เซียวอี้หัวเราะและกล่าวว่า “ไฉนเวยเวยจึงรู้ว่าเปิ่นหวางไม่รู้สึกประหลาดใจ?”
หลินชิงเวยถอยหลังสองก้าวจากนั้นผงกศรีษะ “ข้ากระจ่างแจ้งแล้ว มือสังหารลอบเข้าวังด้วยตนเองย่อมลำบากสักหน่อย ต้องมีคนคอยช่วยเหลือนางเป็นแน่ เป็นท่านที่พานางเข้ามา ท่านรู้แต่แรกแล้วว่าเมื่อคืนจะมีเกิดเรื่องลอบสังหาร ดังนั้นท่านจึงกลับไปแต่เช้า”
เซียวอี้ช้อนตาขึ้นมองหลินชิงเวยทางหางตา “เสี่ยวเวยร์ พูดจาอันใดต้องมีหลักฐาน เจ้าจะพูดจาเหลวไหลไม่ได้ หาไม่แล้วจะนำพาเรื่องยุ่งยากมาให้กับเปิ่นหวาง”
หลินชิงเวยส่ายหน้า “ไม่ ข้าไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น คำตอบทั้งหมดเขียนอยู่บนใบหน้าของท่าน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวอี้ค่อยๆ เลือนหายไป เขาก้าวเข้ามาหาหลินชิงเวยสองก้าว ขณะที่เขากำลังจะอ้าปากเอ่ยวาจา มีนางกำนัลมุ่งหน้าเดินเข้ามาค้อมกายคารวะ “เจาอี๋เหนียงเหนียง ฝ่าบาทได้ยินว่าท่านมาแล้ว กำลังรอท่านเข้าไปเพคะ”
หลินชิงเวยยิ้มจนตาหยีและเชิดปลายคางพยักพเยิดให้กับเซียวอี้ ที่นี่เป็นอาณาเขตของฝ่าบาท นางยังไม่ทันได้ก้าวเข้าประตูตำหนักเซียวจิ่นกลับรู้ว่านางมาแล้ว แสดงให้เห็นว่ารอบๆ ตำหนักซวี่หยางล้วนมีสายตาของฮ่องเต้และเซียวเยี่ยนอยู่ หากเขาคิดจะทำอันใดที่นี่ยังต้องคำนึงถึงผลที่ตามมาในภายหลัง
หลินชิงเวยมองเซียวอี้ “รู้แล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
ขณะที่กำลังจะเดินผ่านร่างของเซียวอี้ มือข้างหนึ่งภายใต้อาภรณ์สีแดงเข้มของเขายื่นออกมารั้งข้อมือของหลินชิงเวยอย่างไร้สุ้มเสียง เขาเอียงหน้าใช้หางตามองหน้าหลินชิงเวยพร้อมกับพูดเสียงต่ำว่า “เปิ่นหวางเห็นนางไร้หนทางจะแก้แค้น จึงชี้ทางสว่างให้นางแล้วอย่างไรเล่า? หากเซ่อเจิ้งอ๋องทำให้ฝ่าบาทเกิดเรื่องอันใดขึ้นจริงๆ เขาย่อมไม่อาจอยู่ในตำแหน่งเซ่อเจิ้งอ๋องได้อีก พวกเจ้ามิใช่ควรจะขอบคุณเปิ่นหวางที่มอบเบาะแสเป็นคนๆ หนึ่งให้กับพวกเจ้าหรอกหรือ”
หลินชิงเวยยักไหล่ “อย่าได้ลากข้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ข้าเป็นเพียงแค่คนที่เดินผ่านมา เพียงแค่ข้าคาดเดาจุดนี้ออก ตรองดูแล้วเซ่อเจิ้งอ๋องย่อมต้องคาดเดาออกเช่นกัน ท่านอ๋องยังคงระวังตัวให้ดีเถิด”
หลินชิงเวยเดินผ่านร่างของเซียวอี้ เซียวอี้ร้องถามอยู่ด้านหลังนางด้วยความประหลาดใจ “เจ้าดูออกว่าเปิ่นหวางกำลังคิดสิ่งใด?”
หลินชิงเวยตอบทั้งที่ไม่หันกลับไป “ดูไม่ออก ข้าหลอกท่าน”
เซียวอี้ “…”
หลังจากเข้าไปในตำหนักซวี่หยาง เซียวจิ่นและเซียวเยี่ยนล้วนอยู่ที่นั่นราวกับเจตนารอการมาถึงของนาง ทันทีที่ก้าวเข้าประตูเซียวจิ่นแทบจะทนรอไม่ไหวเงยหน้าขึ้นมองหลินชิงเวย เขากล่าวกลั้วหัวเราะ “ชิงเวย ในที่สุดเจ้าก็มา เมื่อสักครู่เจิ้นได้ยินนางกำนัลมารายงานว่าเจ้าพบกับเสด็จอาสามที่หน้าประตู เขาได้รังแกเจ้าหรือไม่?”
