“ทำอันใด?”
“จับมือเพื่อสร้างสันติ” หลินชิงเวยจับมือของเซียวเยี่ยนแล้วใช้มือของตนจับมืออันใหญ่โตของเขา นางขมวดคิ้วและคิดจะคลายคิ้วที่ขมวดมุ่น ทว่ากลับมุ่นคิ้วอีกเล็กน้อยด้วยความสับสน
สัมผัสของฝ่ามือนั้น ความหยาบกร้านเล็กน้อยกลับทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
หลินชิงเวยหยิบมือข้างนั้นขึ้นมาค่อยๆ ยื่นมาแตะลำคอของตน นางอยากลองดูว่าสัมผัสที่คุ้นเคยนี้เมื่อสัมผัสกับผิวบริเวณลำคอของนางจะเป็นความรู้สึกที่ทำให้นางอ่อนไหวอย่างคุ้นเคยหรือไม่
เพียงแต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ สายตาของเซียวเยี่ยนก็มืดครึ้มทันที เขาดึงมือของตนกลับไปพร้อมกับประสานสายตาท้าทายและมองทุกอย่างกระจ่างแจ้ง “เปิ่นหวางขอเตือนเจ้า ให้สงบเสงี่ยมสักหน่อยจะดีที่สุด อย่าคิดว่าเราชำระความแค้นเลิกแล้วต่อกันแล้วเจ้าจะมีกระทำตนกำเริบเสิบสานได้อีก”
หลินชิงเวยกล่าว “ท่านกำลังกลัวหรือไม่อยากยอมรับ?” นางพยักหน้าและยกยิ้มมุมปาก สีหน้าท่าทางที่ปรากฏอยู่บนใบหน้านั้นไม่ใช่นางในวัยอ่อนเยาว์นี้ เห็นแล้วทำให้คนรู้สึกหลงใหลคลั่งไคล้ชนิดหนึ่ง “แม้ว่าคนเช่นท่านจะไม่ได้โดดเด่นอันใด นอกจากรูปงามแล้ว ดูเหมือนนอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรให้คนลุ่มหลง ทว่าต่อให้บุรุษคนนี้จะย่ำแย่ยิ่งกว่านี้ รังเกียจก็ดี ดูแคลนก็ช่าง ข้าก็ไม่ใช่คนกล้าทำไม่กล้ารับกระทั่งไม่ยอมรับเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น”
เซียวเยี่ยนพักผ่อนพอสมควรแล้วเขาจึงสะบัดอาภรณ์แล้วลุกขึ้น แผ่นหลังของเขาเหยียดตรงอาภรณ์สีม่วงส่งให้เขาสูงศักดิ์ไร้ผู้ใดเทียบเทียม เขาเดินออกไปอย่างสง่างาม “เปิ่นหวังไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดสิ่งใดอยู่”
หลินชิงเวยหัวเราะขึ้นมาอย่างปราศจากสาเหตุ นางลุกขึ้นด้วยท่าทีเกียจคร้านและจัดกระโปรงของตน ช้อนตาขึ้นกล่าวว่า “คงมีสักวันหนึ่งที่หม่อมฉันจะทำให้เสด็จอากระจ่างแจ้งอย่างแท้จริงได้” เมื่อนางเดินออกนอกห้องเห็นเซียวเยี่ยนเกือบจะเดินออกเรือนตะวันออกแล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดังกังวานว่า “เสด็จอา วันนี้ยามบ่ายยังไม่กลับวังหลวงก่อนเถิด คืนนี้ยังมีงานเลี้ยงอีกพวกเรายังต้องชมละครฉากเด็ดอีกฉากหนึ่งเพคะ”
เซียวเยี่ยนไม่ได้หยุดชะงักเพื่อตอบนาง ทว่านางรู้ดีว่าเขาจะไม่ไปจากที่นี่เพียงลำพังแน่นอน หาไม่แล้วหากปล่อยนางไว้นอกวังคนเดียวเช่นนี้ นางคงจะทำเรื่องพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินออกมา
มหาเสนาบดีหลินเห็นเซียวเยี่ยนออกมาจากเรือนตะวันออกด้วยท่าทีปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หัวใจทั้งดวงที่หวั่นวิตกจึงวางลงได้ในที่สุด เซียวเยี่ยนไม่มีท่าทีติดใจเอาความอันใด และที่หาได้ยากยิ่งก็คือเขายินดีที่จะรั้งอยู่ต่อเพื่อร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้
