บทที่ 206 คุณชายสามเย่ใจดำอำมหิต (1)
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เย่อหยู่นานยังรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ยังคงเชื่อใจคำพูดของหลี่หยุนอยู่
เย่หยู่นานไม่รู้ตัวว่าขณะนี้เขาเหมือนกับเป็นตัวตลกคนหนึ่ง
“คุณเย่ คุณหลงตัวเองมากไปแล้ว” เย่ซือเฉินกวาดสายตามองเขาหนึ่งแวบ ซึ่งเป็นแววตาที่ไม่ได้มีความรู้สึกอะไร แต่กลับสามารถดูถูกเย่หยู่นานให้จมดินได้
“……”เย่หยู่นานเป็นใบ้ภายในพริบตา เมื่อสบตากับเย่ซือเฉินก็ยิ่งตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าปริปากพูดแม้แต่คำเดียว
ความจริงแล้ว แววตาของเย่ซือเฉินไม่ได้มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงความเจตนาฆ่าอย่างน่าขนลุก
เย่ซือเฉินอยากจะฆ่าเขา?เป็นเพราะอะไร?เขาไม่เคยขัดแย้งกับเย่ซือเฉินมาก่อนเลยนะ
แน่นอน ถึงแม้เย่ซือเฉินจะจูบเวินลั่วฉิงให้เห็นกับตาในที่สาธารณะ เย่หยู่นานก็คิดไม่ถึงว่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับเวินลั่วฉิง คิดไม่ถึงว่าเย่ซือเฉินอยากจะฆ่าเขาเพราะเรื่องของเวินลั่วฉิง
เย่ซือเฉินพาเวินลั่วฉิงหนีไปทันทีโดยไม่มองเย่หยู่นานแม้แต่แวบเดียว
พอผ่านไปได้สักครู่ ทุกคนต่างพากันได้สติขึ้นมา เหล่าผู้หญิงจึงได้กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
มันเป็นเสียงที่กลัดกลุ้ม เป็นเสียงที่โมโห และเป็นเสียงที่เสียใจ
หลังจากที่เวินลั่วฉิงออกมาจากห้างสรรพสินค้ามาขึ้นรถ ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาจนสีหน้าเปลี่ยนไปจากเดิม “หมดกันทีนี้”
“เป็นอะไรเหรอ?”เย่ซือเฉินเห็นท่าทีของเธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมา?เป็นเรื่องอะไรที่สามารถทำให้เธอตกใจขนาดนี้?
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเธอเป็นเช่นนี้ ปกติเธอเป็นคนที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินเลย
“เรื่องที่เกิดขึ้นที่ห้างสรรพสินค้า ต้องถูกเผยแพร่ออกไปแน่นอน พอถึงเวลานั้นปู่ของฉันก็ต้องเห็น” เวินลั่วฉิงตัวแข็งทื่อ ทำไมเมื่อกี้เธอทำอย่างนั้น?ทำไมต้องไปยั่วเย่ซือเฉินก่อนด้วย
ความวู่วามมีผลเสียกับตนจริงๆ
เพียงแต่เธอคิดว่าเย่ซือเฉินอย่างมากก็แค่ให้ความร่วมมือร่วมเล่นละครด้วยกัน แต่เธอคิดไม่ถึงว่าเย่ซือเฉินจะจูบเธอต่อหน้าผู้คนมากมายจริงๆ
หากคุณปู่เห็นภาพแบบนี้เข้า อย่าคิดว่าจะมีโอกาสอธิบายให้เข้าใจเลย คุณปู่จะไม่ให้เธอมีโอกาสเปิดปากพูดเป็นอันขาด
คุณปู่เคยพูดว่า หากตระกูลเย่มีใจ คุณปู่มีความคิดที่แน่วแน่จะให้เธอแต่งเข้าบ้านตระกูลเย่ ยิ่งไปกว่านั้นงานเลี้ยงในครั้งก่อนก็ได้ทำให้คุณปู่สงสัยในความสัมพันธ์ของเธอกับเย่ซือเฉินแล้ว
