บทที่ 103: การออกกำลังกายของชาวโลโบร์
ณ โต๊ะอาหารในคฤหาสน์เขาวงกต โรเอลป้อนซุปหนึ่งช้อนลงในริมฝีปากของอลิเซียเป็นครั้งคราว ทำให้ลำคอของเธอสั่นเล็กน้อยเมื่อกลืนมันลงไป ก่อนจะเลียริมฝีปากนิดหน่อย เพื่อเช็ดซุปรอบ ๆ ปากของเธอออก
(แต้มความสนใจ +100!)
ที่นี่คือสวรรค์งั้นเหรอ? ที่นี่คือสวรรค์ใช่ไหม?
โรเอลรู้สึกราวกับว่าส่วนหนึ่งในจิตวิญญาณของเขากำลังล่องลอยไปสู่สรวงสวรรค์ เพียงแค่ได้มองไปที่อลิเซีย รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา โดยแทบจะไม่หุบลงไปเลยแม้แต่ครู่เดียว
การพูดคุยเปิดใจบนเตียงในตอนบ่าย นำไปสู่การปรองดองกันอย่างสมบูรณ์ระหว่างโรเอลและอลิเซีย เรียกได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้นไปอีก หลังจากวิกฤติเล็กน้อยที่พวกเขาได้เผชิญ ความรู้สึกของพวกเขาก็ถูกแสดงออกมาผ่านการกระทำ นั่นก็คือทั้งสองคนแทบจะตัวติดกันตลอดเวลา
โรเอลต้องการชดเชยปริมาณยาเติมพลังใจอลิเซียที่ขาดหายไปเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ และอลิเซียเองก็อยากจะปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดที่เธอระงับเอาไว้ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าโรเอลคิดว่ามันไม่เหมาะสม คืนนี้อลิเซียก็คงจะนอนร่วมเตียงกับเขาไปแล้ว
อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้โรเอลรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย นั่นก็คืออลิเซียมีอายุได้ 8 ขวบแล้ว หลังจากเอาชนะความบอบช้ำทางจิตใจของเธอได้ เด็กสาวก็ได้เข้าสู่ช่วงที่เธอควรจะได้เป็นอิสระมากขึ้น เป็นผลให้ช่วงเวลาป้อนอาหารสามครั้งลดลงเหลือเพียงวันละครั้งเท่านั้น
แม้โรเอลจะรู้สึกยินดีกับความปรารถนาของอลิเซียที่จะพัฒนาตัวเองเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหงาเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ การบำบัดรักษาสามครั้งต่อวันลดลงเหลือเพียง 1 ครั้ง แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้มันมีค่ามากกว่าเมื่อก่อน
นี่เป็นผลให้ภาพบนโต๊ะอาหารของตระกูลแอสคาร์ดแตกต่างกันมาก ในขณะที่โรเอลและอลิเซียกำลังสนิทสนมกันดั่งคู่รัก มาร์ควิสคาร์เตอร์กลับถูกทิ้งให้เคี้ยวแซนด์วิชแฮมของเขาอยู่เพียงลำพังที่มุมห้อง คาร์เตอร์รู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่าพี่น้องคู่นี้สนิทสนมกันมากกว่าที่เคย ทำให้มาร์ควิสไม่แน่ใจว่าตนเองควรจะประกาศข้อตกลงที่ได้ทำเอาไว้กับตระกูลเซไซต์เมื่อวันก่อนดีรึเปล่า…
เกิดอะไรขึ้น? เมื่อวันก่อนพวกเขายังหลบหน้ากันอยู่เลยไม่ใช่หรือ? พวกเขาคืนดีกันรวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร? ไม่มีการเตือนกันล่วงหน้าหน่อยเลยเหรอ! แล้วแบบนี้ข้าจะพูดเรื่องนั้นได้อย่างไรล่ะ?!?!
