เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หลินชิงเวยเดินค่อนข้างช้า เมื่อมาหยุดเบื้องหน้าเซียวเยี่ยน นางแสร้งยอบกายลงเพื่อคารวะตามธรรมเนียม รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้านั้นเป็นเช่นการแสดง “เสด็จอาหาข้ามีเรื่องอะไรเพคะ?”
“เจ้าเลิกเสแสร้งได้แล้ว สิ่งของเล่า คืนมา”
หลินชิงเวยมีสีหน้าราวกับเป็นผู้บริสุทธิ์ “สิ่งของอะไรกันเพคะ?”
“ถุงเงิน”
“นั่นเป็นถุงเงินที่มีลักษณะอย่างไรเพคะ?” หลินชิงเวยแตะคางของตนพร้อมกับพูดงึมงำ “สีม่วงเข้มใช่หรือไม่? ข้างบนปักดอกบัวสีขาวดอกหนึ่ง?” ขณะที่เอ่ยคำพูดออกมานั้นนางมองหน้าเซียวเยี่ยน สีหน้าของเซียวเยี่ยนเปลี่ยนไป ช่างน่าสนใจนัก “ยังมีพู่สีขาวอีกชิ้นหนึ่ง? ดูเหมือนข้าจะเพิ่งเก็บถุงเงินใบหนึ่งที่มีลักษณะเช่นนี้ งานฝีมือนั้นประณีตงดงามอย่างยิ่ง เพียงแต่ดูเหมือนค่อนข้างเก่าสักหน่อย”
สายตาของเซียวเยี่ยนที่จ้องมองนางนั้นแทบจะทนไม่ไหวที่ไม่อาจกลืนกินนางลงไปได้ “เอามา!”
หลินชิงเวยไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย “เสด็จอา ลำดับแรกท่าทีของท่านไม่ถูกต้อง การเก็บสิ่งของมีค่าได้ไม่อาจนับว่าเป็นจริยธรรมที่ดี แต่ข้ามิได้ต้องการจริยธรรมที่ดีเช่นนี้ ท่าทางของท่านที่พูดจาข่มขู่ตะคอกใส่ข้าเยี่ยงนี้ ข้าไหนเลยจะยินดีคืนถุงเงินใบนั้นให้กับท่าน?” นางหยิบถุงเงินที่นางบรรยายลักษณะเมื่อสักครู่ออกจากอกเสื้อ แขวนกับปลายนิ้วเรียวเล็กขาวผ่องของนาง พร้อมกล่าวท้าทายว่า “ท่านดูสิ ใบนี้ใช่หรือไม่?”
เซียวเยี่ยนยื่นมือออกมาหมายจะหยิบไป ทว่าหลินชิงเวยระวังตัวไว้แต่แรกแล้ว จึงซ่อนถุงเงินใบนั้นไว้ข้างหลังตน
เซียวเยี่ยนหรี่ตาลง ดวงตาเรียวยาวรูปหงส์คู่นั้นเมื่ออยู่บนใบหน้าคมสันองอาจราวเทพเซียนของเขา แม้จะมีความน่าเกรงขาม นัยน์ตาดำขลับ ทว่ามิอาจปฏิเสธได้ว่ามีเสน่ห์ที่ยากแก่การต้านทานได้ ราวกับจะดึงดูดให้ผู้คนหลงวนเข้าไปในบ่อน้ำลึกอย่างไรอย่างนั้น เขากล่าวว่า “เจ้าต้องการอะไรกันแน่ แต่ไรมาเปิ่นหวางไม่เคยทำสิ่งของตกหล่นมาก่อน เปิ่นหวางไม่เชื่อว่าถุงเงินใบนี้เจ้าเก็บได้บนทางเดิน”
เมื่อหลินชิงเวยยังคงเงยหน้าขึ้นเพื่อจับจ้องเขา เขาพยายามข่มใจอย่างที่สุด ทำให้อากาศในยามเช้าของฤดูวสันต์เพิ่มความสดใสขึ้น
หลินชิงเวยจ้องดวงตาทั้งคู่ของเขา เซี่ยวจิ่นมีความคล้ายคลึงกับเขาอยู่หลายส่วน แต่ดวงตาคู่นั้นของเขาน่าจะเป็นหนึ่งไม่มีสอง หลินชิงเวยยิ้มกล่าวว่า “แต่ไรมาท่านไม่เคยทำสิ่งของตกหล่น? ข้าก็ไม่เชื่อเช่นกัน เสด็จอาท่านลองคิดดูให้ละเอียดถี่ถ้วนว่าท่านได้เคยทำสิ่งของลักษณะเช่นนี้ตกหล่นมาก่อนหรือไม่?”
