บทที่ 106: เจ้าเลือกข้างไหน ?
การประกาศของนอร่าทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ อลิเซียกะพริบตาไปมาอย่างงุนงง ส่วนโรเอลเองก็ตกอยู่ในความสับสนเช่นกัน ก่อนที่เด็กชายจะสะกิดนอร่าแล้วถามเธอเบา ๆ
“นอร่า ผู้พิทักษ์ที่ว่าหมายถึงอะไร?”
คำนี้ตามจริงแล้วไม่ได้ยากที่จะทำความเข้าใจ แต่ตระกูลเซไซต์นั้นมีชื่อเสียงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาคีผู้พิทักษ์ปีกแห่งแสง ผู้พิทักษ์ของมวลมนุษยชาติ ผู้ไกล่เกลี่ยของเหล่าขุนนางและอื่น ๆ อีกมากมายที่เข้าข่ายคำว่า ‘ผู้พิทักษ์’ ทำให้มันอาจมีความหมายแฝงแตกต่างจากที่เขาคาดไว้
อย่างไรก็ตาม โรเอลก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงแก๊งมาเฟีย หรือพวกยากูซ่าในอดีตชาติ ซึ่งคอยเก็บค่าคุ้มครองจากธุรกิจต่าง ๆ ในพื้นที่ของพวกเขา
“เป็นเวลาหลายสิบปีแล้วที่ ตระกูลเซไซต์ เรียกใช้นโยบายผู้พิทักษ์ครั้งล่าสุด ดังนั้นมันจึงไม่แปลกอะไรที่เจ้าจะไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้”
เมื่อนอร่ารู้ว่าทั้งสองไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังจะสื่อ เด็กสาวจึงรีบอธิบายอย่างละเอียด ก่อนจะหันไปหาโรเอลผู้ยืนอยู่ตรงหน้า และลูบใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน
“เจ้าจำสิ่งที่ข้าเคยบอกเจ้าในตอนนั้นได้ใช่ไหม? ที่ข้าบอกว่าจะคอยปกป้องและดูแลเจ้า ที่ข้าบอกว่าข้าคือผู้พิทักษ์ของเจ้า ตอนนี้ข้ามาเพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าแล้วยังไงล่ะ”
“ผู้ที่ได้รับการคุ้มครองจากตระกูลเซไซต์ ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่เคยตกเป็นเหยื่อของการลอบสังหารทางการเมือง ลูกของทหารที่เสียชีวิตในสนามรบ หรือนักการเมืองของต่างอาณาจักรที่ลี้ภัยเข้ามาที่จักรวรรดิเซนต์เมซิทของเรา อย่างไรก็ตามคนเหล่านี้มีสิทธิ์ได้รับการคุ้มครองเพียงแค่ระดับ 3 เท่านั้น…”
นอร่าเริ่มอธิบายให้โรเอลฟังถึง ‘นโยบายการคุ้มครองปกป้อง’ ของราชวงศ์
โดยรวมแล้ว การคุ้มครองของตระกูลเซไซต์มีสามระดับ ตั้งแต่ระดับที่ 3 ถึงระดับที่ 1
การคุ้มครองระดับที่ 3 มีไว้สำหรับผู้ที่ต่อสู้กับความอยุติธรรม หรือกำลังเผชิญกับการลดหย่อนโทษบางประการ เป็นเพียงการรับประกันว่าทางราชวงศ์จะเข้ามาแทรกแซงหากพวกเขาเป็นอะไรไป ระดับที่ 2 มีไว้สำหรับตระกูลขุนนางชั้นสูงที่กำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่อาจทำลายเสถียรภาพของจักรวรรดิเซนต์เมซิท หรือจักรวรรดิที่เผชิญภัยคุกคามจากลัทธิชั่วร้าย ส่วนสำหรับระดับที่ 1 นั้น…
… เป็นระดับการป้องกันที่สงวนไว้ให้สำหรับลูกหลานของตระกูลเซไซต์
แน่นอนว่าแต่ละระดับย่อมมีความแตกต่างกัน ซึ่งก็มีเหตุผลรองรับในทุกระดับ ทำให้การคุ้มครองที่แต่ละคนจะได้รับแตกต่างกันไปตามระดับต่าง ๆ นั้น
ในระดับที่ 3 การคุ้มครองที่มอบให้นั้นจะจำกัดอยู่เพียงการประกาศ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสามารถสรุปได้ว่าไม่ต่างอะไรไปจากการบอกว่า ‘พวกเรากำลังคุ้มครองเด็กคนนี้อยู่!’
