หลินชิงเวยย้ายตัวเด็กน้อยกลับไปยังเรือนพักของนาง หมัวมัวอาวุโสได้รับคำสั่งให้ออกมาส่งนางด้วยตนเอง เพื่อแสดงให้สตรีที่กำลังจ้องตาเป็นมันเหล่านั้นไม่กล้ามาตบตีกับพวกนางโดยง่าย
หมัวมัวอาวุโสไม่ได้มีท่าทีเย็นชาเหมือนเมื่อแรกพบกัน นางได้เห็นกับตาตนเองว่าหลินชิงเวยสามารถช่วยชีวิตเด็กน้อยที่กำลังจะตายกลับมาได้ ในใจย่อมต้องบังเกิดความศรัทธาขึ้นสักสองส่วน หมัวมัวอาวุโสกล่าวว่า “ข้าคงส่งเจ้าเพียงเท่านี้ นายท่านสั่งไว้แล้ว ต่อไปหากเจ้ามีความจำเป็นอะไรยาสมุนไพรในสวนสมุนไพรให้เจ้ามาเก็บไปใช้ได้”
หลินชิงเวยค่อยๆ หันหน้ากลับมายอบกายลง “ขอบคุณนายท่านของท่านแทนข้าด้วยเจ้าค่ะ”
ฮ่องเต้น้อย เซียวจิ่น กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องทรงพระอักษร สีหน้าของเขาปรากฏให้เห็นความซีดขาวของผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยอยู่หลายส่วน ใบหน้านั้นยังคงงดงามประดุจหยกสลัก คิ้วเข้มดวงตาเป็นประกาย ถือเป็นเด็กชายรูปงามหล่อเหลาคนหนึ่ง เชื่อว่าต่อไปเมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้นจะต้องเป็นบุรุษองอาจที่ไม่ธรรมดา เพียงแต่เวลานี้เขานั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น ขาทั้งคู่ของเขาห้อยตกลงมาทำให้ดูไปแล้วสงบนิ่งอย่างยิ่ง ในห้องทรงพระอักษรไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียว ด้านข้างยังมีบุรุษอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย
บุรุษผู้นั้นสวมอาภรณ์ผ้าไหมสีม่วง เขามีช่วงบ่าไหล่ที่กว้างและเอวสอบ รูปร่างสูงเพรียวสมส่วน ปกคอเสื้อที่พับอยู่นั้นได้รับการดูแลอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เส้นผมสีดำขลับนั้นถูกหยกชิ้นหนึ่งรวบตรึงไว้ด้านหลัง มีเส้นผมส่วนหนึ่งตกลงมาระไปตามด้านข้างของใบหน้า ทำให้เค้าโครงรูปหน้าของเขายิ่งเพิ่มความน่ามองขึ้นอีก
แม้เขาจะนั่งอยู่ด้านข้างเงียบๆ ในมือถือตำราเล่มหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งแตะปลายคางเบาๆ เรียบง่ายและสงบยิ่ง แต่ดูแล้วเขาก็ยังมีรูปร่างสูงใหญ่อยู่นั่นเอง
คิ้วของเขาพาดเฉียงขึ้นหาไรผม ดวงตาทั้งคู่นั้นเรียวยาวชัดเจน เป็นดวงตาหงส์ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์คู่หนึ่ง นัยน์ตาขาวและดำขลับนั้นตัดกันชัดเจนไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดๆ เมื่อเขามีสายตาอ่อนโยนเช่นเวลานี้ คือความงดงามดุจภาพวาดภาพหนึ่ง เมื่อดวงตาของเขากลายเป็นความคมปลาบเย็นชา นั่นทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ
เขาก็คือ เซ่อเจิ้งอ๋อง ของราชวงศ์ปัจจุบัน เซียวเยี่ยน เสด็จอาแท้ๆ ของเซียวจิ่น
ดังนั้น เซียวจิ่นจึงให้ความเคารพนับถือเขาเช่นนี้ ทั้งยังเกรงกลัวเขา