นี่ทำให้มาร์ควิสคาร์เตอร์ต้องคิดหนัก
หากเป็นในแง่ของจุดยืนของเขาแล้ว คาร์เตอร์ย่อมสนับสนุนอลิเซียที่เป็นลูกศิษย์ของเขามากกว่า แต่การปรากฏตัวของนอร่าเองก็เป็นเรื่องที่ซับซ้อน มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่คิดว่าโรเอลจะสามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบของตนที่ไปขโมยจูบลูกสาวของตระกูลเซไซต์ได้! นอกจากนี้ยังมีข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วนั่นอีก…
ทำไมเรื่องมันถึงต้องซับซ้อนมากขนาดนี้ด้วยเนี่ย? เฮ้อ ข้าเริ่มจะปวดท้องแล้วสิ มีอะไรที่เบาท้องกว่านี้ไหมนะ? ข้าควรบอกให้พ่อครัวเตรียมซุปให้แทนดีไหม…
แค่คิดถึงอนาคตของลูกชายก็มากเกินพอที่จะทำให้คาร์เตอร์อาหารไม่ย่อย ดังนั้นเขาจึงสั่งให้พ่อครัวทำซุปเข้มข้นชามหนึ่งออกมา
เมื่อพิจารณาถึงความไร้ซึ่งพรสวรรค์และความสามารถของโรเอล แผนแรกของเขาก็คือการให้ลูกชายมีชีวิตที่สงบสุขและมั่นคง แต่งงานกับสาว ๆ สักสองสามคนจากตระกูลขุนนางเล็ก ๆ พยายามอย่างหนักในทุก ๆ คืนเพื่อขยายแผนภูมิต้นไม้ของตระกูล ทว่าแผนการที่เขาทำไว้ทั้งหมดก็ต้องถูกพลิกคว่ำเมื่อโรเอลดันปลุกพลังสายเลือดดั้งเดิมของตระกูลแอสคาร์ดขึ้นมาซะได้
แน่นอนว่ามาร์ควิสคาร์เตอร์รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นโรเอลแข็งแกร่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็กังวลเกี่ยวกับปัญหาที่ลูกชายของเขาจะต้องเผชิญ ทั้งนอร่าและอลิเซียต่างก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ แค่นอร่าก็หนักพอตัวแล้ว แต่อลิเซียในสายตาของคาร์เตอร์เองก็เป็นสัตว์ประหลาดตัวน้อยเช่นกัน หลักฐานที่สำคัญก็คือความจริงที่ว่า อลิเซียนั้นใกล้จะไปถึงระดับแก่นแท้ 5 เต็มทีแล้ว
เพียงแค่เดือนเดียว อลิเซียก็เติบโตขึ้นด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ เธอปีนขึ้นมาจากระดับแก่นแท้ 7 ไปจนถึงจุดสูงสุดของระดับแก่นแท้ 6 ได้อย่างรวดเร็ว
โดยเด็กสาวมักจะพูดว่า ‘ทุกครั้งที่หนูนึกถึงพี่ใหญ่โรเอล หนูก็รู้สึกได้ถึงพลังที่กำลังเติมเต็มเข้ามาในร่างกาย’
คำอธิบายนั้นทำให้มาร์ควิสคาร์เตอร์พูดไม่ออก โดยทั่วไปแล้วผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจะต้องค่อย ๆ สั่งสมพลังเวทอย่างช้า ๆ เหมือนกับกระแสน้ำที่ค่อย ๆ ไหลลงสู่ทะเล แต่สำหรับอลิเซียนั้น พลังเวทของเธอพุ่งพรวดออกมาราวกับบ่อน้ำมันที่พุ่งออกมาจากดินแดนที่เธอกำลังทำไร่ไถนาอยู่
ด้วยอัตราความเร็วในปัจจุบันของอลิเซีย อีกไม่นานเธอก็น่าจะได้รับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด แม้แต่นอร่าผู้เป็นความภาคภูมิใจของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ก็ยังไปถึงระดับแก่นแท้ 5 ตอนอายุ 9 ขวบ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคาร์เตอร์ถึงได้ตกตะลึงกับการเติบโตของอลิเซีย เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเด็กสาวที่เขารับมาเลี้ยงด้วยความเมตตา จะกลายเป็นอัจฉริยะที่เกินกว่าความคาดหมายของเขาไปไกล หากมีเวลาให้กับเธอเพียงพอแล้วล่ะก็ บางทีอลิเซียอาจจะกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับโลกได้เลยทีเดียว
และที่สำคัญที่สุดก็คือ อลิเซียนั้นได้ทุ่มเทพรสวรรค์ทั้งหมดนี้เพื่อบุตรชายของเขา
