บทที่ 321 ความฉลาดหลักแหลมของถังจื่อโม่ (2)
มุมปากของถังจื่อโม่ค่อย ๆ ยกขึ้น เขารู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้จงใจ
แต่เขาทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วยอมตามใจเธอทุกอย่าง ใครใช้ให้เธอเป็นน้องสาวของเขากันล่ะ
“ไปกันเถอะ” ถังจื่อโม่ช่วยเช็ดน้ำตาให้ถังจื่อซี จากนั้นก็จูงมือถังจื่อซีเดินไปยังโรงเรียน
เมื่อเพิ่งเข้ามาถึงในโรงเรียน ถังจื่อโม่ก็เห็นผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังเดินเขามาหาพวกเขา
เป็นเพราะจี้หซีได้กำชับเอาไว้ ถังจื่อโม่จึงระวังตัวมากเป็นพิเศษ เขาจึงกำมือของถังจื่อซีไว้แน่น
ถังจื่อโม่แหงนสายตาขึ้น มองไปยังผู้ชายคนนั้น ใบหน้าผู้ชายคนนั้นไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น ดูไม่ออกถึงสิ่งผิดปกติใด ๆ เลย แต่สายตาอันเฉียบคมของถังจื่อโม่กลับพบว่า ในมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของผู้ชายคนนั้นมีบางอย่างที่ส่องแสงสะท้อนออกมา
เห็นได้ชัดว่า ในมือของผู้ชายคนนั้นน่าจะมีของประเภทมีดอะไรทำนองนั้นอยู่แน่ ๆ
การที่ถังจื่อโม่มีสัญชาตญาณที่ไวต่อความรู้สึกมากกว่าเด็กคนอื่นทั่วไปนั้น เป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่อาศัย และผู้คนที่เขาใกล้ชิดด้วยก็มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้
ไม่ว่าจะคนรอบตัวถังไป๋เชียน หรือคนเหล่านั้นที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัวของเวินลั่วฉิง ล้วนแต่ไม่ธรรมดากันทั้งนั้น
ทำให้เขาซึมซับจากสิ่งแวดล้อมพวกนี้เข้าไปโดยไม่รู้ตัว ถังจื่อโม่ได้เรียนรู้อะไรต่าง ๆ มากมาย สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่หาเรียนไม่ได้จากในโรงเรียนหรือในตำราเรียน รวมไปถึง สิ่งที่ถังไป๋เชียนและมู่หรงดัวหยางตั้งใจสอนถังจื่อโม่เป็นพิเศษอีก
ฉะนั้น ถึงแม้ถังจื่อโม่อายุยังน้อย แต่กลับสุขุมและมีสัญชาตญาณที่เหนือกว่าคนปกติทั่วไป
ฝีเท้าของถังจื่อโม่ไม่ได้หยุดลง ยังคงจูงมือถังจื่อซีเดินหน้าต่อไป และไม่เผยท่าทีผิดปกติใด ๆ ออกมาทั้งนั้น
แต่ว่า ในขณะที่ผู้ชายคนนั้นใกล้จะเดินมาถึงตัวพวกเขา เขาก็สลับที่กับถังจื่อซีทันที ให้ถังจื่อซีเข้าไปอยู่ด้านในแทน
ในมือของผู้ชายคนนั้นมีมีดอยู่ ดังนั้น เขาจำเป็นต้องปกป้องน้องสาว
ผู้ชายที่กำลังเดินเข้ามาหาพวกเขาคนนั้นเหมือนกำลังขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะนั้นเอง ก็เห็นได้ว่าเขาเริ่มก้าวเดินช้าลงเล็กน้อย
“บอกว่าเวลาเดินอย่าก้มมองเท้าไง เมื่อกี้เกือบสะดุดล้มแล้วเห็นไหม” ถังจื่อโม่ดึงถังจื่อซี จงใจตำหนิเธอ ขณะนั้น ถังจื่อโม่ไม่ได้หันไปมองผู้ชายคนนั้นแม้แต่นิด
