เหล่านางสนมล้วนหยิบดอกกล้วยไม้ไปวางไว้บนโคมไฟดอกไม้แล้วลอยโคมไฟดอกไม้ลงในสระบัวแห่งนั้น โคมไฟลอยไปตามการพัดพาของกระแสน้ำ อุทยานหลวงของเชื้อพระวงศ์คือเรือนหลังของผู้อื่น ผู้ที่อยู่ในเรือนหลังล้วนเป็นสตรีของผู้อื่นเช่นกัน ขุนนางเหล่านี้อยู่ที่นี่ก็เป็นการขวางหูขวางตาด้วยเหตุนี้ไม่นานแต่ละคนล้วนกล่าวคำอำลาขอตัวแยกย้ายกันกลับไป
ยามนี้เหนือศีรษะได้จุดดอกไม้ไฟ เซียวจิ่นได้บอกกับหลินชิงเวยยามบ่ายวันนี้ว่าดอกไม้ไฟเหล่านี้จะจุดเมื่อเข้าสู่ช่วงเวลากลางดึก
ช่างงดงามหรูหราจริงๆ
เซียวจิ่นยังบอกอีกว่ารอให้คนแยกย้ายกันกลับไปแล้ว เขารู้จักสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงยิ่ง เขาจะไปที่แห่งนั้นเพื่อชื่มชมดอกไม้ไฟกับหลินชิงเวย
เสียงดอกไม้ไฟแตกระเบิดอยู่ข้างบนศีรษะ กระจายตัวออกมาเป็นลูกไฟหลากหลายสีสันแล้วร่วงหล่นลงมาอย่างรวดเร็ว แต่เซียวจิ่นดูเหมือนไม่ได้เบิกบานใจเช่นนี้มานานแล้ว ประกายไฟจากดอกไม้ไฟสาดส่องใบหน้าเขาประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวมืด อย่างไรก็บดบังความดีอกดีใจบนใบหน้าเล็กๆ นั้นไม่ได้
เซียวเยี่ยนและไทเฮาไม่รู้เดินไปที่ไหนแล้ว ดูเหมือนจะไม่เห็นเซียวอี้และจู๋กุ้ยเหรินเช่นกัน หลินชิงเวยเอามือแตะหน้าผากมองเซียวจิ่น ทุกคนล้วนทิ้งเด็กน้อยคนนี้ไว้กับตน หากตนไม่ดูแลเขาให้ดีดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ตนยากจะสบายใจเช่นกัน
เซียวจิ่นหันกลับมาเดินมาทางนางและจับมือนางขึ้นมา มือของเซียวจิ่นเรียบลื่นอย่างยิ่งด้วยมิเคยทำงานแรงงาน นิ้วมือของเขาสวยงามเช่นกัน เขาจับมือของหลินชิงเวยดูเหมือนยัดหยกเนื้อดีชิ้นหนึ่งเข้ามาในอุ้งมือของหลินชิงเวย ทั้งอบอุ่นและเรียบลื่น ให้ความรู้สึกสัมผัสที่มือดีเหลือเกิน
ราวกับเซียวจิ่นเล่นสนุกอย่างเบิกบานใจ เขาจึงไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมอันใด “ชิงเวย เจ้าไปเก็บดอกกล้วยไม้แล้ววางลงในโคมไฟเถิด”
หลินชิงเวยมองไปทางสระบัวนั้น หากต้องการวางโคมไฟในสระยังต้องเดินลงบันไดริมสระจึงจะถึงริมน้ำ ส่วนเซียวจิ่นนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่สะดวกที่จะไปที่นั่น หากหลินชิงเวยลงไปแล้วให้เขาอยู่ข้างบนคนเดียวตนเองไม่วางใจ อีกทั้งนางไม่ได้รู้สึกอยากไปเก็บดอกกล้วยไม้ นางไม่ใช่เด็กสาวเช่นแม่นางน้อยเหล่านี้อีกต่อไปแล้ว
นางสนมของตำหนักในค่ำคืนนี้ล้วนมีท่าทางเป็นผู้ใหญ่เกินวัย เหล่าแม่นางน้อยที่อยู่เบื้องหน้านี้เซียวจิ่นอนุญาตให้พวกนางเป็นตัวของตัวเองอย่างมีความสุข มีหลายคนถึงกับเล่นน้ำอย่างสนุกสนานอยู่ริมสระบัวนั่นเอง
หลินชิงเวยกล่าว “หม่อมฉันอยู่เป็นเพื่อนฝ่าบาทที่นี่ดีกว่าเพคะ”
เซียวจิ่นทอดถอนใจ “เจิ้นยืนไม่ได้จริงๆ หากเจิ้นยืนได้ เจิ้นก็อยากจะไปปล่อยโคมไฟเช่นกัน”
หลินชิงเวยโน้มกายลงไป “ปีหน้าเถิด หม่อมฉันให้สัญญา ปีหน้าฝ่าบาทจะต้องเดินไปปล่อยโคมไฟด้วยตนเองได้แน่นอนเพคะ” พูดแล้วนางก็หยิบดอกกล้วยไม้มาดอกหนึ่ง ประดับลงบนบั้นเอวของเซียวจิ่นอย่างว่องไว