แล้วตอนนี้……
ในเวลานี้ เสียงเรียกข้าวของเวินลั่วฉิงก็ได้ดังขึ้น เวินลั่วฉิงเอามือถือออกมาดูเบอร์ที่โทรเข้ามา สีหน้าของเธอก็กลายเป็นซีดขาวอย่างกับหมดอาลัยตายอยากยังไงอย่างนั้น
คุณปู่รู้เร็วจัง หมดกันล่ะทีนี้
โทรคุณโทรมาเร็วขนาดนี้ เห็นทีว่าคุณปู่จะตื่นเต้นเอาการอยู่นะ
เวินลั่วฉิงไม่จำเป็นต้องรับสายก็รู้ว่าคุณปู่จะพูดอะไร
เวินลั่วฉิงกำมือถือไว้แน่น ไม่อยากจะรับสายและไม่กล้าจะรับสายด้วย
ขณะอยู่ในมุมที่เธอมองเย่ซือเฉินไม่เห็น มุมปากของเขาก็ค่อยๆยกขึ้น
เวินลั่วฉิงไม่รับสาย เสียงมือถือก็ดังอยู่อย่างนั้น
เย่ซือเฉินไม่ได้พูดอะไร นิ่งรออยู่เงียบๆ
เวินลั่วฉิงถอนหายใจหนึ่งครั้ง สุดท้ายก็ต้องกดปุ่มรับสาย
เธอกลัวหากเธอไม่รับสายอย่างนี้ต่อ คุณปู่ต้องเป็นห่วงเธอแน่ๆ
“ค่ะ คุณปู่”น้ำเสียงของเวินลั่วฉิงมีความระมัดระวังและความกังวล ดังนั้นน้ำเสียงจึงต่ำกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด เธอเตรียมพร้อมรับฟังเสียงที่คุณปู่จะพูดจนสามารถหูชาแล้ว
“ฉิงฉิงจ๊ะ” คุณปู่เวินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สงบและธรรมดาเป็นอย่างมาก
“ค่ะ?” เวินลั่วฉิงหยุดชะงัก ทำไมเงียบอย่างนี้ล่ะ?คุณปู่ยังไม่รู้เรื่องใช่ไหม?หรือเป็นความเงียบก่อนพายุฝนจะพัดกระหน่ำหรือเปล่า?
“หนูยังจำคุณน้าฉิงได้ไหม?” น้ำเสียงคุณปู่อ่อนโยนไม่ต่างจากปกติเลย
“คุณน้าฉิง?คุณน้าฉิงคนไหนค่ะ?” เวินลั่วฉิงคิดไม่ออกในเวลาอันสั้น ทำไมจู่ๆก็พูดถึงคุณน้าฉิงล่ะ?คุณน้าฉิงคนไหน?
“ก็คนที่เป็นเพื่อนกับแม่ของหนูไง หนูจำไม่ได้แล้วหรือ?”เวินลั่วฉิงหยุดชะงักเหมือนกำลังลังเลว่าจะพูดต่อดีไหม
“อ่อ หนูจำได้แล้วค่ะ คุณน้าฉิง มีอะไรหรือค่ะ?”น้ำเสียงของเวินลั่วฉิงมีความเบาใจลงอย่างเห็นได้ชัด
มีคนที่ชื่อคุณน้าฉิงจริงๆ แต่ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับคุณแม่มากนัก แต่หลังจากที่เธอกลับมาอยู่ที่บ้านเวิน ผู้หญิงคนที่บอกว่าเป็นเพื่อนรักของคุณแม่ก็ได้ผลประโยชน์จากตระกูลเวินไปไม่น้อย
แต่ทว่าก็มิได้ติดต่อกันนานแล้ว ทำไมคุณปู่จึงพูดถึงเธอกะทันหันล่ะ?
“คุณน้าฉิงบอกว่าอีกไม่กี่วันจะมาที่เมือง A บอกว่าอยากจะเจอหน้าหนู อยากเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับแม่ของหนูให้หนูฟัง หนูอยากเจอไหม?”น้ำเสียงของคุณปู่เวินเป็นน้ำเสียงของการเจรจา นั่นก็หมายความว่าจะฟังความคิดของเวินลั่วฉิงเป็นหลัก
“เรื่องที่เกี่ยวกับแม่?” เวินลั่วฉิงคิ้วขมวด คุณน้าฉิงรู้เรื่องราวของแม่อะไรนะ?
หรืออยากจะใช้ข้ออ้างนี้กอบโกยผลประโยชน์จากตระกูลเวินอีก?หรือรู้เรื่องอะไรจริงๆ?