“หนูรู้แล้วค่ะ พี่อย่าโกรธนะคะ” ถังจื่อซีไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติใด ๆ ทั้งนั้น และก็ไม่ได้เสียใจอะไรที่โดนพี่ชายตำหนิ
เธอรู้ว่าพี่ชายเป็นห่วงเธอ ถึงได้โกรธแบบนี้
เพื่อไม่ให้พี่ชายโกรธ ถังจื่อซีได้ทำหน้าทำตาทะเล้นใส่พี่ชาย ถังจื่อโม่จึงยิ้มให้เธอ
ดวงตาผู้ชายคนนั้นหรี่ลง แต่ก็ไม่ได้พบเห็นสิ่งผิดปกติใด ๆ และยังคงเดินหน้าเข้าไปหาพวกเขา
ถึงแม้ถังจื่อโม่จะไม่ได้แสดงอาการใด ๆ ออกมา แต่ในใจเขาเป็นกังวลมาก เพราะผู้ชายคนนั้นมีมีดอยู่ในมือ ใบมีดที่อยู่ในมือคนบางคน บางครั้งก็อันตรายยิ่งกว่ากริชเสียอีก
เขารู้ดี ว่าถ้าหากผู้ชายคนนั้นต้องการฆ่าเขา เพียงแค่ยกมือขึ้นทีเดียวก็ทำได้แล้ว ถ้าตอนนี้มีเพียงเขาก็ยังดี แต่ตอนนี้เขากำลังจูงมือน้องสาวอยู่ด้วย
ไม่ว่าเขาจะฉลาดแค่ไหน สุขุมยังไง แต่เขาก็เป็นเพียงเด็กอายุราวห้าขวบเท่านั้นเอง ยังห่างไกลจากความเป็นผู้ใหญ่มากนัก
มองไปยังผู้ชายคนนั้นที่เข้าใกล้พวกเขามากขึ้นทุกขณะ เขาก็ยิ่งกังวลมากขึ้นทุกที เขาจับมือถังจื่อซีแน่นมากยิ่งขึ้น
“พี่คะ เป็นอะไรหรือเปล่า พี่บีบมือหนูจนเจ็บแล้ว” ถังจื่อซีรู้สึกว่าพี่ชายบีบมือเธอแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเธอรู้สึกเจ็บมือบ้างแล้ว
ปกติพี่ชายจะไม่ทำให้เธอเจ็บเด็ดขาด ตอนนี้พี่ชายเป็นอะไรกันแน่?
ถังจื่อโม่ที่เดิมทีก็วิตกกังวลอยู่แล้ว เมื่อได้ยินที่ถังจื่อซีพูด เขาก็ยิ่งรู้สึกใจหาย ดวงตาจ้องมองไปยังผู้ชายคนนั้น แต่ปรากฏว่าเขาเห็นผู้ชายคนนั้นหยุดเดิน
จากนั้น เขาเห็นผู้ชายคนนั้นจับมีดในมือไว้แน่น เพราะมือเขากำแน่นมาก จึงทำให้มองไม่เห็นมีดในมือเขาแล้ว แต่ถังจื่อโม่รู้ดีว่ายิ่งเป็นอย่างนี้ ก็ยิ่งอันตราย
เขารู้ว่า ผู้ชายคนนั้นอาจจะลงมือกับเขาและน้องสาวได้ทุกเมื่อ ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่ที่โรงเรียนอนุบาล และเป็นสังคมที่มีกฎหมาย แต่คนบางกลุ่มกลับไม่แยแสกฎหมายเลยสักนิด อย่างเช่นพวกนักฆ่ามืออาชีพ
ครั้งก่อนตอนที่เขาโทรศัพท์คุยกับจี้หซี จี้หซีได้พูดเตือนเอาไว้ ว่าคุณหญิงจี้ส่งนักฆ่ามา
ดูท่าน่าจะเป็นคนนี้แหละ
ในตอนนี้ ถังจื่อโม่ที่จิตใจยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ ต้องแบกรับความทรมานบางอย่างที่เขาไม่สามารถแบกรับได้
เขารู้ดี ว่าเขาเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ที่อยู่ต่อหน้านักฆ่ามืออาชีพแล้วยากที่จะปกปิดความผิดปกติเอาไว้ได้
