หลินชิงเวยยิ้มกริ่ม นางหันมาเผชิญหน้ากับจ้าวซื่อด้วยสายตาที่ค่อยๆ จัดเจนขึ้น “รู้สึกว่าปรนนิบัติตาเฒ่ามาเป็นเวลาหลายปีนั้นไม่คุ้มค่าใช่หรือไม่? เพื่อต้องการอาศัยอยู่ในเรือนหลังนี้ยังคงต้องปรนนิบัติเขาอย่างไร้ฐานะต่อไปใช่หรือไม่? ลำพังแค่คิดก็แทบจะกระอักโลหิตออกมาใช่หรือไม่?”
“หลินชิงเวย ข้าประเมินเจ้าต่ำไปแล้วจริงๆ” จ้าวซื่อหน้าขาวราวหิมะ เส้นเลือดสีเขียวข้างขมับปูดโปนขึ้นมา นางสิ้นความอดทนต่อหลินชิงเวยอย่างเห็นได้ชัด นางดึงหลินเสวี่ยหรงให้อยู่ด้านหลังของตนแล้วเดินเข้าหาหลินชิงเวยทีละก้าวด้วยตนเอง “เดิมทีข้าคิดว่าให้เจ้าแต่งเข้าวังไป พวกเราจะได้คลี่คลายเรื่องในใจ เจ้าจะได้มีครอบครัวของตนเอง คิดไม่ถึงว่าข้ายังคงเมตตากับเจ้ามากเกินไป”
หลินชิงเวยเก็บงำแววตาขี้เล่นของตน “ที่จริงผู้ที่ต้องแต่งเข้าวังควรจะเป็นน้องเสวี่ยหรง ในเมื่อท่านคิดว่านี่เป็นครอบครัวที่ดี เหตุใดยังต้องส่งข้าไปแต่งแทนนางเล่า? เหตุใดข้าแต่งเข้าวังไปแล้ว หลินเสวี่ยหรงยังต้องมากลั่นแกล้งข้า? ไม่บีบให้ข้าจนตรอกไม่มีวันยอมรามือใช่หรือไม่? กลัวข้าจะแย่งชิงเซี่ยนอ๋องกับนาง? แต่เซี่ยนอ๋องคนชั่วช้าผู้นั้นเป็นคนเลวทรามคนหนึ่ง คงมีเพียงหลินเสวี่ยหรงกระมังที่ต้องตาต้องใจเขา” นางก้าวขึ้นหน้าก้าวหนึ่งเพื่อเผชิญหน้ากับจ้าวซื่อ นางเชิดคางขึ้นเล็กน้อยด้วยสีหน้าของอันธพาล “เจ้าไม่เคยได้ยินคำว่า เมื่อถูกบีบให้หมดทางถอยก็ต้องลุกขึ้นสู้ใช่หรือไม่? คิดจะทะเลาะตบตี? คิดว่าข้ากลัวเจ้า?”
จ้าวซื่อเม้มริมฝีปากแดงสด ความโกรธแค้นในใจปรากฏออกมา นางยื่นมือที่ทาเล็บสีแดงสดตะปบลงบนร่างของหลินชิงเวย ออกแรงผลักหลินชิงเวยไปทางบ่อน้ำ “เจ้ามันคนต่ำช้า สมควรตาย”
จ้าวซื่อต้องการผลักนางให้ตกบ่อน้ำแล้วจมน้ำตาย
เห็นได้ว่านางถูกหลินชิงเวยบีบคั้นจนร้อนรน ยามนี้ปลอดคนมีเพียงพวกนางที่อยู่ที่นี่ หลินชิงเวยจมน้ำตายอยู่ในบ่อน้ำ จะมีใครมาพบได้?
