“เป็นอะไร?”
“ในบ่อน้ำเรือนด้านหลัง จม มีคนจมน้ำตายแล้วเพคะ…”
หลินชิงเวยชะงักงัน “เป็นใครกัน?”
ปี้หลิงพูดเสียงสั่น “ดูเหมือนเป็น ดูเหมือนจะเป็นเชียนเหอสาวใช้คนสนิทในตำหนักจ้าวเฟยเหนียงเหนียงเพคะ…”
ทันทีทีสิ้นเสียง หลินชิงเวยฉวยเสื้อคลุมมาคลุมกายตัวหนึ่ง นางเดินออกจากประตูห้องไป นางเต็มไปด้วยความสงสัยเหตุใดคนสนิทข้างกายจ้าวเฟยจึงมาปรากฏกายในตำหนักฉางเหยี่ยนได้ ซ้ำยังมาตายในบ่อน้ำเรือนด้านหลังของตำหนักฉางเหยี่ยน
เพิ่งจะออกประตูมาซินหรูที่อยู่ห้องข้างๆ ก็โผล่ออกมา เห็นหลินชิงเวยเดินออกไปข้างนอกอย่างรีบเร่ง จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “พี่สาว ท่านจะไปไหนตั้งแต่เช้าเจ้าคะ?”
หลินชิงเวยไม่ได้หันกลับมา “เชื่อฟัง รออยู่ในห้อง อ่านหนังสือไป ไม่มีเรื่องอะไรไม่ต้องออกมา”
บ่อน้ำเรือนด้านหลังเต็มไปด้วยผู้คนที่ล้อมอยู่ ล้วนเป็นขันทีที่ขวัญกล้าสักหน่อย พวกเขาได้ช่วยกันงมร่างที่ลอยอยู่ในบ่อน้ำขึ้นมา ยามนี้ร่างนั้นนอนอยู่บนพื้นหญ้า ร่างกายนั้นขึ้นอืดบวมเต่ง ใบหน้านั้นถูกแช่อยู่ในน้ำจนบิดเบี้ยวซีดขาว
หลินชิงเวยก้าวเข้าไป เหล่าขันทีพากันหลีกทาง
นั่นเป็นนางกำนัลไม่คุ้นหน้านางหนึ่ง หลินชิงเวยมองเรียบๆ แวบหนึ่ง จึงสั่งให้ขันทีหามศพร่างนั้นออกไปที่ตำหนักหน้า
เมื่อก่อนน้อยนักที่หลินชิงเวยจะลงมาควบคุมดูแลข้ารับใช้ภายในตำหนักฉางเหยี่ยน ทุกอย่างล้วนให้ปี้หลิงและหัวหน้าผู้ดูแลตำหนักฉางเหยี่ยนรับผิดชอบดูแลทั้งหมด บัดนี้เกิดเรื่องใหญ่เยี่ยงนี้ขึ้น ใครก็มิอาจตัดสินใจได้ ได้แต่เชิญหลินชิงเวยออกมา
ศพศพนั้นนอนอยู่บนพื้น ใช้ผ้าขาวผืนหนึ่งคลุมปิดเอาไว้ ข้ารับใช้ภายในตำหนักทั้งหมดล้วนคุกเข่าอยู่ด้านนอก หลินชิงเวยนั่งยองๆ อยู่บนพื้นเพียงคนเดียว นางเปิดผ้าขาวตรวจสอบศพนั้นทีละชุ่นๆ
นางกำนัลตายเพราะจมน้ำ จมูกและหลอดลมยังมีน้ำและสิ่งแปลกปลอมดูเหมือนจะเป็นวัชพืนที่โตในน้ำ นางใช้ที่คีบคีบสิ่งของออกมาวางไว้ด้านข้าง แล้วตรวจสอบร่างกายของนางกำนัลอย่างละเอียด ทั่วทั้งร่างไม่มีร่องรอยบาดแผล
ช้าก่อน เส้นผมของนางกำนัลดำประหนึ่งสาหร่ายมันแนบไปกับผิวพรรณขาวซีดของนาง หลินชิงเวยใช้มือดึงเส้นผมบริเวณต้นคอของนางมาหลายเส้น พบว่าที่แนบติดไปเส้นผมที่เปียกชุ่มรอยนิ้วมือหลายนิ้ว
หลินชิงเวยขมวดคิ้ว
นางกำนัลผู้นี้ตายด้วยเหตุจมน้ำอย่างไร้ข้อกังขา แต่เมื่อดูจากร่องรอยนั้น ไม่เหมือนพลัดตกน้ำ แต่เหมือนเป็นฝีมือคนทำในที่ลับมากกว่า หลินชิงเวยรู้สึกเย็นวาบบริเวณต้นคอไม่ได้ คิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนมีคนกดต้นคอนางไม่ปล่อย ภาพที่กดนางลงไปในน้ำ
ความรู้สึกที่สิ้นเรี่ยวแรงดิ้นรนและสิ้นหวัง ลำพังเพียงแค่คิดก็รู้สึกหวาดหลัว
ร่องรอยบนต้นคอ ดูเหมือนจะมีความเกี่ยวพันชนิดหนึ่งกับนาง
ซินหรูทนความอยากรู้อยากเห็นในจิตใจไม่ได้ ยังคงวิ่งออกมาตำหนักหน้าเพื่อดูให้รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เมื่อเห็นว่ามีคนตายอยู่บนพื้นถึงกับตกใจจนขาอ่อนยวบ
หลินชิงเวยยืนอยู่บนบันไดมองข้ารับใช้ทั้งหมดด้วยสายตาเย็นชา นางถามด้วยน้ำเสียงคมปลาบ “นางกำลังในตำหนักจ้าวเฟยไฉนจึงมาอยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยนของข้า!”
