กระทั่งนางกำนัลเดินห่างออกไปแล้ว หลินชิงเวยหรี่ตาเงยหน้ามองไป นางเห็นองครักษ์ผู้นั้นเพิ่งจะออกมาจากสวนเดินไปอีกทางหนึ่ง
สมองของหลินชิงเวยสว่างวาบ นางลงมาจากภูเขาจำลอง เดินไปทิศทางเดียวกับองครักษ์ผู้นั้น
องครักษ์เดินด้วยท่าทีเกียจคร้านยิ่งยวด ไม่มีท่าทางเคร่งครัดของผู้ที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์แม้แต่น้อย เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วฝีเท้าของหลินชิงเวยกลับเบาและเร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัด ในที่สุดหลินชิงเวยก็เดินตามองครักษ์คนนั้นจนทันเมื่อมาถึงริมบ่อน้ำแห่งหนึ่ง
“พี่ชายที่อยู่ด้านหน้าโปรดรั้งอยู่ก่อน” หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงใสกังวานของดรุณีน้อย
องครักษ์ได้ยินเสียงไพเราะหาใดเปรียบ เขาหันกลับมาพบว่าท่ามกลางแสงจันทร์มีแม่นางน้อยยืนอยู่ นางงดงามราวกับวสันตฤดู บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อนหวาน งดงามอย่างที่สุด
องครักษ์จับจ้องอยู่ครู่หนึ่ง เขาตื่นตระหนกตกใจจนหน้าเปลี่ยนสีรีบก้มหน้าลงต่ำและกล่าวว่า “ข้าน้อยถวายคำนับเจาอี๋เหนียงเหนียงพ่ะยะค่ะ”
เวลานี้หลินชิงเวยเดินใกล้เข้าไปเผชิญหน้ากับเขาและมองสำรวจ นางแน่ใจแล้ว ถูกต้อง คนๆ นี้ก็คือคนที่หลินเสวี่ยหรงเตรียมเอาไว้เพื่อกระทำการย่ำยีนาง สีหน้าของเขาในเวลานี้ปรากฏความหวาดกลัว แน่ชัดว่าเขาย่อมต้องจำเรื่องครั้งนั้นได้
หลินชิงเวยก้าวขึ้นหน้าไปเอ่ยกับเขาราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น “ข้าเดินไปเดินมาหลงทางในวังเสียแล้ว ไม่รู้ว่าตำหนักฉางเหยี่ยนต้องเดินไปทางใดกัน ไม่รู้ว่าพี่ชายจะส่งข้ากลับไปได้หรือไม่?”
ฟังจากน้ำเสียงของนางดูเหมือนไม่รู้ว่าองครักษ์ที่อยู่เบื้องหน้าเคยทำอะไรกับนางมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น องครักษ์ได้ยินคำพูดของหลินชิงเวยแล้วจึงสรุปได้เช่นนี้ ความวิตกกังวลในใจจึงค่อยๆ ถูกวางลง
องครักษ์กล่าวว่า “เป็นหน้าที่ของข้าน้อยอยู่แล้วพะยะค่ะ เชิญเหนียงเหนียงพ่ะยะค่ะ”
หลินชิงเวยเดินเอามือไพล่หลังอยู่ด้านหน้า องครักษ์เดินตามหลังนาง
หลินชิงเวยรับรู้ได้ถึงสายตาจับจ้องจากด้านหลัง นางค่อยๆ ยกยิ้มมุมปาก
ข้างหน้าเป็นทางแยก หลินชิงเวยจึงถามขึ้นว่า “พี่ชาย ไปทางซ้ายหรือทางขวาเล่า?”
