เซียวเยี่ยนมองดอกกล้วยไม้ที่ประดับช่วงเอวของตน เขามีความคิดที่จะดึงมันทิ้งไปด้วยอารมณ์ชั่วแล่นแต่กลับได้ยินหลินชิงเวยถามว่า “งดงามหรือไม่เจ้าคะ?”
“…” เขาสามารถอดทนไม่ดึงมันทิ้งไปก็นับว่าดีเท่าไหร่แล้ว นางยังกล้าถามเขาอีก? เซียวเยี่ยนหรี่ดวงตาหงส์อันเรียวยาวคู่นั้น ถามกลับว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
หลินชิงเวยกล่าว “ข้าคิดว่างดงามยิ่งนักเจ้าค่ะ หวังว่าดอกกล้วยไม้นี้จะช่วยท่านขจัดปัดเป่าเพทภัยและสิ่งไม่ดี ขอให้ท่านปลอดภัย มีลาภยศเงินทองตลอดชีวิต” นางพูดขึ้นด้วยท่าทางก้ำกึ่งระหว่างทีเล่นทีจริงและเป็นการเป็นงาน
เซียวเยี่ยนไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรชั่วขณะ
หญิงสาวเร่ขายดอกกล้วยไม้เม้มปากหัวเราะ เซียวเยี่ยนจับจูงมือหลินชิงเวยออกจากสถานที่แห่งนั้น คนทั้งสองห่างจากริมแม่น้ำออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นว่า “นี่ มาถึงริมแม่น้ำแล้ว ไม่ไปเล่นน้ำสักหน่อยหรือ? ดูเหมือนทางนั้นจะครึกครื้นยิ่งนัก”
ราวกับรูปร่างสูงใหญ่ของเซียวเยี่ยนเป็นเสมือนอาวุธอันคมปลาบในการเบิกทาง เขาเดินไปถึงข้างหน้าสุดพร้อมกับกุมมือของหลินชิงเวยเอาไว้แน่นหนาและเอ่ยเสียงเย็นว่า “เดินเที่ยวก็เดินแล้ว คลุ้มคลั่งพอแล้วกระมัง ยามนี้ควรกลับไปได้แล้ว”
บนใบหน้าของหลินชิงเวยยังคงเปื้อนยิ้มและไม่ได้คัดค้านต่อต้าน เมื่อเดินมาจนใกล้จะสุดถนนของถนนสายยาวนี้ นางถามขึ้นว่า “ท่านอา พวกเราซื้อของขวัญเล็กๆ น้อยๆ กลับไปให้ซินหรูและเซียวจิ่นดีหรือไม่เจ้าคะ?”
เซียวเยี่ยนขุ่นเคืองใจแล้วจริงๆ เขาเดินมาถึงสะพานหินแห่งหนึ่งจึงหันหน้ากลับมามองนาง “เจ้าคิดว่าข้าวของห่อใหญ่ห่อเล็กเหล่านี้น้อยเกินไปใช่หรือไม่?”
หลินชิงเวยอมยิ้มไม่พูดไม่จา เพียงแต่ก้มหน้าลงมองมือของเซียวเยี่ยนที่จับจูงมือของตน เซียวเยี่ยนจึงปล่อยมือนางทันที
บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองแปลกประหลาดเล็กน้อยทันทีอีกทั้งไม่มีใครพูดจา ร่างของหลินชิงเวยเอนไปด้านหลังพิงกับรั้วหินของสะพานเล็กน้อย นางกระโดดขึ้นไปนั่งบนรั้วหินของสะพานนั้น ใต้สะพานเล็กๆ นี้ก็คือแม่น้ำที่ไหลผ่านกลางตัวเมืองหลวงไปบรรจบที่แม่น้ำอาฉ่ายเหอที่เป็นแม่น้ำที่แยกออกไปด้านข้าง ตลาดนัดกลางคืนทางด้านถนนสายหลักทางใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ทางด้านนี้ยิ่งเงียบเหงาเนิ่นนานก็ยังไม่เห็นเงาร่างของผู้คน แม่น้ำสายเล็กที่แยกตัวออกไปคดเคี้ยวเลี้ยวลดเสมือนถูกย้อมด้วยหมึกสีดำอันเข้มข้นแล้วไหลไปรวมกับสายน้ำ
หลินชิงเวยผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ นางหลุบตาลงครึ่งๆ ด้วยรอยยิ้มพร่างพราว ริมฝีปากของนางกำลังยิ้มเช่นกันไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ส่งผลให้คนไม่อาจละเลื่อนสายตาไปจากนางได้ บางครั้งนางยิ้มร้ายกาจ บางครั้งนางยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ
ราวกับเซียวเยี่ยนได้อยู่ร่วมกับนางมาเนิ่นนานแล้วเขาเรียนรู้ที่จะ “ดูสีหน้าคน” สองส่วน เขาคิดว่าหลินชิงเวยในยามนี้ยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ แต่ไม่รู้ว่าในใจนางกำลังคิดสิ่งใดอยู่
สตรีนางนี้ เปี่ยมไปด้วยความเจ้าเล่ห์แสนกล
เซียวเยี่ยนใจลอยอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าร่างของหลินชิงเวยพลันยืนไม่มั่นคงจึงหงายไปด้านหลังของรั้วหิน ยามนั้นเขาไม่มีแม้แต่เวลาจะคิดรังเกียจ จึงยื่นมือออกไปจับข้อมือของนางแขนของเขาดึงนางเข้ามาอย่างง่ายดาย
ศีรษะของหลินชิงเวยกระแทกเข้ากับหน้าอกของเซียวเยี่ยน ดูเหมือนมีเสียงเต้นชนิดหนึ่งส่งเสียงสะท้อนอยู่ในโพรงอกของเขา
เซียวเยี่ยนพลันรู้สึกตัวว่าเขาถูกสตรีนางนี้คิดบัญชีเสียแล้ว เขากล่าวว่า “เจ้าคงมิได้กำลังวางเดิมพันว่าจะดึงเจ้าเข้ามาหรือไม่?”