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเรื่องที่มิอาจตัดสินใจได้ เซียวจิ่นมักจะมีความเคยชินที่จะขอความเห็นจากเขา
ทว่าวันนี้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเซียวเยี่ยน ตำราในมือนั้นไม่ได้พลิกเปิดเนิ่นนาน นัยน์ตาดำสนิทราวกับน้ำหมึกทั้งคู่ของเขาตกอยู่บนตำรา ทว่าเนิ่นนานไม่มีการเคลื่อนไหวราวกับเขากำลังใจลอย ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เช่นกัน
แต่นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดนี่นา
น่าประหลาดจริงๆ
น่าประหลาดอย่างยิ่ง
ไม่น่าเชื่อว่าเซ่อเจิ้งอ๋องจะมีช่วงเวลาที่ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“เสด็จอา…”
“เสด็จอา…”
เซียวจิ่นเรียกเขาหลายต่อหลายครั้ง เซียวเยี่ยนจึงได้สติคืนมา เขาปล่อยมือที่เท้าคางลง ดูคล้ายกำลังบดบังใบหน้าด้านข้างของตนด้วยมืออีกข้างหนึ่ง สีหน้าบนใบหน้านั้นไม่ปรากฏร่องรอยใดๆ เมื่อเงยหน้าขึ้น “หืม?”
เซียวจิ่นประหลาดใจอยู่บ้าง “เมื่อสักครู่เจิ้นเห็นเสด็จอาใจลอย เสด็จอากำลังคิดอะไรอยู่?”
เซียวเยี่ยนกล่าวโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่นิดเดียว “เจ้าอนุมัติฎีกาหมดแล้วหรือยัง?”
“อนุมัติหมดแล้ว” เซียวจิ่นกล่าว “แต่เรื่องเหล่านี้เจิ้นไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจอย่างไร” ด้านข้างยังมีฎีกาอีกส่วนหนึ่งที่เซียวจิ่นตัดสินใจไม่ได้
เซียวเยี่ยนค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ช่างเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่อย่างยิ่ง มือของเขาปัดเสื้อผ้าอาภรณ์ตามความเคยชินแล้วเดินข้ามไปหยิบฎีกามาพลิกเปิดอ่าน เขาอ่านฎีกาไปพร้อมๆ กับที่มืออีกข้างหยิบพู่กันแต้มหมึกสีแดงชาดที่อยู่บนโต๊ะ ข้อกระดูกนิ้วนั้นชัดเจน นิ้วมือของเขาทั้งเรียวยาวและแข็งแรง ท่าทางที่เขาจับพู่กันอย่างเป็นธรรมชาตินั้นราวกับเป็นความงดงามของทัศนียภาพอย่างหนึ่ง เขาจรดพู่กันลงบนฎีกาพร้อมทั้งชี้แนะเซียวจิ่นสองประโยค เมื่อเขาพูดจบฎีกาก็ได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เขาวางพู่กันลง ปลายเล็บที่ถูกตัดเจียนจนกลมมนนั้นสะอาดสะอ้าน แต่ในตอนนี้กลับเปื้อนหมึกสีแดงชาดเล็กน้อย ดูไปแล้วงดงามยิ่งนัก
รอกระทั่งเสร็จสิ้นจากเรื่องของราชกิจ เซียวจิ่นจึงถูกขันทีส่งออกไปจากห้องทรงพระอักษร อาการประชวรของเขายังไม่หายดี ต้องการการพักผ่อนมากขึ้น เซียวเยี่ยนจึงเดินตามออกมาจากห้องทรงพระอักษรพร้อมกัน
เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ องครักษ์คนสนิทผู้มากความสามารถในวังหลวงเดินเข้ามากระซิบกระซาบข้างหูเขาหลายประโยค เขามีสีหน้าตื่นตะลึงเล็กน้อย แววตานั้นเปลี่ยนเป็นสายตาของการคาดคะเน “นางกลับมีชีวิตรอดอยู่ในนั้นได้”