องครักษ์กลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง “ไป ไปทางขวาเถิดพ่ะยะค่ะ”
หลินชิงเวยพูดคุยกับเขาราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา “เหตุใดเจ้าจึงไม่อยู่ในแถวร่วมกับองครักษ์คนอื่นๆ เล่า เมื่อสักครู่ข้าเห็นพวกเขาล้วนเดินผ่านเป็นแถวทั้งสิ้น ท่านกลับอยู่เพียงลำพัง”
องครักษ์โป้ปด “เมื่อสักครู่มีเรื่องเล็กน้อยทำให้ติดขัด ดังนั้นข้าน้อยจึงยังไม่ได้ไปรวมตัวกับพวกเขาพ่ะยะค่ะ”
“ใช่หรือ” เมื่อเดินไปข้างหน้าพักหนึ่ง ข้างบนศีรษะคือต้นไทรที่บดบังแผ่นฟ้าและดวงตะวัน แสงที่ส่องผ่านเข้ามาจึงค่อนข้างมืดครึ้ม หลินชิงเวยไม่ได้หยุดก้าวเดิน ทว่าปากกลับเอ่ยวาจาราวกับสายลมเบาๆ ที่พัดผ่านมา “ครั้งก่อน หลินเสวี่ยหรงให้ประโยชน์อันใดแก่เจ้า?”
องครักษ์ถามอย่างตื่นตะลึง “อันใดพะยะค่ะ?”
หลินชิงเวยกล่าว “หรือคนที่อยู่ในห้องของข้าครั้งที่แล้วไม่ใช่เจ้า เป็นข้าที่จำคนผิด?”
องครักษ์สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ความรู้สึกโล่งใจเพียงเล็กน้อยในใจของเขาพลันมลายสูญสิ้นไปพร้อมกับคำพูดของหลินชิงเวย เขาแคลงใจว่าสตรีนางนี้เจตนาตามหาเขา ไม่ได้เดินหลงทางแล้วต้องการให้เขานำทาง!
ชั่วพริบตาความคิดต่างๆ นานาผุดขึ้นในสมองขององครักษ์ เขาไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้ ถูกหลินชิงเวยจดจำเขาได้ หากนางชี้ว่าเป็นเขา เช่นนั้นเขามีแต่ตายสถานเดียว! หรือเขาเป็นเพียงองครักษ์ชาติกำเนิดต่ำต้อยคนหนึ่ง หากติดตามหลินชิงเวยไปถึงตำหนักฉางเหยี่ยน หลินชิงเวยใช้เหตุผลข้อใดเพียงข้อหนึ่งก็เพียงพอที่จะลงทัณฑ์เขา!
ไม่ได้ ไม่อาจเดินตามนางอีกต่อไป และไม่อาจปล่อยให้นางเดินออกไปจากที่นี่ได้ เพื่อให้นางมีโอกาสชี้ตัวตน!
เขาไม่อาจเสี่ยงอันตรายนี้ได้!
บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองพลันเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา
หลินชิงเวยเดินไปอีกสองก้าว พบว่าองครักษ์ไม่ได้ติดตามมา กำลังคิดจะหันกายกลับไปถามอีกสักประโยคก็พบว่ามีเงาดำร่างหนึ่งโถมเข้ามาอุดปากของนางเอาไว้และลากนางไปด้านหลังต้นไทร!
องครักษ์ผู้นั้นทางหนึ่งลากร่างของหลินชิงเวย อีกทางหนึ่งพูดขึ้นข้างหูว่า “ในเมื่อเรื่องอะไรเจ้าล้วนรู้ทั้งสิ้น เช่นนั้นก็อย่าได้กล่าวโทษข้าว่าใจคอโหดเหี้ยม!” พูดแล้วใบหน้าบิดเบี้ยวของเขาปรากฏความตื่นเต้นที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้ เขาคะนึงหาสตรีนางนี้มานานแล้ว!
ยามนี้สถานที่แห่งนี้ไม่มีผู้คนสัญจรไปมา ขอเพียงเขาทำทุกอย่างให้สะอาดหมดจดแล้วจะมีใครมาพบเข้าเล่า?
ถูกต้อง! ไม่มีคนพบเห็นแน่นอน!