ยามนี้ขันทีน้อยที่อยู่ข้างหลังเดินมุ่งหน้ามาทางเซียวจิ่น ย่างก้าวของเขาเบามือเบาเท้าอย่างระมัดระวังราวกับเกรงว่าจะเป็นการรบกวนผู้ใด ขันทีผู้นั้นก้มหน้าลง บนศีรษะยังสวมหมวกอีกใบหนึ่ง ล้วนทำให้ใบหน้าทั้งหมดถูกบดบังเอาไว้ในเงามืด เขาโค้งกายเดินเหิน ในมือถือถาดใบหนึ่ง บนถาดใบนั้นมีน้ำชาที่เพิ่งปรุงมาใหม่มากาหนึ่ง
ขันทีถามด้วยเสียงแหลมดังกังวาน “ฝ่าบาท ทรงเติมพระสุธารสน้ำชาไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
เซียวจิ่นหันหน้าไปมองถ้วยน้ำชาของตน ในถ้วยน้ำชายังมีน้ำชาเหลืออยู่ครึ่งถ้วย ไม่รอให้เซียวจิ่นพูดอันใด ขันทีน้อยนำถาดน้ำชาไปวางลงบนโต๊ะพร้อมกับยกกาน้ำชาขึ้นเติมน้ำชาในถ้วยให้เซียวจิ่นอย่างรู้งาน
หลินชิงเวยนั่งยองๆ อยู่บนพื้น ตั้งแต่ได้ยินเสียงของขันทีนางก็รู้สึกแปลกใจอยู่ครามครัน น้ำเสียงนั้นดูเหมือนจงใจทำให้สูงแหลม แต่กลับมีความแหบใหญ่อยู่ด้วย
หลินชิงเวยเพิ่งจะคิดว่าแปลกใจจึงเงยหน้าขึ้นมอง ประจวบเหมาะกับจากมุมของหลินชิงเวยที่มองไปนั้นต่อให้ขันทีผู้นั้นโค้งกายก้มหน้าอย่างไรก็ตาม ท่ามกลางแสงสว่างสลัวๆ กลับถูกนางมองเห็นหน้าตาของเขา
หลินชิงเวยแยกแยะชายหญิงได้อย่างชัดเจน ต่อให้ขันทีเป็นเพศไม่ใช่บุรุษและไม่ใช่สตรีอย่างไร ก็น้อยยิ่งนักที่จะมีใบหน้าเป็นใบหน้าของสตรี อีกทั้งผิวบริเวณใบหูที่อยู่นอกหมวกกลับขาวละมุนอย่างชัดเจน สายตาของหลินชิงเวยรีบตวัดกลับไปมองหน้าอกของขันทีผู้นั้น ไม่รู้ด้วยเป็นเพราะนางเพิ่งประสบกับเรื่องมือสังหารเมื่อคืนนี้จึงทำให้นางอ่อนไหวยิ่งนัก นางคว้าตัวเซียวจิ่นลากออกไปด้านนอกพร้อมกับร้องว่า “ฝ่าบาท ระวังเพคะ!”
ไม่ว่าอย่างไรการสังเกตสังกาของหลินชิงเวยยังคงละเอียดถี่ถ้วน อีกทั้งสัญชาตญาณของนางค่อนข้างแม่นยำ เมื่อนางเอ่ยคำพูดนั้นออกไปเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ขันทีผู้นั้นโยนกาน้ำชาในมือลงบนโต๊ะ เครื่องกระเบื้องแตกกระจุยกระจายเต็มพื้นเสียงดังเคร้งชัดเจน ขันทีผู้นั้นหยิบมีดสั้นออกมาจากแขนเสื้อเล่มหนึ่ง แววตาของเขาประดุจเปลวไฟพร้อมกับมุ่งหน้าเข้าหาเซียวจิ่นอย่างรวดเร็ว
“มีผู้บุกรุก–”
ท่ามกลางแสงสว่างจากโคมไฟ หลินชิงเวยออกแรงผลักเซียวจิ่นไปอีกด้านหนึ่ง คมดาบจากมีดสั้นเล่มนั้นจึงไม่ได้กรีดลงบนร่างกายของเซียวจิ่น แขนของหลินชิงเวยหลบไม่ทันจึงถูกมีดสั้นเล่มนั้นตวัดผ่าน กระโปรงสีเขียวอ่อนของนางถูกโลหิตสดๆ ย้อมเป็นสีแดงทันที
“ชิงเวย!” เซียวจิ่นเรียกนางด้วยความตื่นตระหนก
เด็กคนนี้ยังจะมาห่วงนางอีก ไม่สู้เป็นห่วงตนเองดีกว่า ผู้บุกรุกคนนั้นพุ่งเป้ามาที่เขาอย่างชัดเจน
เมื่อขันทีกรีดหลินชิงเวยจนได้รับบาดเจ็บแล้ว กลับไม่ได้มีความคิดจะเอาชีวิตของนาง แต่กลับกระโดดขึ้นมาแล้วกระโจนไปหาเซียวจิ่น
องครักษ์ที่ยืนเฝ้าบริเวณรอบๆ อุทยานหลวง รุดหน้ามาล้อมบริเวณนี้ไว้ทันที