มันคงเป็นเรื่องโกหกถ้าหากมาร์ควิสคาร์เตอร์จะบอกว่าเขาไม่ได้ตื่นเต้นกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อความตื่นเต้นนี้จางหายไป จอมเวทก็เริ่มเห็นปัญหามากมายที่อาจปรากฏขึ้นระหว่างทาง เขาสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าทั้งอลิเซียและนอร่าต่างก็มีท่าทีอันแน่วแน่ในแนวทางของพวกเธอ ถ้าวันใดวันหนึ่งพวกเธอทั้งสองคนเริ่มต่อสู้กันเองล่ะก็ แม้แต่โรเอลก็คงไม่สามารถเป็นสื่อกลางสงบศึกระหว่างพวกเขาได้
คาร์เตอร์หวนนึกถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเหล่าหญิงสาวผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่อุทิศตนให้กับชายคนหนึ่ง แต่พวกเธอกลับถูกชายคนนั้นทอดทิ้ง ทำให้เรื่องราวจบลงด้วยการที่หญิงสาวเหล่านั้นสังหารอดีตคนรักของพวกเธออย่างเลือดเย็น แค่คิดถึงเรื่องราวดังกล่าวจอมเวทก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
แน่นอนว่ามาร์ควิสคาร์เตอร์ไม่คิดว่าลูกชายของตนจะเป็นคนเจ้าชู้แบบนั้น แต่ความมีเหตุมีผลในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ นั้นเป็นแนวคิดที่ไม่มีอยู่จริง
คาร์เตอร์นึกถึงประสบการณ์ด้านความรักอันน้อยนิดของเขา ก่อนจอมเวทจะรู้สึกว่าเรื่องนี้มันยากเกินไปสำหรับเขา นอกจากนี้เมื่อนึกถึงกลยุทธ์ที่โรเอลใช้จนถึงปัจจุบันแล้วล่ะก็…
เดี๋ยวนะ? ดูเหมือนว่าโรเอลยังไม่ทันจะได้ทำอะไรจริง ๆ จัง ๆ เลยไม่ใช่เหรอ? เป็นไปได้ไหมว่าเด็กชายไม่จำเป็นจะต้องใช้กลยุทธ์เหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ?
คาร์เตอร์จิบซุปของเขาขณะที่มองไปยังเด็ก ๆ ทั้งสองคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขาด้วยความสงสัย จอมเวทลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ด้วยบรรยากาศในตอนนี้ ทำให้เขาไม่สามารถทำใจบอกทั้งสองได้ว่า นอร่านั้นจะกลายมาเป็นผู้พิทักษ์ของโรเอล
…
หลังมื้ออาหารเย็นจบลง มาร์ควิสคาร์เตอร์ก็มุ่งหน้ากลับไปที่ห้องทำงานของเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พลางครุ่นคิดเรื่องต่าง ๆ อยู่เต็มหัว
ส่วนโรเอลและอลิเซีย พวกเขาได้มุ่งหน้าไปที่ห้องสมุดและใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข ก่อนที่จะแยกทางกันในช่วงกลางคืน
โรเอลรู้สึกพึงพอใจทั้งร่างกายและจิตใจ เด็กชายไม่เคยรู้สึกดีเท่านี้มาก่อน ดังนั้นมันไม่มีทางเลยที่เขาจะพลาดโอกาสอันล้ำค่านี้
หลังจากกลับมาที่ห้องของตน โรเอลก็ได้สั่งให้แอนนาออกไปข้างนอก ก่อนจะหันไปดูที่ระบบ
【ทำการตรวจสอบสภาพร่างกายของผู้ใช้…】
【ระบบแนะนำให้ผู้ใช้ซื้อสินค้าต่อไปนี้ เพื่อทำการก้าวข้ามระดับแก่นแท้】
【ยาก้าวข้ามระดับแก่นแท้แห่งโลโบร์ (รูปแบบที่ 5)
ชาวโลโบร์นั้นหลงใหลในการเล่นแร่แปรธาตุ ทว่ายาที่พวกเขาผลิตกลับมีแนวโน้มที่จะทำงานแตกต่างไปจากที่พวกเขาคาดหวังไว้ ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมยาที่ตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อมอบความมึนงงให้กับศัตรู ถึงกลายมาเป็นยาที่มีความสามารถช่วยในการก้าวข้ามระดับแก่นแท้ได้เสียอย่างนั้น ทำให้บุคคลที่พัฒนายานี้ ถูกประหาร เพราะสงสัยว่าอาจจะเป็นสายลับที่แฝงตัวมา
ผลข้างเคียง: อาการมึนเมาอย่างหนัก
ราคา: 10,000 เหรียญทอง】
【กิจกรรมพิเศษ: มาก้าวข้ามระดับแก่นแท้ด้วยกันเถอะ !
ลดราคาสินค้าทุกรายการที่เกี่ยวกับการก้าวข้ามระดับแก่นแท้ 90% !