เมื่อความคิดเช่นนี้แวบผ่านเข้ามาในสมอง องครักษ์ผู้นี้จึงไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใดอีก ดูเหมือนหลินชิงเวยยิ่งดิ้นรนเขายิ่งตื่นเต้น เขาเหวี่ยงร่างของหลินชิงเวยไปกระแทกเข้ากับลำต้นทั้งหยาบและใหญ่ของต้นไทร เขาหันหน้าเข้าหาต้นไทรพูดกับแผ่นหลังของนางว่า “เป็นเจ้าเองที่รนหาที่ เช่นนั้นให้ข้าได้หาความสุขก่อนก็แล้วกัน…”
หลินชิงเวยกลับไม่เกรงกลัว เมื่อนางถูกเขาอุดปากพูดไม่ได้ ทว่านางกลับส่งเสียงหัวเราะได้ น้ำเสียงนั้นองครักษ์ได้ยินแล้วรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ มืดมนบอกไม่ถูก
องครักษ์ถาม “เจ้าหัวเราะอะไร…อ๊าก!” ทันทีที่สิ้นเสียงมีสิ่งของลื่นๆ เปียกๆ เย็นๆ เลื้อยออกมาจากบริเวณข้อมือของหลินชิงเวยมาพันรัดกับแขนของเขา เขาไม่ทันได้ป้องกัน จากนั้นได้ยินเสียงขู่ฟู่ๆ ของงู ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดที่ดังขึ้น
ภายใต้แสงจากโคมไฟที่ลอดผ่านเงาไม้อันมืดครึ้ม สิ่งของนั้นกำลังเลื้อยขึ้นไปตามท่อนแขนของเขา เงาสะท้อนที่เกิดจากขึ้นจากร่างลื่นมันวับวาวของมันที่กระทบกับแสงไฟ เห็นแล้วทำให้คนสยดสยอง
องครักษ์ถูกทำให้ตกใจ เขารีบสะบัดแขนของตนอย่างเอาเป็นเอาตาย ไหนเลยจะมีเวลามาใส่ใจกับหลินชิงเวย
เมื่อได้รับอิสระอีกครั้ง หลินชิงเวยหันกายกลับมา นิ้วชี้ของนางแตะบนกลีบปากของตน “ชู่วว–เจ้าอย่าได้ร้องเสียงดังเกินไป อีกประเดี๋ยวทำให้มันตกใจ มันก็จะกัดเจ้า แม้กระทั่งโอกาสมีชีวิตของเจ้าก็ไม่มี”
องครักษ์ผู้นั้นหวาดกลัวถึงขีดสุด เขานั่งลงบนพื้นหญ้าเกร็งแขนข้างนั้นของตนออกไป ราวกับไม่ต้องการให้งูที่รัดแขนของตนเลื้อยมาบนร่างของตน ทว่างูกลับพันรัดแขนของเขารอบแล้วรอบเล่าและพันขึ้นไปเรื่อยๆ องครักษ์ทางหนึ่งหดกายไปด้านหลัง อีกทางหนึ่งกัดฟันขบกรามแน่นเพื่อไม่ให้ตนเองร้องเสียงดังออกมาทำให้งูตกใจ
หลินชิงเวยยกชายกระโปรงนั่งยองๆ ลงเบื้องหน้าองครักษ์ องครักษ์มองนางด้วยแววตาขอความเมตตา เอ่ยวิงวอนว่า “เจา เจาอี๋เหนียงเหนียง…ข้าน้อยมีตากลับไม่รู้จักภูเขาหัวซาน ขอร้องท่าน ขอร้องท่านปล่อยข้าไปเถิด ต่อไป ต่อไปข้าจะไม่ทำผิดเช่นนี้อีกเด็ดขาด…” แววตาที่เขามองหลินชิงเวยนั้นจากกำเริบเสิบสานไร้ซึ่งความกริ่งเกรงแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวเฉกเช่นยามนี้