หลินชิงเวยกล่าว “ที่นี่เป็นอาณาเขตของฝ่าบาท เขากล้ารังแกหม่อมฉันจึงจะเป็นเรื่องแปลกเพคะ”
เซียวจิ่นกล่าวอีกว่า “เจ้ารีบมานี่ ให้เจิ้นดูบาดแผลของเจ้า”
หลินชิงเวยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ฝ่าบาทเป็นท่านหมอหรือเพคะ จะช่วยหม่อมฉันดู?” ปากพูดเช่นนี้ทว่าตัวคนยังคงเดินเข้าไป
เซียวจิ่นยกแขนของนางขึ้น “เจ็บหรือไม่?”
“เจ็บเล็กน้อยเพคะ แต่พักฟื้นสองวันก็ดีขึ้นแล้ว ใช้ความเจ็บปวดจากบาดแผลภายนอกเล็กน้อยนี้แลกกับสิ่งของประทานมากมายของฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่าคุ้มแล้วเพคะ”
“สิ่งของประทานมากกว่านี้ก็เปลี่ยนแขนที่สมบูรณ์ข้างหนึ่งกลับมาให้ชิงเวยไม่ได้” เซียวจิ่นยังคงมองและขมวดคิ้วด้วยท่าทางกล่าวโทษตนเอง “เมื่อคืนหากมิใช่เจ้าสละชีวิตช่วยชีวิตเจิ้น เจิ้นล้วนไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง เป็นเจ้าใช้ชีวิตของตนไปเสี่ยงอันตรายจึงแลกความปลอดภัยของเจิ้น”
เด็กน้อยคนนี้ช่างรู้จักสำนึกบุญคุณและเป็นกังวลยิ่งนัก หลินชิงเวยกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “หากฝ่าบาทยังรู้สึกผิดก็มอบโสมอายุห้าร้อยปีให้หม่อมฉันอีกสักต้นก็ได้เพคะ”
เซียวเยี่ยนยืนอยู่ด้านข้างกล่าวอย่างมีโทสะ “ต้นเดียวที่มีอยู่ในวังหลวงได้ให้เจ้าไปแล้ว เจ้ายังไม่พอใจอีก?”
เมื่อระลึกถึงว่าโสมเพียงต้นเดียวที่มีอยู่ในวังหลวงตกลงไปอยู่ในไหสมุนไพรแล้ว หลินชิงเวยเต็มไปด้วยความรู้สึกปวดใจ นางกล่าวว่า “ท่านจะรู้อะไร ข้าดูเหมือนคนไม่รู้จักพอหรือไร?”
เซียวจิ่นยิ้มอ่อนโยน “เจิ้นจำได้ว่าในวังยังมีโสมอายุร้อยปีอีกสองต้น อีกประเดี๋ยวให้เจ้าก็แล้วกัน”
หลินชิงเวยควบคุมสติอารมณ์ได้แล้วจึงกล่าวว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ เช่นนี้หม่อมฉันย่อมต้องหายดีอย่างรวดเร็วเป็นแน่เพคะ” นางหันไปมองเซียวเยี่ยนแล้วหันมามองเซียวจิ่นและถามขึ้นว่า “ยามนี้พวกเราจะไปคุกหลวงเพื่อไต่สวนมือสังหารเมื่อคืนนี้ใช่หรือไม่เพคะ?”
เซียวจิ่นตกตะลึง รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าเบิกบานขึ้นอีกสองส่วน “ชิงเวย เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเราจะพาเจ้าไป?”
หลินชิงเวยแสร้งทำท่าผิดหวัง “หา? ที่แท้มิใช่รอหม่อมฉันเพื่อพาหม่อมฉันไปด้วยหรือเพคะ? พูดอย่างไรก็เป็นหม่อมฉันที่ช่วยฝ่าบาทจากเงื้อมือของมือสังหารผู้นั้น หม่อมฉันมีสิทธิ์ที่จะสอบถามเรื่องนี้ให้กระจ่างแจ้งเพคะ”
เซียวเยี่ยนหันกายเดินออกไปแล้ว รอยยิ้มของเซียวจิ่นไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย “ชิงเวย ยังไม่รีบเข็นเก้าอี้ของเจิ้นตามไปอีก นี่เสด็จอาอนุญาตแล้ว”
เซียวเยี่ยนเดินอยู่ข้างหน้า หลินชิงเวยเข็นเก้าอี้ของเซียวจิ่นตามหลังไป หลินชิงเวยทางหนึ่งหรี่ตามองเงาร่างสูงใหญ่ที่อยู่ข้างหน้า ทางหนึ่งฟังเซียวจิ่นพูด “ก่อนหน้าที่เจ้าจะมา เจิ้นให้เสด็จอาพาเจ้าและข้าไปด้วย เสด็จอาเดิมไม่ตกลง เจิ้นจึงพูดจาน่าฟังไปไม่น้อยเขาจึงฝืนใจยอมรับปาก”
