บทที่ 154 ซื้อเสื้อผ้าให้ลูกสาว
นับจากวันที่ได้คลอดลูกออกมา เธอได้มอบความรักทั้งหมดให้กับลูกรักทั้งสองคน ความรักในด้านระหว่างชายหญิงจึงเป็นเหมือนดั่งสิ่งของที่ฟุ่มเฟือยสำหรับเธอ
อันที่จริงเธอไม่เคยคิดที่จะแต่งงานมาก่อนเลย หากเธอแต่งแล้วมีลูกติดทั้งสองคน ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าผู้ชายและคนในบ้านของผู้ชายคนนั้นจะเอ็นดูเด็กทั้งสองเหมือนกับเป็นลูกแท้ๆของตัวเอง?
ทว่าเธอนึกไม่ถึงว่าเพิ่งกลับมาที่เมืองAก็ได้พบเจอกับเย่ซือเฉิน และถูกเย่ซือเฉินบีบให้จดทะเบียนสมรส
แน่นอน เธอรู้ดีว่าชาติตระกูลอย่างเย่ซือเฉินจะรับความอัปยศไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ถึงแม้ว่าบ้านตระกูลเย่จะพอใจในตัวเธอขนาดไหน แต่คงไม่ยอมรับเด็กทั้งสองคนที่ไม่ได้มีสายเลือดผูกพันใดๆให้เข้ามาอยู่ที่บ้านตระกูลเย่หรอก
ยิ่งตอนนี้คุณปู่เย่ไม่พอใจในตัวเธอมาก
ส่วนเธอจะไม่มีทางแยกออกจากเด็กน้อยทั้งสองคนอย่างแน่นอน และไม่มีทางให้เด็กทั้งสองต้องมีความทุกข์หรือถูกทำร้ายเป็นอันขาด
ยิ่งไปกว่านั้นการแต่งงานครั้งนี้ก็เพื่อทำการแลกเปลี่ยนเท่านั้นเอง
แต่เธอรู้สึกว่าเมิ่งโร่ถิงพูดเช่นนี้มันแปลกพิลึก เมิ่งโร่ถิงกับเย่ซือเฉินเป็นคู่รักกัน เธอพูดเช่นนี้น่าจะเป็นการห้ามเธอ แต่ฟังจากน้ำเสียงและสีหน้าของเมิ่งโร่ถิงแล้วเธอดูไม่ออกว่าจะมีท่าทีการหวงห้ามแต่อย่างใด กลับเป็นการเตือนด้วยความหวังดีอย่างเห็นได้ชัด
นี่เป็นกิริยาของศัตรูด้านความรักควรจะมีหรือ?
เมิ่งโร่ถิงตกตะลึง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา อุ่ย!ดูเหมือนว่าเธอจะกังวลเกินเหตุ ทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่าพี่สะใภ้ไม่หลงกักดักง่ายๆเช่นนั้นหรอก?
เธอคิดว่าเรื่องราวต่อจากนี้คงจะยิ่งเข้มข้นมากขึ้น ยิ่งมีสีสันตระการตายิ่งขึ้นแน่ๆ แต่น่าเสียดายที่เธอไม่สามารถอยู่ดูได้
ดังนั้นเมิ่งโร่ถิงรู้สึกว่าตนไม่มีความจำเป็นต้องพูดอีกต่อไป เธอแค่รอดูอยู่เฉยๆก็เพียงพอแล้ว
แน่นอน เธอยังคงรู้สึกว่าพี่สะใภ้เธอไม่ใช่คู่ต่อสู้สำหรับพี่ชายที่เจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยม
“ฉันจะไปแล้ว ไม่ว่าจะยังไงพวกคุณก็น่าจะไปส่งฉันนะ” เธอตัดสินใจก่อนที่จะไปก็ช่วยพี่ชายสักครั้งหนึ่ง
เวินลั่วฉิงหยุดชะงัก ที่เมิ่งโร่ถิงพูดว่าพวกคุณนั้นหมายถึงเธอกับเย่ซือเฉินใช่ไหม?
เมิ่งโร่ถิงจะไปแล้วให้เย่ซือเฉินไปส่งมันก็ถูกหลักอยู่ แต่ทำไมถึงได้ดึงเธอไปเกี่ยวข้องด้วย?
พูดตามหลักแล้วเธอน่าจะเป็นตัวขวางการเพาะรักของพวกเขาถึงจะถูก ทำไมเมิ่งโร่ถิงถึงได้ดึงตัวเกะกะอย่างเธอไปด้วยนะ?
