หลินชิงเวยมองตาเขาอยู่อึดใจหนึ่งแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ดูเหมือนท่านจะผิดหวังเล็กน้อย ที่เวลานั้นเพียงแต่ส่งข้าเข้าตำหนักเย็นทว่ามิได้สังหารข้า”
เซียวเยี่ยนยกขายาวเรียวของตน ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้นางทีละก้าว เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งนั้นเขาได้ยืนอยู่ใต้ชายคาเรือนเดียวกับนาง ความรู้สึกกดข่มบีบคั้นที่ส่งผ่านมาจากเขานั้นชัดเจนยิ่งนัก หลินชิงเวยก้าวถอยหลังไปเองอย่างมิรู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งแผ่นหลังชนกับกำแพง เงาร่างอันสูงใหญ่ของเขาบดบังนางทั้งร่าง ทำให้พวกเขาอยู่ใกล้ชิดกันยิ่งยวด
น้ำเสียงที่เอ่ยในลำคอของเซียวเยี่ยนแฝงไว้ด้วยความหมายอื่น “เวลานี้แม้เปิ่นหวังจะเสียใจ แต่ก็ยังไม่สาย”
ทั้งๆ ที่เป็นคำพูดข่มขู่ที่เต็มไปด้วยอำนาจ ทว่าหลินชิงเวยฟังแล้วกลับรู้สึกจั๊กจี้หูอย่างยิ่ง นางดูเหมือนจะมัวแต่ชื่นชมน้ำเสียงของชายหนุ่ม เหมือนกำลังฟังเสียงเสนาะจากสายธนูอย่างไรอย่างนั้น
หลินชิงเวยมองเขาอย่างละเอียด แม้จะมีหน้าตาคมสัน ทว่าท่าทีกลับเย็นชา ดูไปแล้วอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบกว่าปี ต่อให้ท่าทางของเขาดุดันกว่านี้ก็ไม่อาจทำให้นางตกใจได้
ข้าไม่ได้เป็นคนที่ถูกทำให้ตกใจจนโตเสียด้วย
แต่หลินชิงเวยยิ่งมองดูเขา ยิ่งบังเกิดความพึงพอใจ
รอยยิ้มของหลินชิงเวยสว่างไสวเจิดจ้าและไร้เดียงสา แต่ที่จริงแล้วมีความคิดร้ายกาจอยู่เต็มท้อง นางกล่าวว่า “ข้ารู้ ข้าย่อมรู้ดีว่าท่านอ๋องมีอำนาจสูงสุดในการที่จะตัดสินใจสังหารข้า ไม่แน่ว่าวันใดที่ท่านอ๋องเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมา ศีรษะของข้าคงต้องโยกย้ายไปที่อื่น แต่หากต้องการสังหารข้า เหตุใดต้องให้ท่านอ๋องลงมือด้วยตนเองด้วยเล่า แล้วเหตุใดต้องให้ท่านอ๋องมาที่นี่ด้วยตนเองอีกครั้ง” นางยกมือขึ้นหมายจะวางลงเบาๆ บนอาภรณ์ของเซียวเยี่ยน ทว่ากลับถูกเซียวเยี่ยนรั้งมือของนางเอาไว้
มือของนางอ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูก ผิวนั้นทั้งละเอียดและลื่นมือ ฝ่ามือของเซียวเยี่ยนทั้งหนาและอบอุ่น กลางฝ่ามือของเขามีไตแข็งๆ ชั้นหนึ่ง ทำให้เห็นว่าเขาเป็นคนฝึกยุทธที่ไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยง่าย
เซียวเยี่ยนออกแรงราวกับต้องการบีบกระดูกนิ้วของหลินชิงเวยให้แหลกละเอียด ช่างเป็นชายหนุ่มที่ไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาแม้แต่น้อย ดูสายตาเช่นนั้นของเขา ไม่เพียงแต่มือนางเท่านั้น เขาแทบจะทนไม่ได้ที่จะบีบนางทั้งร่างให้กลายเป็นท่อนๆ