แม่เคยบอกว่า คนเราถ้าหากเสแสร้งแกล้งทำเป็นนิ่งเฉยเพื่อปกปิดอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองนั้น เป็นเรื่องที่ยากมากเรื่องหนึ่ง ถ้าหากตกอยู่ในอันตราย ไม่ต้องฝืนตัวเองให้นิ่งเฉย บางครั้งก็ต้องปล่อยออกมาบ้าง ถึงจะเป็นการปกปิดที่ดีอย่างหนึ่ง
“บอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้องตามฉัน ไม่ต้องตามฉัน เธอก็ยังจะตามฉันอยู่นั่นแหละ ทุกวันเธอทำตัวเหมือนหางของฉันที่คอยตามฉันตลอด ฉันต้องคอยดูแลเธอแบบนั้น ต้องคอยดูแลเธอแบบนี้ เธอรู้ไหมว่ามันน่ารำคาญขนาดไหน ตอนนี้เธอยังกล่าวหาว่าฉันดูแลเธอดีไม่พอ หาว่าฉันทำเธอเจ็บ งั้นเธอก็เดินไปเองเลย ไม่ต้องมาให้ฉันดูแลเธอแล้ว” อยู่ ๆ ถังจื่อโม่ก็ตะคอกเสียงดังขึ้นมา เมื่อได้ตะโกนออกมาอย่างนี้ ความกลัวในใจก็จางหายไปบ้างแล้ว ทำให้ไม่ได้รู้สึกกังวลใจมากขนาดนั้นแล้ว
ตอนนี้เขาให้ตัวเองปลดปล่อยทุกอย่างออกมา ไม่จำเป็นต้องเก็บกดอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ ไม่ต้องยับยั้งมันเอาไว้แล้ว อีกอย่างเขาก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง หงุดหงิดโมโหออกมาก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
สงสารก็แต่เด็กน้อยถังจื่อซี เมื่อถูกพี่ชายสุดที่รักของตัวเองตะคอกใส่ จมูกเริ่มฟุดฟิด ๆ หยดน้ำตาเท่าเม็ดถั่วก็ไหลออกมา แต่ครั้งนี้ไม่มีเสียงร้องไห้ดังออกมา
ฝีเท้าของชายคนนั้นเริ่มกลับมาเดินปกติ คุณหมอบอกว่า ถ้าจะตรวจ DNA จำเป็นต้องดึงเส้นผมออกมา เพราะต้องตรวจส่วนที่เป็นรากผม แต่การดึงผมนั้น ถ้าดึงก็จะถูกดึงออกมาเป็นกระจุก แล้วถึงผมออกมา ยังไงคนถูกดึงก็ต้องรู้ตัว
ดังนั้น เขาคิดว่าใช้ใบมีดทำให้เลือดออกนิดหน่อย ง่ายกว่าเยอะ
แต่ทันใดนั้นเด็กทั้งสองคนก็ทะเลาะกันขึ้นมา ตรงนี้ก็ไม่มีผู้ใหญ่อยู่สักคน อะรุ่ยจึงเดินเข้าไป แกล้งทำเป็นปลอบถังจื่อซี : “สาวน้อยอย่าร้องไห้สิ”
“เป็นพี่ชายทำไมถึงได้ดุกับน้องสาวแบบนี้” ขณะที่พูดอยู่ มือของอะรุ่ยก็ได้ยื่นไปบนหัวของถังจื่อโม่ จับเอาเส้นผมขึ้นมา จากนั้นก็ออกแรงดึงผมออกมา
ถึงแม้ดึงเพียงไม่กี่เส้น แต่ก็รู้สึกเจ็บได้อยู่ ทำให้ถังจื่อโม่รู้สึกเจ็บขึ้นมา เขานึกถึงคำพูดของจี้หซี ห้ามขัดขืนเด็ดขาด ถ้าขัดขืนจะยิ่งอันตราย แต่ผู้ชายคนนี้ดึงผมเขา เขารู้สึกเจ็บ ถ้าหากไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลย จะทำให้เขาสงสัยขึ้นมาแน่ ๆ
ถังจื่อโม่หันสายตา จากนั้นก็จงใจพูดขึ้นมาว่า : “คุณลุง ถึงผมจะทำผิดไป แต่ก็อย่าตีผมสิ ผมเจ็บนะ”
ถังจื่อโม่ใช้มือลูบหัวบริเวณที่เขาเพิ่งดึงผมไปเมื่อกี้นี้ นวดไปมา ท่าทางของถังจื่อโม่ดูเป็นธรรมชาติมาก แต่ในใจยังคงรู้สึกกังวลไม่น้อย เพราะยังไงคนที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นนักฆ่ามืออาชีพ…