ทุกคนต่างขดร่างก้มหน้าลงต่ำ
หลินชิงเวยจึงเรียกขันทีที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูตำหนักเมื่อคืนออกมา “เป็นพวกเจ้าปล่อยนางเข้ามาด้วยตนเองใช่หรือไม่!”
ขันทีได้แต่ร้องว่าถูกใส่ความ “เหนียงเหนียงโปรดตรวจสอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ เมื่อคืนบ่าวเฝ้าประตูตำหนักตลอดเวลา ไม่เห็นผู้ใดผ่านเข้ามาแม้แต่คนเดียว ผู้ที่ทำหน้าที่กวาดลานเรือนด้านหน้าเป็นพยานได้พ่ะย่ะค่ะ! หากนางเข้ามาทางประตูหลัก ย่อมต้องถูกทุกคนพบเห็นทันทีเป็นแน่!”
เรื่องนี้พวกเขาพูดถูก หลินชิงเวยประสบมาด้วยตนเอง เซียวเยี่ยนอุ้มนางเหินกายผ่านโดยไม่มีผู้ใดพบเห็นครั้งแล้วครั้งเล่า หากนางกำนัลผู้นี้ไม่ได้เข้ามาทางประตูหลักเช่นกัน…
สถานที่พบนางกำนัลคือทางเล็กๆ ข้างบ่อน้ำ เป็นเส้นทางที่เหล่าข้ารับใช้ต้องเดินผ่านเมื่อกลับไปพักผ่อน หลินชิงเวยถามอีกว่า “เมื่อคืนนี้ใครกลับไปพักผ่อนเป็นคนสุดท้าย?”
ลานด้านหน้ามีเพียงความเงียบงันอึดใจหนึ่ง ต่อมาปี้หลิงออกมาคุกเข่าเบื้องหน้าหลินชิงเวย “เป็นบ่าวเพคะ”
“เงยหน้าขึ้นมา” หลินชิงเวยกล่าว ปี้หลิงได้ยินเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา ความหวาดกลัวบนใบหน้านั้นมีมากกว่าคำพูด “เมื่อคืนขณะที่เจ้าเดินผ่านบ่อน้ำ เห็นหรือไม่ว่าในบ่อน้ำมีคน?”
ปี้หลิงส่ายหน้า “บ่าวเดินกลับห้องไม่เห็นอันใดทั้งสิ้นเพคะ…”
“ไม่พบคนที่น่าสงสัยอันใดเช่นกัน?”
“ไม่มีเพคะ…”
หลินชิงเวยจ้องปี้หลิงนิ่งๆ อึดใจหนึ่ง ความหวาดกลัวของนางไม่เหมือนเสแสร้งทำออกมา ม่านตาของนางขยายกว้าง แสดงให้เห็นว่านางกำลังหวาดกลัวจริงๆ
หลินชิงเวย “ช่างเถิด ประเดี๋ยวนำความไปแจ้งกับคนของตำหนักจ้าวเฟยให้มารับศพ”
“แต่…” ปี้หลิงอึกอัก
จ้าวเฟยและตำหนักฉางเหยี่ยนไม่ถูกกันมาโดยตลอด ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไปจะเป็นอย่างไร จ้าวเฟยย่อมต้องมาแสดงอำนาจไล่เรียงความผิดเป็นแน่ จ้าวเฟยในยามปกติมีนิสัยยโสโอหังนั้นช่างเถิด นางยังเป็นหลานสาวห่างๆ ของไทเฮา เรื่องครั้งก่อนที่นางตกน้ำ ไทเฮาเกือบจะลงโทษประหารหลินชิงเวย ยามนี้หากจ้าวเฟยติดใจเอาความขึ้นมา หลินชิงเวยย่อมต้องเสียเปรียบเป็นแน่
หลินชิงเวยตัดสายมามองนางอย่างเย็นชา “แต่อะไร?”