“ฉันจะไปแล้ว พี่สาวฉิงบอกว่าจะไปส่งฉัน ถ้างั้นพี่ก็ขับรถไปส่งพวกเราแล้วกันนะ” เมิ่งโร่ถิงออกจากห้องนอน เห็นเย่ซือเฉินยืนอยู่ที่หน้าประตูก็เผยยิ้มที่สดใสออกมา
เธอเรียกคำว่าพี่สาวฉิงได้อย่างอ่อนหวาน แต่เวินลั่วฉิงฟังแล้วมีความประหลาดใจมิใช่น้อย
เย่ซือเฉินจ้องมองเมิ่งโร่ถิงด้วยสายตาเย็นชาแต่มิได้พูดอะไรก็เดินเข้าห้องไปหยิบกุญแจรถออกมา
วัตถุประสงค์นั้นชัดเจนมาก
เมิ่งโร่ถิงแอบยิ้มในใจ เธอรู้ดีว่าหากเธอไม่ดึงพี่สะใภ้ไปด้วยกันพี่ชายต้องไม่ไปส่งเธอแน่ๆ
เวินลั่วฉิงคิดอยากจะปฏิเสธเพราะรู้สึกว่าเธอแทรกอยู่ระหว่างเขาทั้งสองคนนั้นดูแปลกๆ แต่เมิ่งโร่ถิงไม่ได้ให้โอกาสเธอปฏิเสธ รีบดึงเธอออกมานอกบ้าน
เย่ซือเฉินก็ขับรถมาแล้ว เมิ่งโร่ถิงดึงเธอไปนั่งตำแหน่งข้างคนขับทันที
จากที่เย่ซือเฉินมีสีหน้าเย็นชาก็กลับมาดีขึ้น ยัยเด็กรู้ยังพอมีน้ำใจอยู่นะ ถือว่ายังมีความฉลาดในการดูสถานการณ์อยู่เล็กน้อย
เวินลั่วฉิงสะดุ้งเล็กน้อย รู้สึกว่าบรรยากาศในตอนนี้ของทั้งสามคนมันอึดอัดยิ่งนัก
แต่เย่ซือเฉินกับเมิ่งโร่ถิงกลับมีใบหน้าที่เป็นธรรมชาติ ราวกับเป็นปกติไม่มีไรผิดแปลกไป
เวินลั่วฉิงกะพริบตา นี่มันเกิดอะไรขึ้น?เย่ซือเฉินกับเมิ่งโร่ถิงเป็นอะไรกันแน่?
หรือเธอจะเดาผิดไป?
หลังจากที่เมิ่งโร่ถิงขึ้นรถก็เอียงตัวไปด้านหน้าใกล้เวินลั่วฉิงเพื่อจะเอ่ยปากพูด
ดวงตาของเย่ซือเฉินได้ฉายรังสีความาเยือกเย็นซึ่งมีนัยแจ้งเตือนที่อันตรายแฝงอยู่
เมิ่งโร่ถิงขยับปากแล้วปิด ถึงจะไม่สมัครใจเพียงใดก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ดังนั้นระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรเลย มันเงียบสงบมาก
“ฉันจะไปห้างสรรพสินค้าพอดี คุณจอดรถด้านหน้านี้ได้ไหมคะ?” เวินลั่วฉิงเห็นข้างหน้ามีห้างสรรพสินค้าจึงคิดอยากจะซื้อของให้กับเด็กน้อยทั้งสองคน
และถือโอกาสลงจากรถด้วย
ดูไม่เข้าท่านักที่ระหว่างทางทั้งสามเงียบไม่พูดอะไร และเธอรู้สึกว่าเธอแทรกอยู่กับเขาสองคนมันอึดอัดสิ้นดี
ครั้งนี้เมิ่งโร่ถิงไม่ได้พูดอะไร และเมื่อเวินลั่วฉิงเพิ่งพูดเสร็จเย่ซือเฉินก็ขับรถมาจอดอยู่หน้าห้างสรรพสินค้าแล้ว
มันรวดเร็วจริงๆ
“น้องก็ลงจากรถได้แล้ว” หลังจากที่เวินลั่วฉิงลงจากรถแล้วเดินเข้าห้างสรรพสินค้าไป เย่ซือเฉินก็ไล่คนทันที
“เชอะ! มีพี่อย่างนี้ด้วยเหรอ?ฉันเป็นน้องสาวแท้ๆของพี่นะ”เมิ่งโร่ถิงทำหน้ามุ่ย นี่มันรักผู้หญิงมากกว่าน้องสาวชัดๆ
เมิ่งโร่ถิงไม่พอใจนั้นมันส่วนของไม่พอใจ แต่เธอกลับไม่รู้สึกแปลกใจเลย พี่สะใภ้ก็ลงจากรถแล้ว เธอจึงไม่กล้าหวังจะนั่งรถฟรีของพี่ชายแล้ว
“พี่ชาย พี่จะไปสะกดรอยตามพี่สะใภ้หรือ?” หลังจากที่ลงจากรถ เมิ่งโร่ถิงจงใจพูดให้น่าสนใจว่า “พี่สะใภ้ไม่ได้จะแอบเจอผู้ชายสักหน่อย พี่ไม่ต้องตามขนาดนี้มั้ง?”