เพียงแต่จ้าวซื่อคิดไม่ถึงว่าหลินชิงเวยไม่เหมือนกาลก่อนอีกแล้ว นางไม่หวาดกลัวและไม่ลนลาน จังหวะที่มือของจ้าวซื่อสัมผัสถูกร่างของหลินชิงเวย ดูเหมือนจ้าวซื่อจะรับรู้ได้ว่ามุมปากของหลินชิงเวยปรากฏให้เห็นรอยยิ้มแปลกๆ จ้าวซื่อสะท้านไปทั้งใจ แต่นางลงมือไปแล้วไม่อาจถอยได้ จ้าวซื่อตัดสินใจเด็ดขาดจึงออกแรงผลักลงบนหน้าอกของหลินชิงเวย
ร่างของหลินชิงเวยไม่อาจต่อต้านจึงหงายไปด้านหลัง
จ้าวซื่อยังไม่ทันได้เบิกบานใจ นางเองคาดไม่ถึงเช่นกันว่า ร่างของหลินชิงเวยจะอ่อนนุ่มราวกับกิ่งหลิวอีกทั้งมีความยืดหยุ่นเป็นเลิศ เอวและกระดูกสันหลังอ่อนถึงเพียงนั้น ทั้งๆ ที่หงายล้มไปแล้ว ร่างของนางหงายไปทางด้านหลังทว่าหงายลงไปเพียงครึ่งหนึ่งแล้วหยุดค้างไว้พร้อมกันนั้นนางยังยื่นมือมาจับข้อมือขาวราวหิมะของจ้าวซื่อ
จ้าวซื่อตกตะลึง ต่อมาหลินชิงเวยดีดกายกลับขึ้นมาพร้อมกับบิดข้อมือของจ้าวซื่อ จ้าวซื่อกรีดร้องเสียงแหลมด้วยความเจ็บปวด จากนั้นหลินชิงเวยยกขาขึ้นตวัดเข้าไปที่ข้างเท้าของจ้าวซื่อ คนทั้งสองจึงสลับตำแหน่งกันอย่างชาญฉลาด
จ้าวซื่อหันหน้าเข้าหาผิวน้ำของบ่อน้ำ ร่างของนางเอียงราวกับกิ่งดอกซิ่งแดงที่ยื่นออกมาอย่างไม่สงบเสงี่ยมเจียมตน น้ำหนักทั้งร่างของนางอาศัยเพียงข้อมือที่ถูกหลินชิงเวยบิดเอาไว้เท่านั้น หลินชิงเวยเพียงแค่ปล่อยมือนางย่อมต้องตกลงไปในน้ำอย่างมิต้องสงสัย
หลินเสวี่ยหรงที่อยู่ด้านหลังเพิ่งจะก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นลอยๆ โดยไม่ได้หันกลับไปด้วยซ้ำ “เจ้าก้าวเข้ามาอีกหนึ่งก้าว ข้าก็จะปล่อยมือนะ”
หลินเสวี่ยหรงได้แต่หยุดอยู่กับที่ นางกรีดร้องเสียงแหลม “หลินชิงเวย เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่! ข้ารู้ว่าเจ้าไม่กล้าปล่อยมือหรอก หากเจ้าดึงท่านแม่ของข้าขึ้นมาถือว่ายังดีหาไม่แล้วข้าไม่มีวันละเว้นเจ้า!”
หลินชิงเวยหันกลับมาเล็กน้อย นางมองหลินเสวี่ยหรงจากนั้นคลี่ยิ้มบางๆ “เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าข้าไม่กล้ามือ?” จากนั้นไม่รอให้หลินเสวี่ยตอบคำถาม นางปล่อยมือขณะที่หลินเสวี่ยหรงถลึงตาใส่นาง
เสียงตูมดังขึ้นครั้งหนึ่ง
ต่อมาเสียงร้องด้วยความตกใจของจ้าวซื่อก็ดังขึ้นเมื่อนางตกลงไปในน้ำ
น้ำสีมรกตในสระถูกรบกวนจนเกิดเป็นคลื่น จ้าวซื่อว่ายน้ำไม่เป็นจึงได้แต่ร้องขอความช่วยเหลือในน้ำ เสียงร้องขอความช่วยเหลือของนางประเดี๋ยวมีประเดี๋ยวหาย
หลินเสวี่ยหรงตกใจจนหน้าขาวเผือด ชี้นิ้วอันสั่นเทิ้มมาที่นาง “เจ้า เจ้า…เจ้าถึงกลับกล้าผลักท่านแม่ของข้าลงไปในน้ำ เจ้ามันเป็นอสรพิษ!” นางหันไปร้องตะโกนเสียงดังลั่น “ใครก็ได้! ช่วยด้วย! มีคนตกน้ำ! ใครก็ได้!…”
แม้บริเวณริมบ่อน้ำจะไม่มีคนทว่าบริเวณใกล้เคียงย่อมมีคนแน่นอน หลินเสวี่ยหรงร้องเสียงดังเช่นนี้ ใช้เวลาไม่นานคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างมุ่งหน้ามาทางนี้ หลินชิงเวยหรี่ตาลงมองจ้าวซื่อที่ดิ้นรนอยู่กลางน้ำผลุบๆ โผล่ๆ จ้าวซื่อดื่มน้ำไปไม่น้อยทีเดียว สภาพอากาศในเวลานี้ยังค่อนข้างหนาว น้ำอันเย็นเยียบทำให้จ้าวซื่อหนาวจนตัวสั่น ใบหน้าของนางเปียกชุ่ม เส้นผมสีดำนั้นแนบติดไปกับใบหน้าซีดขาว ไหนเลยจะหลงเหลือความงดงามให้เห็น
อย่างไรวันนี้หลินชิงเวยไม่ได้คิดจะเอาชีวิตสตรีนางนี้