ไหนเลยจะคาดคิดว่านาทีถัดมาเซียวเยี่ยนคร้านจะพูดจาไร้สาระกับนาง จึงยื่นมือออกไปหมายจะแย่งสิ่งของคืนมา หลินชิงเวยถอยหลังไปหลายก้าว กำถุงเงินใบนั้นไว้ในมือแน่น แขนยาวๆ ทั้งคู่ของเซียวเยี่ยนอ้อมผ่านเอวคอดของหลินชิงเวยไปจับมือทั้งคู่ของหลินชิงเวย
มือทั้งสี่ข้างแย่งชิงสิ่งของกันอยู่ด้านหลัง ต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ร่างของเซียวเยี่ยนทั้งร่างแทบจะทาบทับลงบนร่างของหลินชิงเวย หลินชิงเวยจึงกล่าวขึ้นว่า “เสด็จอา ท่านอยู่ใกล้ข้าเกินไปแล้ว เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะร้องให้ช่วยแล้ว?”
“ร้องให้ช่วย?” ริมฝีปากบางของเซียวเยี่ยนกล่าวเสียงต่ำ “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าจะมีคนได้ยินหรือไม่”
ดังนั้น หลินชิงเวยจึงอ้าปากขึ้นเตรียมจะร้องตะโกนขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ดูท่าแล้วเซียวเยี่ยนยังคงมีความกังวลอยู่บ้าง เมื่อเห็นเช่นนี้จึงยื่นมือข้างหนึ่งมาปิดปากของหลินชิงเวย ไหนเลยจะคิดว่าด้วยเขาออกแรงมากเกินไป อีกทั้งหลินชิงเวยเป็นสตรีร่างเล็กบอบบาง ร่างทั้งร่างของนางจึงหงายไปด้านหลัง ด้วยนางคิดว่าข้างหลังยังมีต้นไม้รองรับร่างของตน ร่างทั้งของนางจึงเสียหลักไปด้านหลังอย่างคาดไม่ถึง ต้นไม้ต้นนั้นอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยจึงพลาดเป้าไป ประกอบกับร่างของเซียวเยี่ยนทาบทับลงมา นางจึงสูญเสียการทรงตัวอย่างควบคุมไม่ได้หงายผลึ่งลงด้านหลังทันที
เซียวเยี่ยนเห็นเช่นนั้นที่จริงมืออีกข้างหนึ่งของเขาที่อยู่ด้านหลังนางสามารถโอบเอวของนางแล้วดึงนางขึ้นมาได้ เช่นนี้แล้วเขาย่อมช่วยนางได้ทันท่วงที ทว่าขณะที่เขากำลังคิดจะยื่นมือออกไป ก็เหมือนกับรังเกียจตนเองที่ต้องทำเช่นนี้เช่นกัน
สตรีที่ไม่รู้ดีชั่วคนหนึ่ง หกล้มลงไปตายก็เป็นเรื่องสมควร ทำไมต้องประคองนางด้วย?
เซียวเยี่ยนเพิ่งจะดึงมือกลับมา มองหลินชิงเวยซึ่งกำลังจะล้มลงไปด้วยสายตาเย็นชา แต่เขาไหนเลยจะคิดว่าขณะที่หลินชิงเวยกำลังจะล้มลงไปนั้น ขาทั้งคู่ของนางเตะออกมาข้างหน้า ช่างบังเอิญยิ่งนักที่เตะถูกขาทั้งคู่ของเซียวเยี่ยน
เซียวเยี่ยนเบิกตากว้าง
เขาสูญเสียการทรงตัว ควบคุมตัวเองไม่ได้ ร่างทั้งร่างของเขาทาบทาลงบนร่างของหลินชิงเวย หลินชิงเวยเบิกตากลมโต ไม่อาจสนใจความเจ็บปวดที่ส่งผ่านมาจากแผ่นหลังได้แต่จ้องมองใบหน้าของเซียวเยี่ยนที่กำลังเข้ามาใกล้คลองจักษุของนาง
ความสมดุลของร่างกายและความหนักแน่นมั่นคงของเซียวเยี่ยนนั้นเป็นเลิศ ขณะที่ห่างจากหลินชิงเวยไม่ถึงฉื่อ เขากลับหยุดร่างของตนเอาไว้ได้ ร่างของเขาตรงเช่นเดียวกับพู่กัน อยู่เบื้องบนขนานไปกับร่างของหลินชิงเวย โดยอาศัยเรี่ยวแรงจากขาทั้งคู่และเอวเพื่อประคองร่างของตน
ปลายจมูกของเขาเกือบจะแตะกับปลายจมูกของหลินชิงเวย เส้นผมสีดำขลับปัดมาจากด้านหลังศีรษะลงมา เส้นผมส่วนหนึ่งห้อยลงมาอยู่ด้านข้างแก้มของหลินชิงเวย เหมือนม่านหมอกสายหนึ่ง นางมองเห็นเงาร่างของตนเองได้จากดวงตาของเซียวเยี่ยนอย่างชัดเจน จึงหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนั้นมีความเจ้าเล่ห์อยู่สองส่วน
หลินชิงเวยกล่าว “ท่านไม่อยากแตะต้องข้าถึงเพียงนี้? รังเกียจข้าถึงเพียงนี้?”