แต่หากรอพวกเขามา กับข้าวก็คงเย็นชืดไปแล้ว เซียวจิ่นไม่อาจเดินหรือวิ่งได้ ได้แต่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น จึงกลายเป็นเนื้อปลาบนเขียงอย่างมิต้องสงสัย
นี่ย่อมเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการลงมือสังหารเขา
วินาทีที่มีดสั้นคมกริบในมือของขันทีกำลังจะแทงลงไปบนร่างของเซียวจิ่น หลินชิงเวยกัดฟันแน่นยกกระถางต้นกล้วยไม้ทุบไปข้างหน้า
มิใช่ทุบไปทางขันที แต่ทุบลงบนล้อเก้าอี้รถเข็นของเซียวจิ่น หากทุบขันที ขันทีรู้ตัวก็จะหลบหลีก แต่หากทุบล้อเก้าอี้มันหลบไม่ได้
ชั่วขณะล้อถูกหลินชิงเวยทุบจนลื่นไถลจึงหมุนไปข้างหน้า ทำให้เซียวจิ่นรอดพ้นจากวินาทีความเป็นความตาย
ขันทีผู้นั้นยังไม่ยอมรามือ เริ่มเข้าโจมตีครั้งที่สอง นางมีวรยุทธ์ แต่ละกระบวนท่าที่ลงมือเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด หมายจะปลิดชีวิตของเซียวจิ่นในคราเดียว
ยามนี้องครักษ์เริ่มทยอยกรูกันเข้ามา หากนางทำไม่สำเร็จก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อไป หลินชิงเวยจะให้นางได้เปรียบได้อย่างไร เวลานี้ภายในอุทยานหลวงเต็มไปด้วยความโกลาหล หลินชิงเวยเริ่มทุ่มสิ่งของต่างๆ ไปบนร่างของขันทีผู้นั้นอย่างบ้าคลั่ง ถ้วยชา กาน้ำชา กระถางดอกไม้ ก้อนหินต่างๆ ขอเพียงเป็นสิ่งของที่เขวี้ยงถูกนางได้ล้วนหยิบมาใช้หมด
ขันทีผู้นั้นหงุดหงิดจนเกิดโทสะ ชั่วขณะที่นางหยุดชะงักนั้น ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นหลินชิงเวยบ้างที่กระโจนเข้าไป มือทั้งคู่จับมือจับเก้าอี้รถเข็นของเซียวจิ่น เข็นออกไปไกลลิบ
เซียวจิ่นร้องลั่น “ชิงเวย!”
หลินชิงเวยหันกลับมาก็เห็นขันทีผู้นั้นเงื้อมีดสั้นเล่มนั้นใส่หน้าอกของตน หลินชิงกัดฟันแน่น กวาดเท้าไปรอบหนึ่งบริเวณเท้าของอีกฝ่าย ยื่นมือไปจับคมดาบของนางแล้วกุมข้อมือของนางเอาไว้ อีกฝ่ายไม่ใช่คนเปราะบางไร้เรี่ยวแรง ข้อมือนั้นมีกำลังเรี่ยวแรงดียิ่ง เพียงแค่พลิกฝ่ามือมีดสั้นนั้นก็ตวัดกรีดลงบนแบนของหลินชิงเวยอีกครั้งหนึ่ง
หลินชิงเวยเจ็บจนสะดุ้งเฮือก นางกัดฟันแน่นแล้วตวัดแขนของอีกฝ่ายทุ่มนางลงไปบนพื้น
ขันทีตีลังกากลางอากาศสองรอบไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดทั้งสิ้น หมวกขันทีร่วงหล่นจากศรีษะของนาง เส้นผมดำขลับแผ่สยายลงมา ปรากฏให้เห็นใบหน้าเล็กๆ คางแหลมของหญิงงาม มิใช่ใบหน้าอ่อนเยาว์เฉกเช่นสตรีทั่วไป แต่เป็นบุคลิกของผู้ที่ประสบกับคลื่นลมในชีวิตมาพอสมควร บุคลิกของนางมีความเย็นชาและคมปลาบ
นางถลึงตาใส่หลินชิงเวยอย่างเดือดดาล ยามนี้ภารกิจของนางล้มเหลว นางไม่มีโอกาสหนีรอดไปได้ ไม่อาจไม่สู้เต็มกำลังเฮือกสุดท้าย จึงหันกลับไปโจมตีเซียวจิ่นอีกครั้ง
ยามนี้มีเงาร่างสีดำพาดผ่านข้างหลังเซียวจิ่น กลายเป็นกำแพงอันสูงใหญ่ขวางเบื้องหน้าร่างของเซียวจิ่น ขันทีเห็นเช่นนั้นยิ่งทวีความโกรธแค้น ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำเห็นความตายเป็นปลายทางของตน