สำหรับระดับที่ 2 ตระกูลเซไซต์ จะส่งกองกำลังบางส่วนออกไปเพื่อความปลอดภัยของเป้าหมายหรือขจัดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับเป้าหมาย
สุดท้ายก็คือ ระดับที่ 1 ที่สำคัญที่สุด ตระกูลเซไซต์จะระดมกองทัพส่วนตัวไปเพื่อปกป้องเป้าหมาย คล้ายกับกองทัพของราชองครักษ์ที่คอยปกป้องนอร่า
อย่างไรก็ตามดังที่นักปราชญ์ผู้เฉลียวฉลาดเคยกล่าวเอาไว้ ‘ไม่มีทางใดที่จะป้องกันโจรได้ในระยะยาว’ หรือก็คือบนโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการป้องกันโดยสมบูรณ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดใน ‘นโยบายการคุ้มครองปกป้อง’ ก็คือขั้นตอนในการปราบปราม
ผู้มีสิทธิ์ได้รับการคุ้มครองระดับ 3 ส่วนใหญ่นั้นเป็นพลเรือนของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายมากที่จะจัดการกับศัตรูของเป้าหมาย หากบุคคลที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของตระกูลเซไซต์ เสียชีวิตด้วยสาเหตุผิดธรรมชาติ จักรวรรดิเซนต์เมซิทจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อจับกุมผู้บงการและผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมดที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แล้วทำการลงโทษที่อาจสูงถึงโทษประหาร ขึ้นอยู่กับระดับของการมีส่วนร่วม
กลับกันแล้ว ผู้ที่ได้รับการคุ้มครองระดับ 2 ส่วนมากจะเป็นผู้คนของอาณาจักรอื่น ดังนั้นมันจึงไม่สะดวกเท่าไหร่สำหรับจักรวรรดิเซนต์เมซิทที่จะเข้าไปแทรกแซงในตอนที่เป้าหมายได้รับอันตราย อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิเซนต์เมซิทจะทำการขึ้นบัญชีดำประเทศและองค์กรทั้งหมดที่มีเกี่ยวข้อง และใช้มาตรการคว่ำบาตรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้เป็นเวลากว่าศตวรรษ ในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดจักรวรรดิเซนต์เมซิทอาจจะพิจารณาเปิดสงครามกับอาณาจักรดังกล่าวด้วยซ้ำ
สำหรับการป้องกันระดับสูงสุด ระดับที่ 1 นั้นค่อนข้างตรงไปตรงมา ศัตรูจะได้รับโทษสั่งจับตายแบบไม่มีกำหนดจากทางจักรวรรดิเซนต์เมซิท โดยผู้บังคับบัญชาสูงสุดของภาคีอัครสาวกทุกรุ่นจะอุทิศหัวใจและจิตวิญญาณของพวกเขา เพื่อทำลายองค์กรหรือบุคคลที่กล้าดูหมิ่นการปกป้องระดับ 1 ของจักรวรรดิเซนต์เมซิทเพราะนี่คือสาเหตุที่องค์กรของพวกเขาถูกก่อตั้งขึ้นมา
มันเป็นนโยบายที่สามารถสรุปได้สั้น ๆ ว่า ‘ไอ้เวร! พวกข้าจะไล่ตามล้างบางพวกแกไปจนถึงวันสิ้นโลก จนกว่าพวกแกทุกคนจะตาย!’