เพราะตอนนี้เธอสงสัยว่าการตายของแม่เธอมีอะไรไม่ชอบมาพากล ดังนั้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแม่ของเธอ เธอจะรู้สึกอ่อนไหวง่ายกว่าปกติ
“อืม เธอพูดอย่างนี้ แต่ปู่คิดว่าคำพูดของหล่อนอาจจะไม่เป็นความจริง หนูตัดสินใจเองแล้วกันว่าจะเจอหรือไม่เจอ”คุณปู่เวินเป็นห่วงเวินลั่วฉิงมาก และให้
เกียรติเธอ
ยอมรับในการตัดสินใจของเธอด้วย
“ออ หนูรู้แล้วค่ะ ถ้าหล่อนมาหนูจะไปเจอค่ะ” เวินลั่วฉิงตัดสินใจเข้าพบหล่อน หากหล่อนรู้อะไรบางอย่างจริงๆล่ะ
“คุณปู่ยังไม่รู้!”เวินลั่วฉิงวางสายแล้วจ้องมองเย่ซือเฉินด้วยสีหน้าที่ตกใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าคุณปู่ยังไม่รู้เรื่องเมื่อกี้ แต่ตอนนี้เวินลั่วฉิงก็ยังไม่ได้วางใจเต็มร้อย
น้ำเสียงกลับแฝงความกังวลเอาไว้
เธอกังวลว่าคุณจะรู้เรื่องได้ตลอดเวลา
ตอนนี้เพิ่งเกิดเรื่องได้ไม่นาน คุณปู่จึงยังไม่ได้ข่าว แต่เธอรู้ดีว่าปิดไม่ได้นานหรอก อีกไม่นานคุณปู่ก็ต้องรู้แน่นอน
“ไม่ต้องกังวลเกินไป” เย่ซือเฉินมองเธอแล้วยิ้มเบาๆ น้ำเสียงก็อ่อนโยนด้วย
“อืม” ได้ยินคำพูดของเขา เวินลั่วฉิงก็รู้สึกดีขึ้น เขาพูดอย่างนี้แสดงว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้ทั้งหมด ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องเป็นกังวลให้มาก
ถึงแม้ปกติเขาจะเป็นคนใจดำหน่อยๆ แต่พอถึงเวลาที่จำเป็นเขาก็เป็นที่พึ่งพาได้ ด้วยความสามารถของเขาแล้ว หากเขาตัดสินใจจะจัดการเรื่องนี้ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร อย่างน้อยก็สามารถปิดบังคุณปู่ไว้ได้ เธอก็วางใจแล้ว
เย่ซือเฉินมองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นมุมปากก็ค่อยๆยกขึ้นแล้วพูดเสริมอีกหนึ่งประโยคอย่างไม่ช้าและไม่เร็วว่า “คุณปู่ไม่ได้หูหนวก ไม่ได้ตาพร่ามัว ต้องรู้แน่นอน”
ต้องรู้แน่นอน!ต้องรู้แน่นอน!ต้องรู้แน่นอน!!
“……”เวินลั่วฉิงมองเขาแล้วหยุดชะงัก เธอเป็นคนที่ฉลาดมากคนหนึ่ง แต่เวลานี้อึ้งไปหลายวินาทีถึงจะเข้าใจ
เธอเป็นกังวลอย่างมาก แต่เธอเป็นกังวลเรื่องนี้เหรอ?หรือเธอจะกังวลคุณปู่ไม่รู้เรื่องนี้เหรอ?
“เย่ซือเฉิน คุณ คุณจงใจใช่ไหม?”เมื่อเวินลั่วฉิงรู้ทัน ก็จ้องมองเขาด้วยแววตาที่โกรธเคือง
เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจ พูดให้เธอว่าไม่ต้องกังวล เธอจึงแอบซาบซึ้งต่อเขาเล็กน้อย
แต่สุดท้ายเป็นยังไงล่ะ?!
“เพราะคุณยั่วผมไม่ใช่เหรอ?” เย่ซือเฉินทำสีหน้าว่าตนเป็นคนบริสุทธิ์ใจ ทำปากอย่างกับตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนได้กลับมาทำเป็นว่าตัวเองเป็นคนเสียเปรียบอย่างนั้น