เซียวเยี่ยนขมวดคิ้ว
หลินชิงเวยกล่าวกลั้วหัวเราะอย่างเกียจคร้าน “น่าเสียดาย ข้าชอบทำให้คนผิดหวังเสียด้วย” พูดแล้วนางก็ยื่นปลายนิ้วออกไป สะกิดรักแร้ของเซียวเยี่ยน
สีหน้าของเซียวเยี่ยนพลันเปลี่ยนไป มือทั้งคู่ที่ยันอยู่กับพื้นเกร็งขึ้น เขาขบฟันพูดว่า “หลินชิงเวย ทางที่ดีที่สุด เจ้าพลิกตัวไปด้านข้างเปิ่นหวังเดี๋ยวนี้”
หลินชิงเวยกล่าวอย่างเห็นขันว่า “แขนข้างท่านขวางทางของข้าเอาไว้ ข้าควรจะพลิกไปด้านไหนเล่า? มิใช่ท่านควรจะลุกขึ้นมาก่อนหรือ?”
ทันทีที่สิ้นเสียง เซียวเยี่ยนพลันรู้สึกหงุดหงิด เขากลับลืมไปว่าแขนทั้งคู่ของตนยันอยู่กับพื้นเอาไว้สามารถลุกขึ้นอย่างได้ง่ายดาย ดังนั้นเขาจึงดึงแขนกลับไปข้างหนึ่งเตรียมจะยันกายลุกขึ้น
ทว่าในเวลานี้เองกลับมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริเวณนี้ ดูเหมือนจะมุ่งหน้ามาทางนี้เสียด้วย
ทางเดินที่มีร่มเงาทั้งสองข้างทางล้วนมีสวนดอกไม้อยู่ตลอดทาง มีต้นไม้ใหญ่อยู่กลางสวนดอกไม้ หากมีคนนอนราบอยู่กับพื้น สวนดอกไม้จะบดบังเอาไว้ยากแก่การพบเห็น
แต่ถ้าหากยืนขึ้นมาแล้วละก็จะต้องถูกพบเห็นในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียวเยี่ยนที่มีรูปร่างใหญ่โตเช่นนี้
มือทั้งสองข้างของหลินชิงเวยรองอยู่ด้านหลังศีรษะ หรี่ตามองกริยาท่าทางที่ลุกขึ้นมาได้เพียงครึ่งๆ กลางๆ ของเซียวเยี่ยน แน่นอนว่านางย่อมได้ยินเสียงฝีเท้านั้นเช่นกัน นางกล่าวซ้ำเติมว่า “เสด็จอาบอกว่าที่นี่ไม่มีคนใช่หรือไม่ เหตุใดเวลานี้มีคนมาแล้วเล่า อีกทั้งฟังจากเสียงฝีเท้ามิใช่เพียงคนเดียว น่าจะเป็นคนกลุ่มหนึ่ง ท่านลุกขึ้นยืนเถิดแล้วบอกกับพวกเขาว่าพวกเรานัดพบกันที่นี่”
เซียวเยี่ยนชะงักกึก จากนั้นค่อยๆ หลุบตาลงมองต่ำ มือที่ยืนอยู่กับพื้นก็ค่อยๆ งอลงมา ร่างของชายหนุ่มแนบติดไปเรือนร่างของหลินชิงเวยเล็กน้อย กระทั่งสัมผัสเพียงบางเบาในที่สุด ทว่ากลับมิได้ทาบทับลงบนร่างของนาง
เวลานี้เองทางเล็กๆ ข้างสวนดอกไม้ข้างนอก มีคนเดินผ่านไปจริงๆ
หลินชิงเวยแทบจะเอ่ยอยู่ชิดริมหูของเซียวเยี่ยนด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ท่านว่า ยามนี้หากข้าผิวปากเรียกพวกเขามา จะไม่ใช่การจับชายชู้ได้อย่างคาหนังคาเขาหรือ?”
“เจ้ากล้า” เซียวเยี่ยนกล่าว “หากทำเช่นนั้น เท่ากับเจ้ารนหาที่ตายอย่างมิต้องสงสัย ครั้งนี้เปิ่นหวังจะไม่มีทางช่วยเจ้าอีกเด็ดขาด”
“อ้อ?” หลินชิงเวยยิ้มอย่างเบิกบานใจ “นั่นหมายความว่าครั้งที่แล้วเสด็จอาเคยช่วยข้าเอาไว้?”
เซียวเยี่ยน “…”
“เสด็จอา” หลินชิงเวยมองสีหน้าท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเขา “เสด็จอา ข้าควรจะขอบพระทัยเสด็จอาอย่างไรดีเล่า?”
เซียวเยี่ยนสิ้นความอดทน “ข้าขอเตือนเจ้า ห้ามเรียกข้าว่าเสด็จอาอีก”