ใบหน้าของหลินชิงเวยแนบติดไปกับอ้อมอกของเขา นางหลับตาลงยกยิ้มมุมปาก “ชัดเจนยิ่งนักว่าข้าชนะแล้ว”
สมควรจะให้นางตกลงไปจริงๆ
เซียวเยี่ยนคิดจะถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างเย็นชา หลินชิงเวยกลับเอ่ยขึ้นว่า “อย่าขยับ ให้ข้าพักพิงสักครู่ วันนี้เหนื่อยเหลือเกิน”
เขาไม่ขยับจริงๆ
หลินชิงเวยหายใจลึกๆ สองครั้ง นางเกิดความรู้สึกปลอดภัยและเป็นสุขอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ลมหายใจและกลิ่นอายจากร่างของเขาเหมือนน้ำค้างต้นฤดูใบไม้ร่วง และเหมือนแสงสีเงินยวงจากดวงจันทร์ที่ส่องสว่างราวสะพาน
ได้กลิ่นแล้วเย็นสบาย
น้ำเสียงของหลินชิงเวยแหบพร่าทว่ายังไม่ลืมที่จะหยอกล้อเขา “ให้ท่านอย่าขยับท่านก็ไม่ขยับ ท่านเชื่อฟังเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? หืม?”
เซียวเยี่ยนผลักหลินชิงเวยออก “เวลาไม่เช้าแล้ว ควรกลับไปได้แล้ว” พูดแล้วก็หันกายเดินไปข้างหน้า
ในมือของเขายังหอบหิ้วสิ่งของห่อใหญ่ห่อเล็กที่หลินชิงเวยซื้อเอาไว้
หลินชิงเวยอารมณ์ดีอย่างยิ่งยวด นางหันไปมองตลาดนัดหลายครั้ง แสงจากโคมไฟสีแดงค่อยๆ กระจายกันออกไปดูเหมือนไส้ตะเกียงจะดับมอดไปแล้ว ให้ความรู้สึกอบอุ่นและแดงสดใส
หลินชิงเวยยักไหล่แล้วยกมือขึ้นปัดเส้นผมบนไหล่ของตนอย่างเป็นธรรมชาติ “คืนนี้สนุกสนานเช่นนี้ ข้ายังเดินเที่ยวไม่พอ แต่ไม่เป็นไรรอให้ข้ารักษาขาของฝ่าบาทให้หายดีแล้วท่านอาก็จะปล่อยข้าออกจากวังตามสัญญา ถึงเวลานั้นหาซื้อเรือนที่อยู่ริมถนนสักหลัง คิดจะออกมาเดินเที่ยวเมื่อใดก็ออกมาเดินเที่ยวเมื่อนั้น
เซียวเยี่ยนหยุดเดินกะทันหัน หลินชิงเวยจึงเดินชนแผ่นหลังของเขาเต็มๆ เขาหันกลับมาก้มหน้ามองหลินชิงเวย บนริมฝีปากของเขาปรากฏรอยยิ้มขึ้นอย่างน้อยนักที่จะได้เห็น
รอยยิ้มเจิดจ้าสว่างไสวนั้นส่งผลให้โคมไฟนับพันนับหมื่นดวงที่อยู่ไกล รวมไปทั้งแสงจันทร์สีเงินที่สาดส่องลงมาดูจืดชืดไปทันที
หลินชิงเวยขมวดคิ้วพลันบังเกิดความรู้สึกราวกับถูกบุรุษผู้นี้ปั่นหัวเสียแล้ว
เซียวเยี่ยนกล่าวเนิบๆ “ข้าบอกว่าข้าจะปล่อยเจ้าออกจากวัง แต่ข้าไม่ได้บอกว่าข้าจะปล่อยเจ้าออกจากวังนานเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่เคยพูดว่าจะไม่จับเจ้ากลับไป เวลานี้เจ้ามิใช่อยู่นอกวังหรือไร? ข้าได้ทำตามคำสัตย์ที่ให้ไว้กับเจ้าล่วงหน้าแล้ว ต่อไปยังคิดจะออกมาหาเรือนอยู่นอกวังอีก? หึ ช่างเป็นความคิดเพ้อฝันจริงๆ”
หลินชิงเวยพูดอะไรไม่ออก ลำคอของนางตีบตันไปเสียสิ้น
เซียวเยี่ยนหันกายกลับไปด้วยท่าทีเย่อหยิ่งมุ่งหน้าเดินหน้าต่อไป
