองคนที่ยืนในรัศมีลมปราณที่ถูกปล่อยออกไปเพียงอึดใจ
“หากคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่เทียมฟ้า จงคิดใหม่ เพราะว่า ใต้ฟ้าผืนนี้ยังมีอะไรที่พวกเจ้าไม่รู้อีกมาก ฮึ! แดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะค่อยๆลากพวกเจ้าลงมาชดเชยในสิ่งที่พวกเจ้าได้ทำลงไป”
เพียงเท่านั้นเป่าฮู่เดินไปยังร่างของจี่เหล่ยอย่างช้าๆ ท่ามกลางแววตาที่จดจ่องของจี้เออร์ว่าพี่ชายจะทำอะไรกับชายผู้นั้น
เพียงการก้าวผ่านพร้อมวางฝ่ามือลงไปยังบ่าของจี่เหล่ย ร่างที่จู่ๆก็กลยเป็นน้ำแข็งและแผ่กลิ่นอายที่ร้ายกาจออกมาจนทำให้จี่ซวงที่เห็นการลงมือในจังหวะนั้นต้องหยุดชะงัก และช่วงที่หยุดชะงักนั้นก็ทำให้ถูกฝ่ามือที่ร้อนแรงของหย่วนซิวหยูเข้าไปอย่างจัง
“อ๊ากกกก! นางแพษยา กล้าลงมือตอนข้าเผลอ”
ด้วยสมองที่ประมวลถึงสถานการณ์จี่ซวงได้เห็นพลังที่แท้จริงของปีศาจที่มีนามว่า
ต้านเสี่ยว ดังนั้นจึงทำให้มันสำนึกและรีบรวบรวมพลังที่มี คิดหนีออกจากการต่อสู่ แต่ว่า
หย่วนซิวหยูไมใช่หญิงโง่เง้าธรรมดา
“อย่าได้คิดดูถูกข้า หย่วนซิวหยูผู้นี้”
เมื่อไม่คิดที่จะเก็บงำหรือซ่อนพรางพลัง หย่วนซิวหยูกระเบิดพลังออกมา เพลิงที่ก่อกำเนิดเป็นรูปหงส์เพลิง ทะยานร่างออกไป ดั่งนางพญาหงส์ที่พร้อมกำราบศัตรู
“กระบวนท่าพลิกผัน….เพลิงหงส์คร่าวิญญาณ”
เปลวเพลิงที่พุ่งทะลวงร่างของจี่ซวงจนกระอักเลือดออกมา แต่ก็ยังไม่อาจที่จะฆ่าชีวิตของจี่ซวงได้ ด้วยคนกลุ่มนี้มักสวมใส่เครื่องป้องกันของพวกมันไว้
เป่าฮู่เห็นจากรูปการ ท่ามกลางความเงียบ ท่าเท้าที่แผ่วเบาถูกใช้ออก
ท่าท่องวารี กระบวนท่าที่ลึกล้ำ พลิกสมุทรจันทร์ส่อง พริบตาห่างออกไปไม่ไกลกลับปรากฏร่างของต้านเสี่ยวที่เคยยืนห่างออกไปกว่า 100 ก้าวจากตัวของจี่ซวง
พริบตาที่จี่ซวงกำลังดีใจที่เปลวเพลิงอันร้ายกาจไม่อาจคร่าชีวิตของมันได้ แต่การหันหน้ากลับมาเพื่อมุ่งหน้าทะยานร่างหนีไปนั้นกลับพบว่ามีชายอัปลักษณ์กำลังยืนขวางทางของมันอยู่
เพียงได้เห็นชายหนุ่มคนนั้นแววตาที่จดจ้อง และภาพที่ได้เห็นการแช่แข็งน้องชายตนเอง จากขุมพลังที่น่ากลัวนี้ จี่ซวงกลับคิดว่าการออกลาดตระเวนวันนี้ช่างเป็นวันที่โชคร้ายยิ่งนัก
เป่าฮู่ยิ้มออกมาขณะที่เห็นเป้าหมายกำลังเข้ามาใกล้ พร้อมทั้งรวบรวมพลังลมปราณที่มี กระชากห้วงอากาศออกไป ด้วยฝ่ามือที่ควบคุมกระบี่น้ำแข็งทั้งสองไว้อย่างน่าอัศจรรย์
“ตัดบัวอย่าทิ้งใย ลงมือแล้วต้องให้ตายเท่านั้น เพราะศพมักพูดไม่ได้”