ท่ามกลางความไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาถึงกับให้ความสนิทสนมขึ้นถึงสองส่วน พูดจบแล้วดูเหมือนตัวเองจะรู้สึกตัวขึ้นจึงกระแอมกระไอเบาๆ สองครั้ง บนใบหน้ายังมีความรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย
หลินชิงเวยจงใจพูดให้เสียงดังเล็กน้อย เสียงกระเง้ากระงอดนั้นกล่าวว่า “ไม่ใช่หรือเพคะ เสด็จอาต้องพาภาระเช่นพวกเราสองคนมาด้วย ดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจสักเท่านัก เช่นนั้นยังต้องขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”
เซียวจิ่นเห็นเงาร่างด้านหลังของเซียวเยี่ยนกระตุกขึ้นครั้งหนึ่ง จึงกล่าวอย่างมีความสุขเล็กๆ ว่า “ไม่ต้องขอบคุณ”
หากครั้งนี้เซียวเยี่ยนไม่พานางมาด้วยย่อมถือว่าไร้เหตุผลเกินไป ชีวิตครอบครัวสกุลกู้ทั้งหมด ขอเพียงแค่หยุดไตร่ตรองสักนิดก็รู้สึกได้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ทันทีที่หลินชิงเวยหลับตาลงก็ย้อนคิดถึงภาพในวันประหาร สายตาและท่าทางเป็นทุกข์ของกู้เทียนหลิน
คนทั้งสามมิได้มุ่งหน้าไปทางคุกหลวงที่จองจำนักโทษ แต่มุ่งหน้าไปยังตำหนักเจิ้งเสวียน ด้านนอกตำหนักเจิ้งเสวียนก็คือประตูเจิ้งเสวียน เป็นสถานที่สำหรับลงโทษผู้กระทำผิดในราชสำนักโดยเฉพาะ จึงทำให้ตำหนักเจิ้งเสวียนถูกขนานนามว่าตำหนักแห่งความยุติธรรมเป็นสถานที่ที่นำมาใช้ในการไต่สวนนักโทษล้วนใช้สถานที่แห่งนี้
ทั้งด้านในและด้านนอกตำหนักเจิ้งเสวียนล้วนมีกำลังทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา
เซียวจิ่นนั่งอยู่บนตำแหน่งเก้าอี้มังกรภายในตำหนัก เซียวเยี่ยนยืนอยู่ด้านข้าง ส่วนหลินชิงเวยนางไม่ได้พิถีพิถันอะไรเป็นพิเศษจึงนั่งลงบนเก้าอี้ภายในตำหนักนั้น
ต่อมาด้านนอกมีเงาร่างพาดผ่าน เสียงโซ่ตรวนทั้งหนาทั้งหนักดังขึ้น ทหารในชุดเกราะเหล็กหลายคนควบคุมนักโทษคนหนึ่งเดินเข้ามาโยนนักโทษลงบนพื้นอย่างไร้เมตตาปรานี คุกเข่าและกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท เซ่อเจิ้งอ๋อง นำตัวผู้บุกรุกที่บุกเข้าวังมาลอบสังหารฝ่าบาทมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เซียวจิ่นโบกไม้โบกมือ ทหารทั้งหมดออกไปพร้อมเพรียงกัน เมื่อมองคนที่อยู่บนพื้นอีกครั้งชุดนักโทษสีขาวบนร่างนั้นมีหยดเลือดแต้มอยู่ประปราย เห็นได้ว่าเมื่อคืนหลังจากถูกขังน่าจะได้รับความทุกข์ทรมานเล็กน้อย ผมเผ้ายุ่งเหยิง ฝ่ามือทั้งคู่ที่ค้ำอยู่บนพื้นหยาบใหญ่และกระดูกข้อนิ้วใหญ่ชัดเจน มือทั้งคู่ไม่เหมือนมือของสตรี หรือนาทีนี้ล้วนไม่มีผู้ใดพบว่านางเป็นสตรีคนหนึ่ง
แต่หลินชิงเวยเห็น นางพบเห็นตั้งแต่เมื่อคืน
โชคดีที่คนอื่นๆ ไม่พบว่านางเป็นสตรีคนหนึ่ง หาไม่แล้วความทุกข์ทรมานที่ได้รับจากการจองจำในคุกหลวงเมื่อคืนนี้ย่อมต้องมากกว่านี้
นาทีนี้นางเงยหน้าขึ้นยืดคอขึ้นช้าๆ มองขึ้นมาบนตำหนัก ที่นั่นมีคนนั่งอยู่สองคน เป็นคนที่นางเคียดแค้นที่สุด แววตาของนางปรากฏความเคียดแค้นชิงชังพร้อมกับขบฟันแน่น ดวงตาทั้งคู่ของนางแดงก่ำ หากมิใช่ด้วยถูกโซ่ตรวนมัดมือทั้งคู่และขาทั้งคู่ไว้ เกรงว่านางคงกระโจนเข้ามาฉีกทิ้งศัตรูคู่แค้นให้แหลกคามือตั้งแต่วินาทีแรกแล้ว