หลินชิงเวยคับแค้นใจจนแทบเต้นอยู่ด้านหลังมิน่าเล่าคนผู้นี้จึงได้ตอบตกลงอย่างง่ายดาย เขาถึงกับใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของนาง! บรรยากาศอันงดงามก่อนหน้านี้ถูกทำลายลงไม่มีเหลือ หลินชิงเวยพุ่งออกไปข้างหน้าปรารถนาจะถีบเข้าไปที่แผ่นหลังของเขาสักสองครั้ง ทว่านางอ่อนด้อยยิ่งนักเตะออกไปแล้วกลับล้มลงบนพื้นได้แต่พยุงเอวของตนพร้อมกับด่าทอ “เซียวเยี่ยน ท่านมันคนต่ำช้า คนเลว วันๆ เอาแต่คิดบัญชีสตรีตัวเล็กๆ คนหนึ่ง หน้าของท่านควรจะนำไปไว้ที่ใดกัน…โอ๊ยยยย ข้าเจ็บเอว”
เซียวเยี่ยนเดินลงบันไดขั้นเล็กๆ ไปแล้วหันกลับมามอง เห็นหลินชิงเวยฟุบอยู่บนขั้นบันไดนั้น ทว่าปากยังคงพ่นวาจาร้ายกาจไม่หยุดปาก
หลินชิงเวยพูดอย่างแค้นเคืองว่า “มองอะไรเล่า ยังไม่รีบมาประคองข้าอีก เอวข้าเคล็ดแล้ว!”
เซียวเยียนได้แต่เดินกลับไปอีกครั้งประคองหลินชิงเวยขึ้นมาอีกทั้งยังพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและมีน้ำอดน้ำทนว่า “ต่อไปอย่าได้ทำเรื่องอันตรายเช่นนี้อีก หากคราวหน้าล้มลงไปข้าจะไม่รับผิดชอบ”
หลินชิงเวยทางหนึ่งพยุงเอวของของตน อีกทางหนึ่งค่อยๆ เดินอย่างระมัดระวัง ยังไม่ลืมที่จะด่าเซียวเยี่ยนไปตลอดทาง
คนเลว สุภาพบุรุษจอมปลอม คนต่ำช้า ล้วนถูกนางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด่าทอวนไปวนมากระทั่งปากจะมีตุ่มน้ำพองออกมาแล้ว ที่น่าแปลกก็คือเซียวเยี่ยนฟังแล้วกลับไม่โกรธเคือง
เขาเห็นหลินชิงเวยมีท่าทีขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความขุ่นขึ้งเท่าใด ดูเหมือนจะยิ่งเบิกบานใจ สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าหางตาของดวงตาหงส์ทั้งคู่นั้นกลับชี้ขึ้นเล็กน้อย
บนถนนของถนนสายรองเงียบสงัดอย่างยิ่ง บ้านเรือนของชาวบ้านอยู่ค่อนเข้าไปด้านใน บนกำแพงหินสีเขียวคือแผ่นกระเบื้องสีดำ เงียบสงบเสียจนทำให้แสงจันทร์ที่ส่งลงมากลายเป็นคลื่นสีเงินเรียงกันเป็นแถว
เซียวเยี่ยนยังคงเดินอยู่ข้างหน้า หลินชิงเวยเหยียบลงบนพื้นตามแสงจันทร์ที่สาดลงบนพื้นจนเห็นสีดำขาวตัดกันอย่างชัดเจน นางยังคงบ่นงึมงำเหมือนคนชราตัวน้อย
ไม่รู้ว่าเดินมาไกลเพียงใด ถึงสถานที่แห่งใด อย่างไรก็ยังไม่ใกล้สถานที่จอดรถม้า คนทั้งสองยังคงเดินอยู่บนถนนสายรอง ทันทีที่ย่างก้าวของเซียวเยี่ยนลังเล หลินชิงเวยได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินไปด้วยพร้อมกับบ่นตะพึดตะพือไปด้วย ครั้งนี้ยังคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะชนเข้ากับแผ่นหลังของเซียวเยี่ยน คาดว่าจมูกของนางคงจะเบี้ยวไปแล้ว
หลินชิงเวยกำลังจะเงยหน้าขึ้นด่าทอแต่นางรับรู้ได้ว่าร่างของเซียวเยี่ยนพลันตึงเครียด แผ่นหลังอันผ่อนคลายของเขาเริ่มปรากฏให้เห็นเส้นสาสยกล้ามเนื้อชัดเจน ร่างทั้งร่างของเขาแผ่กลิ่นอายอันเย็นเยียบออกมา