เย่ซือเฉินจ้องมองเธอเหมือนกับสาดน้ำแข็งใส่ ทำให้เย็นจนสั่นกลัว
ภรรยาของเขา เขาต้องตามดูดีๆอยู่แล้ว!!
เวินลั่วฉิงเข้ามาในห้างสรรพสินค้าก็ไปยังจุดขายเสื้อผ้าเด็กเลย วันนี้เธอก็อยากจะซื้อของให้ลูกทั้งสองคนอยู่แล้ว
เวินลั่วฉิงรู้ขนาดของไซด์และรู้สไตล์ที่ลูกๆชื่นชอบเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงง่ายต่อการเลือกมาก
ในห้างสรรพสินค้ามีแบบมาใหม่เยอะมาก เวินลั่วฉิงเห็นว่าหนึ่งในนั้นมีหลายแบบที่จื่อซีของเธอชื่นชอบ จื่อซีของเธอเป็นคนที่รักสวยรักงามมาก
ทว่าตอนนี้เป็นช่วงที่เด็กกำลังโต ปกติเวินลั่วฉิงจะไม่ซื้อเยอะ เพราะเสื้อผ้าที่ซื้อปีนี้ปีหน้าก็อาจจะใส่ไม่ได้แล้ว ซื้อเยอะเกินไปจะเป็นการสิ้นเปลืองเปล่าๆ
เวินลั่วฉิงอยากจะเลือกออกมาสองชุดจากแบบที่ชื่นชอบทั้งหมด ทว่าเลือกยังไงก็ไม่รู้ว่าจะเลือกสองชุดไหนดี
เพราะแต่ละแบบก็สวยมาก เธอเลือกไม่ถูกจริงๆ เข้าทำนองที่ว่ารักพี่เสียดายน้องอะไรอย่างนั้นเลย
ถ้าหากจื่อซีของเธออยู่ที่นี่ คงจะต้องให้พนักงานใส่ถุงทั้งหมดแน่ๆ เมื่อคิดถึงจุดนี้เวินลั่วฉิงก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เย่ซือเฉินเดินเข้าห้างสรรพสินค้าไม่นานก็หาเธอเจอ ตอนที่เขากำลังจะเดินเข้าไปหานั้น กลับพบว่าเธอกำลังเลือกเสื้อผ้าในจุดของเสื้อผ้าเด็กอยู่ บัดนี้เธอกำลังยิ้มอย่างสดใสและมีความสุข
เย่ซือเฉินหยุดเดิน ดวงตากะพริบรัวๆ เธอจะซื้อเสื้อผ้าเด็กเหรอ?
เมื่อเธอเข้ามาที่ห้างสรรพสินค้าก็เดินมาที่จุดขายเสื้อผ้าเด็กเลย ดังนั้นต้องไม่ใช่แค่การเดินช้อปปิ้งธรรมดาๆ แต่เป็นการตั้งใจจะมาซื้อเสื้อผ้าเด็กอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าทำไมเธอต้องซื้อเสื้อผ้าเด็กล่ะ จะซื้อเสื้อผ้าเด็กให้ใครกัน?
เสื้อผ้าเด็กที่เธอกำลังเลือกอยู่นั้นเหมือนเป็นขนาดไซส์ของเด็กอายุประมาณสี่ถึงห้าขวบ!!
ขณะนั้นเย่ซือเฉินไม่ได้เดินไปข้างหน้า เขายืนมองอยู่ห่างๆ เขาอยากจะดูว่าเธอจะซื้อหรือไม่?
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ขณะนี้เย่ซือเฉินรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมากะทันหัน เหมือนจู่ๆมีอะไรมาดึงหัวใจของเขา ความรู้สึกเช่นนั้นมันแปลกเสียจริง……