รายการที่มีการลดราคา:
ยาก้าวข้ามระดับแก่นแท้แห่งโลโบร์ (รูปแบบที่ 5)
ราคาหลังจากส่วนลดพิเศษ : 1,000 เหรียญทอง】
【ระดับแก่นแท้ของผู้ใช้นั้นพร้อมแล้ว ระบบขอแนะนำให้ผู้ใช้พยายามก้าวข้ามระดับแก่นแท้โดยเร็วที่สุด】
แม้ว่าตอนแรกโรเอลจะรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เมื่อเห็นว่ามีสินค้าเพียงชิ้นเดียวในร้านค้ากิจกรรม แต่เมื่อเด็กชายรู้ว่ามันเป็นส่วนลด 90% ความไม่พอใจทั้งหมดของเขาก็ละลายหายไปในทันที ราวกับน้ำค้างแข็งที่พบกับดวงอาทิตย์ในฤดูร้อน
“ในที่สุดระบบต้องสาปนี่มันก็มีมนุษยธรรมกับเขาแล้วอย่างนั้นเหรอ?!”
โรเอลประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสุดแสนจะพรรณนา ระหว่างที่เด็กชายกำลังกังวลว่าเขาจะก้าวขึ้นไปสู่ระดับแก่นแท้ 5 ได้อย่างไร ระบบของเขาก็ได้เสนอสิ่งที่เขาต้องการมาให้ในราคาลดพิเศษ ช่างเป็นแบบอย่างสำหรับธุรกิจที่ดีโดยแท้จริง!
เด็กหนุ่มผู้มีหนี้กว่า 500,000 เหรียญทอง เช็ดน้ำตาก่อนจะนำเงินส่วนตัวของเขาออกมาเสนอให้กับระบบโดยไม่ลังเล ซึ่งส่วนใหญ่มันก็เป็นเงินที่ยืมมาจากอลิเซีย
มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจำนวนไม่น้อยเลยที่ไม่สามารถก้าวข้ามไปสู่ระดับแก่นแท้ 5 ได้ ทำให้พวกเขาต้องรับผลข้างเคียงบางอย่าง ในกรณีที่รุนแรงที่สุดบางคนก็ต้องพิกลพิการด้วยสาเหตุนี้
โรเอลยังคงจำ ‘การผสมผสานอันลงตัว’ ของยาทั้งสองที่เขาได้ดื่มลงไปเมื่อครึ่งปีก่อนได้เป็นอย่างดี มันมีผลข้างเคียงที่แย่มาก แม้ว่ามันจะเพิ่มระดับแก่นแท้ของเขาขึ้นมามากก็ตามที
ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าผลข้างเคียงของยาก้าวข้ามระดับแก่นแท้แห่งโลโบร์ (รูปแบบที่ 5) มีเพียงแค่อาการมึนเมา เขาจึงแทบจะหัวเราะออกมา
หึ เราเคยดื่มของที่เกือบทำลายตับตัวเองมาแล้วด้วยซ้ำ กับอีแค่ของแบบนี้จะไปน่ากลัวอะไร?
โรเอลหยิบภาชนะที่เขาเพิ่งได้รับจากระบบมาตรวจสอบอย่างละเอียด ยาที่เก็บอยู่ภายในภาชนะนั้นโปร่งใสเหมือนน้ำ เมื่อเขาลองหมุนภาชนะ ลักษณะของเหลวด้านในที่ไหลไปตามด้านข้างของภาชนะให้ความรู้สึกชวนนึกถึงไวน์ จากนั้นเขาก็เปิดขวดและสูดกลิ่นของยาดู แต่มันก็ไม่ได้มีกลิ่นเฉพาะเจาะจงอะไร
ดูไม่น่าจะมีปัญหาอะไร…
รูปลักษณ์ของยาที่ดูอ่อนโยนช่วยเสริมความกล้าให้กับโรเอล เขารู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องกลัว อย่างไรก็ตามด้วยบทเรียนในคราวก่อน เด็กชายจึงขึ้นไปนั่งบนเตียงแทน
ต่อให้เราล้มลงในทันทีที่ดื่มมันเข้าไป อย่างมากเราก็แค่ล้มลงไปหลับบนเตียง
หลังจากเตรียมการเรียบร้อยแล้ว โรเอลก็หยิบขวดยาขึ้นมาดื่มอย่างไม่ลังเล ในฐานะนักชิม ทันทีที่เขาได้ลิ้มรสยาราคา 10,000 เหรียญทอง เด็กชายก็รู้สึกได้ถึงรสเปรี้ยวแปลก ๆ เปรียบได้กับแอลกอฮอล์ที่มีศักยภาพน่ากลัว
ราวกับมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาจากท้องของเขาขึ้นไปถึงคอ ทำให้เขานึกถึงไวน์ขาว 56% ที่เขาเคยดื่มในอดีตชาติ เด็กชายรู้สึกว่าร่างกายของเขาเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งก่อนจะกลืนไวน์ลงไป เขาก็รู้สึกได้ถึงผลของมัน ด้วยสภาพอันมึนเมาเล็กน้อย ในที่สุดโรเอลก็กลืนแอลกอฮอล์ปลอมที่ไม่อร่อยที่เหลือลงไป
ขณะที่โลกหมุนไปรอบ ๆ ตัวเขา สติของโรเอลก็ค่อย ๆ จางหายไป…
…
วันรุ่งขึ้น ทันทีที่ดวงตาของโรเอลเปิดออก เขาก็มองเห็นเพดานอันปกคลุมด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง
โอ้ ยานั่นมันรุนแรงจริง ๆ ด้วย โชคดีที่เราเตรียมตัวมาอย่างดีแล้ว ไม่อย่างนั้นมีหวังได้ล้มลงไปกับพื้นอีกรอบแหง!