มีเซ่อเจิ้งอ๋องและเซี่ยนอ๋องมาเป็นแขกของจวนสกุลหลิน ต่อให้บรรดาแขกเหรื่อที่ปรารถนาจะจากไปในเวลานี้ ไหนเลยจะกล้าหาญเล่าอีกทั้งวันนี้สนุกสนานครึกครื้นยิ่งนัก ด้วยที่นี่เปิดการแสดงละครดีๆ เรื่องแล้วเรื่องเล่า
ต่อมาเซียวเยี่ยนได้ยินเรื่องที่จ้าวซื่อตกน้ำเมื่อยามบ่าย เขาบอกกับตนเองว่ามิน่าเล่าไม่พบกันเพียงครู่เดียวเท่านั้น หลินชิงเวยก็ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เสียแล้ว ที่แท้นางก็ตกน้ำเช่นกัน
น้ำในวสันตฤดูมีความอบอุ่นอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ยังหนาวเย็นอยู่ดี หลินชิงเวยไม่ได้ใส่ใจต่อสุขภาพของตนมากนักจึงเริ่มจามขึ้นมาในยามบ่าย มหาเสนาบดีหลินรีบให้คนไปต้มน้ำขิงมาให้นางดื่ม ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ยามพลบค่ำในจวนเริ่มจัดเวทีการแสดงละคร เทียนสุ่ยหยวน ซึ่งเป็นคณะละครที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงได้มาถึงจวนเพื่อเตรียมการแสดง
เทียนสุ่ยหยวนเป็นคณะละครหลีหยวน[1]ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง อุปรากรณ์ในคณะทั้งบุรุษและสตรีล้วนหน้าตางดงามอ่อนเยาว์ราวกับคั้นน้ำออกมาได้ทุกคน การร่ายรำและการแสดงของพวกเขาเป็นที่น่าจดจำไปสามวันสามคืนก็ไม่ลืมเลือนเลยทีเดียว
เห็นได้ว่าครั้งนี้มหาเสนาบดีหลินทุ่มเงินทองและแรงกายแรงใจไปไม่น้อย บรรดาแขกเหรื่อล้วนมีท่าทีสนอกสนใจ
เมื่องานเลี้ยงค่ำเริ่มขึ้น คณะละครเริ่มการแสดงตรงเวลา ชายหญิงขับร้องและร่ายรำอยู่บนเวที พวกเขาแต่งหน้าประทินโฉมอย่างงดงามและประณีต การแต่งหน้านั้นเข้มกระทั่งมองไม่เห็นรูปโฉมเดิมแต่กลับส่งผลให้การแสดงงิ้วซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมเพิ่มสีสันและความลึกลับน่าค้นหายิ่งขึ้นไปอีก
หลินชิงเวยเห็นแขกเหรื่อที่อยู่ด้านล่างเวทีโดยส่วนใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุรุษล้วนถูกละครบนเวทีดึงดูดความสนใจ แม้นางจะไม่เข้าใจถึงความรักลึกซึ้งของคนในยุคสมัยโบราณ แต่นางกล้ารับรองว่าสิ่งที่เหล่าบุรุษทั้งหลายต่างพากันชื่นชมนั้นก็เป็นเพียงแค่เสียงขับร้องและรูปร่าง รูปโฉมของบุรุษและสตรีบนเวทีเหล่านี้
คนร่วมโต๊ะยังคงเป็นคนเดิมเมื่อร่วมโต๊ะยามกลางวัน เพียงแต่ตำแหน่งเปลี่ยนไป หลินชิงเวยนั่งตำแหน่งข้างกายมหาเสนาบดีหลิน หลินเสวี่ยหรงและจ้าวซื่อถูกจัดให้นั่งถัดออกไปอีกด้านหนึ่ง
เดิมทีหลินชิงเวยไม่อยากจะนั่งในตำแหน่งนั้น แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นสายตาเคียดแค้นชิงชังของหลินเสวี่ยหรง นางจึงนั่งลงอย่างเป็นธรรมชาติ
คาดว่าสองแม่ลูกคงมีความคิดที่จะดื่มเลือดกินเนื้อนางแล้วกระมัง จ้าวซื่อไม่เอ่ยวาจาแม้แต่ประโยคเดียว สีหน้าท่าทางดูอิดโรยผิดจากปกติผนวกกับเมื่อยามบ่ายนางตกลงไปในน้ำอีก สีหน้าจึงยังคงซีดขาว กระบอกตาทั้งแดงและบวมเป่งชัดเจนยิ่งนักว่าผ่านการร่ำไห้มา
หลินชิงเวยนั่งติดกับจ้าวซื่อ จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “จ้าวฮูหยินสุขภาพดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่?”