ระหว่างที่หลินเสวี่ยหรงกำลังร้องขอความช่วยเหลืออย่างลนลาน หลินชิงเวยยกชายกระโปรงขึ้นแล้วกระโดดลงไปในน้ำ ขณะนั้นหลินเสวี่ยหรงได้ยินเสียงจึงหันกลับไปมอง ใบหน้าของนางราวกับดอกหลีต้องฝนล้วนไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างไร
น้ำในบ่อเย็นเยียบจริงๆ ทันทีที่หลินชิงเวยก้าวลงไปในน้ำก็รู้สึกหนาวจนตัวสั่นเช่นกัน ทว่านางกัดกระพุ้งแก้มของตนเพื่อให้เรียกความากล้าหาญแล้วว่ายน้ำไปหาจ้าวซื่อ
จ้าวซื่อคว้าตัวหลินชิงเวยได้อย่างมิง่ายดาย นางไม่สนคนดีคนเลวก็คว้าเอาไว้ราวกับเป็นฟางเส้นสุดท้ายของโอกาสมีชีวิตรอด นางออกแรงทั้งหมดกอดรัดหลินชิงเวยไม่ยอมปล่อยมือ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนร่างของหลินชิงเวย
นางดิ้นรนกระเสือกกระสนเช่นนี้ หลินชิงเวยรู้สึกราวกับร่างของตนถูกผูกไว้ด้วยก้อนหินก้อนใหญ่อย่างไรอย่างนั้น ร่างของตนจึงได้แต่ดำดิ่งลงสู่เบื้องล่าง
หากจ้าวซื่อไม่ตื่นตระหนกจนลนลานเช่นนี้จะเป็นการดีกว่า หลินชิงเวยอาจจะต้องทุ่มเทกำลังเพื่อลากนางขึ้นฝั่ง ทว่าคงไม่ยากลำบากเช่นเวลานี้
ทันทีที่คนตื่นตระหนก กล้ามเนื้อบนร่างกายจะไม่ผ่อนคลายย่อมทำให้มีน้ำหนักเฉกเช่นก้อนหินก้อนโตเมื่อพบน้ำก็จะตกลงอยู่เบื้องล่าง
เมื่อหลินชิงเวยเห็นว่าตนไร้หนทางที่จะยับยั้งอาการลนลานของจ้าวซื่อ นางจึงหยิบเข็มเงินออกมาเล่มหนึ่ง ฝังลงบนจุดชีพจรนอนหลับของนาง เข็มเงินในมือเปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำดูเหมือนเปล่งแสงสว่างได จ้าวซื่อตัวอ่อนยวบทันทีร่างกายของนางจึงผ่อนคลายลงเช่นกัน ใบหน้าของนางเงยขึ้นไม่ต้องเสียชีวิตด้วยการจมน้ำ หลินชิงเวยใช้แขนคล้องศีรษะของนางเอาไว้แล้วใช้เข็มเงินฝังลงบนบริเวณลำคอของนาง ทำให้นางเป็นใบ้ จากนั้นค่อยๆ ลากร่างของจ้าวซื่อไปตามกำแพงของบ่อน้ำด้วยความยากลำบาก
เวลานี้คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงล้วนมาถึงที่นี่แล้ว มหาเสนาบดีหลินรับรู้เรื่องนี้เข้าจึงรีบรุดมายังที่เกิดเหตุทันที หลินชิงเวยลากร่างของจ้าวซื่อขึ้นมาบนฝั่งด้วยร่างเล็กบอบบางของตน โชคดีที่มีคนที่อยู่ข้างๆ ช่วยดึงนางจึงคลานขึ้นมาจากบ่อน้ำได้สำเร็จ
จ้าวซื่อหมดสติไม่ฟื้น ทุกคนต่างไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นใดดี หลังจากหลินชิงเวยขึ้นมาจากบ่อน้ำนางยังไม่ทันได้หอบหายใจ มือทั้งคู่ประกบทับกันบริเวณหน้าอกของจ้าวซื่อกดลงไปที่ตำแหน่งปอดเพื่อรีดน้ำออกมา พร้อมกับกดจุดชีพจรให้นางได้สติขึ้นมา
จ้าวซื่อลืมตาขึ้นช้าๆ คนทั้งหมดล้วนพรูลมหายใจโล่งอก มีคนกล่าวขึ้นว่า “จ้าวฮูหยินฟื้นแล้ว ฟื้นขึ้นมาแล้ว!”
เมื่อจ้าวซื่อลืมตาขึ้นสิ่งแรกที่นางมองเห็นกลับเป็นสายตาเจ้าเล่ห์และใบหน้าอ่อนเยาว์ของหลินชิงเวย ปฏิกิริยาแรกของนางก็คือผลักหลินชิงเวยออกไปด้วยสีหน้าหวาดกลัว นางถีบขาออกไปทางหนึ่งอีกทางหนึ่งอ้าปากร้องลั่น
เมื่อเจ้าซื่อออกแรงนางจึงพบว่า ลำคอของนางราวกับถูกเม็ดทรายละเอียดมาอุดเอาไว้ ไม่ว่านางจะออกแรงอย่างไรก็ไม่อาจพูดออกมาได้สักประโยคเดียว
จ้าวซื่อเริ่มกุมลำคอของตน กระแอมกระไออย่างหนัก ราวกับต้องการอาเจียนเม็ดทรายที่อยู่ในลำคอออกมาให้หมด เพียงแต่นางไอเสียจนคอแทบจะไหม้แล้วก็ยังพูดไม่ได้แม้แต่ประโยคเดียวอยู่นั่นเอง
หลินชิงเวยกล่าวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “จ้าวฮูหยิน ท่านไม่เป็นไรกระมัง? หรือมีสิ่งของอะไรเข้าไปในลำคอ?”