โรเอลยังคงมีปัญหาในการรวบรวมสมาธินิดหน่อย เนื่องจากอาการปวดหัวที่คล้ายกับการเมาค้าง ทันใดนั้นเด็กชายก็ตระหนักได้ว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เขาจ้องมองดูอยู่ แตกต่างออกไปจากเดิมเล็กน้อย จากนั้นสีหน้าของเขาก็ค่อย ๆ เคร่งขรึมขึ้น
หืม? นี่เราคิดไปเองรึเปล่า? ทำไมที่นี่มันดูแปลก ๆ ไป
โรเอลผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบตัว ทันทีที่เด็กชายเริ่มเคลื่อนไหว เขาก็พบว่าตัวเองชนเข้ากับร่างกายที่อ่อนนุ่ม เสียงครวญครางเบา ๆ ซึ่งเกือบจะดังพอ ๆ กับเสียงที่ดังก้องในหูของเขาดังขึ้น
มันทำให้โรเอลตัวแข็งทื่อด้วยความประหลาดใจในทันที เขาหันศีรษะไปด้านข้างอย่างช้า ๆ ก่อนจะพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ข้าง ๆ อลิเซียในชุดนอนสีขาว!
บ้าจริง นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมอลิเซียถึงได้มานอนอยู่ข้าง ๆ เรา ไม่สิ เดี๋ยวก่อนนะ… นี่มันห้องของอลิเซียไม่ใช่เหรอ?!
เมื่อโรเอลเริ่มตระหนักได้ถึงความจริงที่เกิดขึ้น อาการสั่นก็วิ่งไปทั่วร่างกายของเขา ทำให้เด็กชายบังเอิญเตะไปที่ขาของอลิเซีย ด้วยการกระตุ้นนั้น เด็กสาวจึงค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา เธอมองไปที่โรเอลผู้กำลังตัวแข็งทื่อ ด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขบนริมฝีปากของเธอ
“อรุณสวัสดิ์ พี่ใหญ่โรเอล ตื่นเช้าจังเลยนะคะ”
“อา ใช่แล้ว ฉันตื่นแล้วล่ะ”
ด้วยที่ระบบความคิดของโรเอลนั้นได้ปิดตัวลงไปแล้ว เด็กชายจึงต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเค้นคำพูดออกมา กลับกันแล้ว อลิเซียจ้องมองไปที่โรเอลอย่างจดจ่ออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงเขากลับลงไปบนเตียง
“เมื่อวานนี้ พวกเราเล่นกันจนดึกดื่น พี่ใหญ่ควรนอนต่ออีกสักนิดนะคะ”
อลิเซียพึมพำอย่างงัวเงีย พร้อมซบไปที่อกของโรเอลแล้วหลับตาลงอีกครั้ง ลมหายใจอุ่น ๆ ของเธอกระทบเข้าที่ต้นคอของโรเอล ทำให้เขารู้สึกจั๊กกะจี้เล็กน้อย เมื่อมองไปที่ใบหน้าของอลิเซียและรูปร่างอันสวยงามของเธอ โรเอลพบว่าหัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ การหายใจของเด็กชายก็หนักขึ้นเล็กน้อย โรเอลกลืนน้ำลายลงคอไปหนึ่งคำ พร้อมกับความสงสัยที่ลอยอยู่ในใจของเขา
เมื่อคืนพวกเราเล่นอะไรกันงั้นเหรอ?