จ้าวซื่อเงยหน้าขึ้นมองหลินชิงเวยด้วยดวงตาแดงก่ำ น้ำเสียงที่เอ่ยวาจาออกมานั้นทั้งใหญ่และแหบแห้ง “ข้าดียิ่ง ไม่ต้องให้เจาอี๋เหนียงเหนียงเป็นกังวล”
หลินชิงเวยฝังเข็มปิดจุดใบ้นางเพียงแค่หนึ่งชั่วยาม หลังจากหนึ่งชั่วยามผ่านไปนางก็พูดได้ตามปกติ แต่ดูท่าแล้วไม่สู้เป็นใบ้ไปเลยจะดีกว่า
มหาเสนาบดีหลินกล่าวตำหนิอย่างไม่พอใจ “พูดจากับชิงเวยอย่างไรกัน?”
หลินชิงเวยกำลังกินอาหารอยู่ จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านพ่อไม่ต้องถือสาเรื่องเหล่านี้ จ้าวฮูหยินเป็นผู้อาวุโส นางจะวางท่าก็เป็นการสมควร”
ทันทีที่สิ้นเสียงจ้าวซื่อก็ลุกพรวดขึ้นมายอบกายให้กับมหาเสนาบดีหลินอย่างแข็งเกร็ง “ท่านใต้เท้ามหาเสนาบดี อนุภรรยารู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
ที่จริงจ้าวซื่อจะซ่อนตัวอยู่ในเรือนของตนไม่ออกมาก็ได้ เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจกล้ำกลืนปล่อยความขุ่นเคืองนี้ไปได้ นางยิ่งไม่ปรารถนาให้คนอื่นๆ คิดว่านางเป็นคนที่จะมีตัวตนหรือไม่มีตัวตนก็ได้ อย่างไรก็ต้องออกมาปรากฏตัว เพียงแต่คาดไม่ถึงว่ามหาเสนาบดีหลินจะปฏิบัติต่อนางด้วยท่าทีเย็นชาเช่นนี้ เมื่อก่อนหากหลินชิงเวยทำอะไรไม่ถูกใจนางก็จะถูกมหาเสนาบดีหลินตำหนิทันที แต่บัดนี้มหาเสนาบดีหลินกลับหันมาตำหนินางแทน
เมื่อเห็นจ้าวซื่อต้องการออกจากงานเลี้ยง มหาเสนาบดีหลินไม่ได้แสดงท่าทีรั้งตัวนางเอาไว้ ด้วยรู้สึกว่านางอยู่ที่นี่กลับทิ่มแทงสายตายิ่งนักจึงเอ่ยขึ้นว่า “ไม่สบายก็กลับไปพักผ่อนเถิด”
จ้าวซื่อต้องการออกจากงานเลี้ยง หลินเสวี่ยหรงจึงมีท่าทีละล้าละลัง นางอยากจะไปอยู่เป็นเพื่อนจ้าวซื่อแต่ก็ไม่อาจตัดใจทิ้งงานเลี้ยงนี้ไปได้ จ้าวซื่ออ่านความในใจของนางออกจึงกล่าวเสียงอ่อนว่า “เสวี่ยหรงวันนี้ท่านอ๋องอยู่ที่นี่เจ้าไม่ต้องเอาแต่คิดถึงแม่แล้วทอดทิ้งท่านอ๋อง”
คำพูดนี้ของจ้าวซื่อเป็นการย้ำเตือนมหาเสนาบดีหลินในทางอ้อม ต่อให้พวกนางสองแม่ลูกไม่ดีอย่างไร หลินเสวี่ยหรงก็ได้ทำการหมั้นหมายกับเซี่ยนอ๋องแล้ว ต่อไปเมื่อแต่งเข้าไปย่อมต้องเป็นพระชายาเซี่ยนอ๋อง
สีหน้าของมหาเสนาบดีหลินเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ทว่าในที่สุดก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก
หลินเสวี่ยหรงได้หยินจ้าวซื่อพูดเช่นนี้จึงนั่งลงไปอีกครั้ง นางไม่ปรารถนาจะออกไปจากที่นี่เร็วเช่นนี้จริงๆ เมื่อเช้าเรื่องที่นางและหลินชิงเวยทะเลาะวิวาทกันล้วนถูกเซียวอี้ได้ยินหมดแล้ว
ก่อนหน้านี้เมื่ออยู่ในสวนดอกไห่ถังของวังหลวง หลินชิงเวยได้พูดเรื่องเช่นนี้กับเซียวอี้ไปแล้วเช่นกัน เพียงแต่เวลานั้นเป็นคำสนทนาระหว่างคนทั้งคู่ เซียวอี้จึงไม่ได้คิดว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ เซียวอี้รู้ว่าหลินเสวี่ยหรงจับตัวหลินชิงเวยให้แต่งเข้าวังแทนนางจริงๆ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องที่หลินชิงเวยทำผิดกฎเกณฑ์ของตำหนักในนั้นเป็นเพราะถูกหลินเสวี่ยหรงวางยา หลินเสวี่ยหรงต้องการทำลายชีวิตที่เหลือของทางให้หมด
เซียวอี้ชมชอบคนฉลาดเฉลียวและรู้จักเลือกใช้วิธีการ เพียงแต่หลินเสวี่ยหรงมีเพียงวิธีการ วันนี้ได้เห็นแล้วว่านางได้แสดงด้านที่โง่เขลาออกมาชนิดหมดเปลือกไม่มีเหลือเลยทีเดียว
หลินเสวี่ยหรงไหนเลยจะเป็นเอาชนะหลินชิงเวยในยามนี้ได้?
หลินชิงเวยในยามนี้คือแม่มดปีศาจนางหนึ่ง ลูกไม้ของนางมีมากมายยิ่งนัก จ้าวซื่อแม่ลูกถูกนางเล่นงานด้วยวิธีการไม่ซ้ำเดิมจนมีสภาพอยู่มิสู้ตาย
[1] หลีหยวน หรือสวนลูกแพร์ คำนี้เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง โดยจักรพรรดิถังหมิงหวงหรือถังเสวียนจงหรือนามเดิมคือหลี่หลงจี ได้นำบรรดานักดนตรีและนักแสดงมาฝึกร้องรำทำเพลงในบริเวณสวนแพร์ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ โดยเริ่มมีการแสดงเป็นฉากสั้นๆ ที่มีเนื้อเรื่องต่างจากในยุคก่อนๆ ที่ไม่เพียงการร่ายรำหรือขับร้องเพียงอย่างเดียว จึงถือเป็นยุคแห่งการเริ่มต้นของงิ้วทั้งปวง ถังหมิงหวงจึงถือเป็นบรมครูของงิ้วทั้งหมด โดยพระองค์ทรงทำหน้าที่เป็นมือกลองหลักประจำวงและในบางครั้งทรงนึกสนุกไปรับบทตัวตลกอีกด้วย ด้วยเหตุนี้งิ้วทางเหนือจะยกให้พระองค์เป็นเทพแห่งงิ้วด้วยเช่นกัน และชาวงิ้วทั้งหมดจะถูกเรียกว่า ศิษย์แห่งสวนแพร์ หรือ หลีหยวนจื่อตี้