น่าแปลกที่ตระกูลเซไซต์ สามารถทำเช่นนั้นได้จริง ๆ มีองค์กรผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจำนวนมากในรายชื่อศัตรูของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ที่แม้ว่าพวกเขาจะมีกำลังพลมากมายมหาศาล แต่พวกเขาก็ไม่อาจทนต่อการไล่ล่าอย่างเต็มกำลังจากจักรวรรดิเซนต์เมซิทนานหลายปีโดยที่ไม่มีการหยุดยั้งใด ๆ ได้
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือการไล่ล่าอันไม่มีที่สิ้นสุดโดยไม่มีการกำหนดเส้นตาย ต่อให้เป้าหมายเหล่านั้นจะสามารถหลบหนีไปได้ แต่ความเครียดที่เกิดจากการถูกตามล่าอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้พวกเขาหมดสภาพลงในที่สุด
“ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกป้องคุ้มครองของพวกเราได้รับการยืนยันโดยสัญญาโบราณที่เขียนขึ้นโดยบรรพบุรุษของพวกเรา ตอนแรกมันถูกจัดให้เป็นเพียงระดับ 2 แต่เนื่องจากคำสัญญาส่วนตัวของข้ากับเจ้า มันจึงทำให้ระดับการป้องกันถูกยกระดับไปอีกขั้น”
“เดี๋ยวนะ นั่นหมายความว่ามันคือการป้องกันระดับ 1 งั้นเหรอ? แบบนี้ก็หมายความว่า…”
“ใช่แล้ว อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ การคุ้มครองที่เจ้าจะได้รับนั้นเทียบเท่ากับของสมาชิกราชวงศ์ ซึ่งหมายความว่านับแต่นี้ เจ้าก็เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันกับข้า ใครก็ตามที่คิดร้ายต่อเจ้าจะถูกมองว่าเป็นการหยามเกียรติข้าซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ของเจ้า”
โรเอลรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องราวทั้งหมดนี้มาก เด็กชายไม่คาดคิดเลยว่านอร่าจะเต็มใจทุ่มเทอำนาจอิทธิพลของราชวงศ์ เพื่อปกป้องเขาถึงขนาดนี้
นี่ทำให้โรเอลรู้สึกปลอดภัยเป็นอย่างมาก ในฐานะคนที่ถูกกำหนดให้เป็นวายร้ายในเนื้อเรื่องดั้งเดิมของเกมอาย ออฟ โครนิเคิล เป้าหมายของเขาคือการหักเดธแฟล็กออก และเพิ่มโอกาสในการเอาชีวิตรอดให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ การตัดสินใจในครั้งนี้ของนอร่าได้ช่วยผลักดันให้เด็กชายไปถึงครึ่งทางของเป้าหมายไม่มากก็น้อย
การมีจักรวรรดิเซนต์เมซิท นอร่า และ อลิเซีย อยู่เคียงข้างเขา แม้ว่าสองสาวเป้าหมายการจีบของตัวเอกที่เหลืออีกสองคนจะพยายามทำร้ายเขา แต่โรเอลก็มั่นใจได้ว่า เขาน่าจะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับอีกฝ่ายได้
“ขอบคุณมาก…นอร่า”
โรเอลตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จนพูดอะไรไม่ออก เขาจึงตัดสินใจที่จะตอบออกไปด้วยความจริงใจว่า ‘ขอบคุณ’ ซึ่งนอร่าก็ยิ้มตอบกลับคำพูดของเขา ก่อนที่จะหันไปมองอลิเซียที่กำลังหน้าซีด
“อลิเซีย เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม? ในฐานะผู้พิทักษ์ของโรเอล มันเป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา ดังนั้นนับจากนี้อย่าได้ใช้คำว่า ‘เรื่องภายในของตระกูลแอสคาร์ด’ เป็นข้ออ้างในการแยกข้าออกไปจะดีกว่านะ”
“ดิฉันเข้าใจแล้ว ดิฉันคงต้องยอมเกรงใจต่อวิธีการของฝ่าบาท”