ความเจ็บปวดส่งผ่านมือของหลินชิงเวย กลับทำให้รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้านั้นยิ่งกระจ่างขึ้นราวกับท้าทาย เรือนร่างในวัยดรุณีน้อยของนางงดงามยิ่งยวด กลิ่นกายของนางนั้นทำให้ผู้คนหวั่นไหว ไม่ใช่กลิ่นที่เกิดจากผงชาดที่หญิงสาวในวังใช้กัน แต่เป็นกลิ่นหอมบางๆ ที่ปะปนมากับกลิ่นสมุนไพร เสื้อผ้าอาภรณ์เนื้อหยาบและกระโปรงผ้าฝ้ายที่อยู่บนร่างกายของนางกลับมิอาจบดบังผิวพรรณอันผุดผ่องของนางเอาไว้ได้
หลินชิงเวยบิดมือของตน “ท่านอ๋องทำให้ข้าเจ็บแล้ว”
เซียวเยี่ยนไม่ได้ตอบคำนาง นางจึงค่อยๆ ช้อนตาขึ้นมอง พบว่าเซียวเยี่ยนกำลังหลุบตาลงต่ำ หยุดอยู่บนเรือนร่างของตนบริเวณที่สาบเสื้อทบกันที่ปรากฏให้เห็นกระดูกไหปลาร้าเพียงครึ่งๆ จอนผมของนางที่ระไปตามลำคอ ทำให้ช่วงลำคอของนางยิ่งดูระหงและงดงามกระจ่างตาขึ้นไปอีก
แม้ว่าสายตานั้นจะมีเพียงชั่วระยะเวลาสั้น แต่หาได้รอดพ้นไปจากสายตาของหลินชิงเวย นางหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย “ท่านอ๋องมองลำคอของข้า ดวงตานั้นเบิกกว้าง ด้วยกำลังถูกปลุกให้ตื่นตัวขึ้นหรือไร”
คำพูดเช่นนี้เมื่อออกมาจากปากของสตรีนางหนึ่ง…ช่างเป็นคำพูดไร้ยางอายที่สมควรตายยิ่งนัก
นาทีนั้นสายตาของเซียวเยี่ยนราวกับเดือดดาลถึงที่สุด เขากล่าวว่า “ขอเพียงเป็นสตรีที่ต้องการจะยืนหยัดในตำหนักใน ย่อมต้องเรียนรู้ที่จะเป็นสตรีผู้อยู่ในคุณธรรม มิใช่เป็นเช่นหญิงไร้ยางอายอย่างเจ้า คำพูดและการกระทำไร้ขอบเขต”
หลินชิงเวยก้มหน้าลงมองมือของเซียวเยี่ยนที่กุมมือของนางเอาไว้ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านดูสิ ท่านจับมือของข้าจนมิอาจหักใจปล่อยได้ ยังบอกว่าไม่รู้สึกอะไรกับข้าอีก”
สายตาของเซียวเยี่ยนเต็มไปด้วยความรังเกียจและขยะแขยง เขารีบปล่อยมือของนางทันควัน นางจึงกล่าวขึ้นอีกว่า “ก่อนอื่น ข้าไม่ได้เต็มใจที่จะเข้าวังมา ได้ยินว่าข้าถูกบิดารังเกียจ ถูกน้องสาวผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องวางแผนจึงถูกจับใส่เกี้ยวเข้าวังมาแต่งงานแทน ฮ่องเต้เพิ่งจะอายุสิบสามปี อายุน้อยกว่าข้าสามปี เขายืนก็ยังยืนขึ้นมาไม่ได้ อย่าว่าแต่จะทำอันใดเลย ที่เข้าวังมาล้วนเป็นสาวน้อยที่อยู่ในวัยงดงามที่สุด ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่ยินดีที่จะเข้ามาอยู่ในวังหลวงแห่งนี้กระมัง”