หัวหน้าผู้ดูแลภายในวังพูดว่า “หากให้จ้าวเฟยเหนียงเหนียงรู้เรื่องนี้ ย่อมต้องไม่ยอมเลิกราเป็นแน่เพคะ ตามความเห็นของบ่าว พวกเราทั้งหมดในวังปิดปากให้สนิทแล้วฝังนางเพคะ”
“นี่พวกเจ้ากำลังกินปูนร้อนท้อง?” หลินชิงเวยเลิกคิ้วอย่างชั่วร้าย สายตากวาดผ่านพวกเขา “ปิดปากให้สนิท? มีเพียงคนที่ตายไปแล้วเท่านั้นที่จะปิดปากให้สนิทได้”
หัวหน้าผู้ดูแลอึกอักไม่ตอบความอีก
เหล่าข้ารับใช้ที่คุกเข่าพากันแยกย้าย ปี้หลิงทำตามคำสั่งนำความไปบอกกับทางจ้าวเฟย ลานเรือนด้านหน้าจึงเงียบสงบลง
หลินชิงเวยหันไปมองซินหรูที่ขาอ่อนยวบอยู่ด้านข้าง “มิใช่ให้เจ้าอยู่แต่ในห้องไม่ต้องออกมาหรอกหรือ?”
ซินหรูทำปากเบ้ “แต่ข้าเกรงว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น ดังนั้นจึงออกมาดูเสียหน่อยเจ้าค่ะ”
“เวลานี้เห็นแล้ว เสียใจที่ออกมาแล้วกระมัง” หลินชิงเวยกล่าวเสียงเรียบ
ซินหรูเงยหน้าขึ้นมองหลินชิงเวยตาปริบๆ “พี่สาว ทำอย่างไรดีเจ้าคะ จ้าวเฟยต้องมาก่อความวุ่นวายในตำหนักฉางเหยี่ยนเป็นแน่เจ้าค่ะ หากให้ไทเฮาเหนียงเหนียงรู้เข้า…”
หลินชิงเวยกล่าว “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีหนทางอื่น ซินหรู เจ้าไปตำหนักซวี่หยางสักหน นำเรื่องนี้ไปกราบทูลฝ่าบาทตั้งแต่ต้นจนจบ รีบไป”
ในใจซินหรูเกิดความหวังวาบขึ้น ฝ่าบาทดีต่อพี่สาวเสมอยามนี้เกิดเรื่องเยี่ยงนี้ขึ้น เขาจะต้องไม่ยืนดูดายแน่นอน ดังนั้นนางจึงฟื้นฟูกำลังอย่างรวดเร็ว ผงกศีรษะแรงๆ รับคำ “อื้อ” จากนั้นวิ่งราวกับบินได้ออกไป
หลินชิงเวยกลับไปถึงเรือนของตน บัดนี้มีความจำเป็นต้องฟื้นฟูความสามารถของนางในภพก่อนแล้ว ลำดับแรกนางต้องการถุงมือยางคู่หนึ่ง แต่ที่นี่ไหนเลยจะมีถุงมือยางเล่า
นางจึงออกไปค้นหาตามมุมต่างๆ ของเรือน ยังไม่อับโชคเท่าใดนักนางจึงพบหนังงูที่เพิ่งลอกคราบไม่นาน สภาพยังอ่อนนุ่มเหมาะกับการใช้งาน
หลินชิงเวยนำหนังงูเข้าไปในเรือนแล้วตัดขนาดใหญ่เล็กตามขนาดมือของตนเอง ทำเป็นแบบของถุงมือ แช่ในน้ำยาที่นางทำขึ้นเอง ไม่เพียงเพื่อขจัดกลิ่นคาวแต่ยังทำให้บางใสราวกับปีกจั๊กจั่น ซ้ำยังมีกลิ่นหอมบางๆ ของสมุนไพร
หลินชิงเวยทดลองสวมดู ชุ่มชื้นและแนบเนื้อ นางพอใจอย่างยิ่ง
ต่อมาหลินชิงเวยไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง เข้าไปใกล้กระจกสำริด ยืดคอของตนแล้วยกเส้นผมของตนออกดู
ในใจพลันรู้สึกหนักอึ้งอย่างห้ามไม่อยู่
บนต้นคอของนางก็มีร่องรอยนั้นเช่นกัน เช่นนั้นเรื่องนี้สิบส่วนมีแปดเก้าส่วนที่เป็นไปได้แล้ว
ไม่ผิดไปจากที่คาด จ้าวเฟยพาข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งรีบรุดมาแสดงอำนาจอย่างเหิมเกริม ท่าทีในวันนี้ราวกับต้องการวางท่าที่จะรื้อตำหนักฉางเหยี่ยน