อลิเซียกำหมัดแน่นพยายามควบคุมอารมณ์อย่างเต็มที่ เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนอื่นนอกจากเธอที่สังเกตเห็นความกลัวอันไม่มั่นคงในหัวใจของโรเอล จิตวิญญาณการต่อสู้ของเธอสะดุดลงเล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่ได้บั่นทอนความมุ่งมั่นของเธอลงเลยแม้แต่น้อย
“ฝ่าบาท แม้ว่าดิฉันจะไม่มีทั้งอำนาจและฐานะเท่าท่าน และไม่สามารถทำแบบเดียวกันกับที่ท่านสามารถทำได้ อย่างไรก็ตามท่านไม่สามารถผูกขาดท่านพี่ได้ด้วยวิธีนี้ ฝ่าบาทอาจจะใช้ตำแหน่งของท่านในฐานะผู้พิทักษ์ของท่านพี่เป็นข้ออ้างในการเข้าใกล้เขาได้ก็จริง แต่ดิฉันไม่คิดว่าท่านจะมีเวลาติดตามท่านพี่มากเท่าไหร่นัก ด้วยตารางงานอันแน่นหนาของท่าน”
คำพูดของอลิเซียทำให้นอร่าถึงกับขมวดคิ้ว นี่เป็นจุดอ่อนอันเจ็บปวดสำหรับเธอจริง ๆ ด้วยสถานะผู้สืบทอดของตระกูลเซไซต์ เด็กสาวมีหลายสิ่งหลายอย่างมากมายที่ต้องจัดการ ซึ่งเธอก็เข้าใจดีถึงเรื่องนี้เช่นกัน
ขณะที่กำลังสบตากับนอร่า อลิเซียก็ก้าวออกมาข้างหน้า เข้าไปกอดโรเอลจากด้านหลังก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
“กลับกันแล้ว ดิฉันสามารถอยู่เคียงข้างท่านพี่ได้ตลอดเวลา เพื่อรับรองความปลอดภัยของเขา หากเทียบกับมาตรการป้องปรามทั้งหมดที่ทำได้เพียงกอบกู้สถานการณ์หลังจากที่มีบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว จะดีกว่าไหมหากสามารถป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดขึ้นกับคนที่รักตั้งแต่มันยังไม่เริ่ม อย่างน้อย ๆ นี่ก็คือคำจำกัดความที่แท้จริงของการปกป้องในมุมมองของดิฉัน”
“อลิเซีย…”
โรเอลซาบซึ้งกับคำพูดของอลิเซียมาก แม้ว่าเด็กชายจะรู้ดีว่าเธอนั้นยังไม่ได้เติบโตเต็มที่และยังคงอ่อนแออยู่ แต่เพียงแค่ความรู้สึกก็มากเกินพอแล้วสำหรับเขา
อลิเซียสังเกตเห็นความเข้าใจผิดของโรเอล แต่เด็กสาวก็ไม่คิดว่าตนเองจำเป็นจะต้องอธิบายอะไร เพราะส่วนตัวแล้วอลิเซียคิดว่าตัวเธอในตอนนี้นั้นยังอ่อนแอเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคู่แข่งของเธอคือนอร่าผู้สูงส่ง เด็กสาวยังต้องพยายามอีกมาก เพื่อปิดช่องว่างนี้
แม้โรเอลจะรู้สึกประทับใจกับท่าทีของสาว ๆ ทั้งสองคน แต่เด็กชายก็ไม่กล้าที่จะขยับตัวเลยแม้แต่น้อย เขาอยู่ในตำแหน่งอันแปลกประหลาด ครึ่งหน้าของร่างกายของเขาถูกดึงจนเกือบกดทับร่างของนอร่า ในขณะที่ครึ่งหลังถูกโอบกอดโดยอลิเซีย เด็กสาวทั้งสองต่างจ้องมองไปที่โรเอลเขม็ง ไม่มีใครยอมถอยเลยสักก้าว
เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้โรเอลนึกถึงภาพของเทพธิดาแห่งทะเลสาบกำลังเรียกหาเขา เจ้าทำเด็กสาวผมทอง เด็กสาวผมเงิน หรือเด็กสาวผมทองแดง? โอ้ เดี๋ยวก่อนสิ ไม่มีเด็กสาวผมทองแดงนี่นา
โรเอลพยายามอย่างสุดความสามารถแสร้งทำเป็นตาย โดยหวังว่าเด็กสาวทั้งสองจะคิดว่าเขาเป็นเพียงหมอนหนุนในมือของพวกเธอ เด็กชายไม่ต้องการที่จะมีส่วนร่วมในเรื่องนี้เลยสักนิด น่าเสียดายที่ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายกว่านั้นมาก
“โรเอล เจ้าคิดว่าใครเป็นฝ่ายถูกงั้นเหรอ?”
“ท่านพี่ ดิฉันพูดอะไรผิดไปรึเปล่าคะ?”
เมื่อต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งทางร่างกายและจิตใจจากด้านหน้าและด้านหลัง โรเอลคิดว่าเขาใกล้จะสติแตกเต็มที เขามองกลับไป ๆ มา ๆ ระหว่างสองสาว ความรู้สึกสิ้นหวังคืบคลานเข้ามา ราวกับจะลากเขาเข้าไปยังส่วนลึกของนรก
ทันใดนั้นเอง เสียงจากสวรรค์ ก็บรรเลงลงมาจากท้องฟ้า
“นายน้อย อาหารกลางวันพร้อมแล้วค่ะ ท่านมาร์ควิสมารอท่านอยู่ก่อนแล้ว”
“อ่า เข้าใจแล้ว พวกเรากำลังจะไป!”
เสียงของแอนนาไม่เคยฟังดูไพเราะขนาดนี้มาก่อน โรเอลตอบสาวใช้กลับไปด้วยเสียงดังฟังชัดอย่างโล่งใจ ในที่สุดเขาก็ได้รับการปลดปล่อยจากขุมนรกนี้เสียที
…
“ท่านลุงคาร์เตอร์ ขอบคุณสำหรับการต้อนรับอันอบอุ่นของท่าน”
ณ ห้องรับประทานอาหาร นอร่ากล่าวขอบคุณมาร์ควิสคาร์เตอร์ด้วยรอยยิ้ม หลังจากทานอาหารเสร็จ ทัศนคติอันจริงใจและน้ำเสียงสุภาพอ่อนน้อมของเธอ ช่างเหมาะสมกับภาพลักษณ์ในฐานะองค์หญิงผู้สง่างาม ซึ่งคาร์เตอร์เองก็พอใจกับทัศนคติที่น่าพึงพอใจนี้
“ฝ่าบาทก็กล่าวเกินจริงไป เป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับพวกเรามากกว่า ที่ได้ท่านมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกันในวันนี้”
การแลกเปลี่ยนความยินดีและการเยินยอถือเป็นมาตรฐาน เมื่อใดก็ตามที่สมาชิกของราชวงศ์ได้ไปเยี่ยมคฤหาสน์ของผู้สูงศักดิ์ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คาร์เตอร์ต้องรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ ตอนนี้เขาจึงคุ้นเคยกับมันแล้ว อย่างไรก็ตามสิ่งที่แตกต่างออกไปในครั้งนี้ก็คือรอยยิ้มของเขานั้นมาจากใจจริง
นั้นก็เพราะนอร่ามีทัศนคติว่าตัวเธอถือเป็นรุ่นน้องที่เด็กกว่าคาร์เตอร์ ความอ่อนน้อมถ่อมตนของเธอช่วยทำแต้มบวกให้กับหัวใจของคาร์เตอร์ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าเขาจะทราบถึงเจตนาเบื้องหลังการกระทำของเด็กสาวแล้วก็ตาม
มาร์ควิสชำเลืองมองไปที่โรเอล ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่นักในวันนี้ พลางสงสัยว่าบุตรชายของเขามีมนต์เสน่ห์แบบใดกัน ถึงจะสามารถจับกุมหัวใจของผู้สืบทอดสายเลือดแห่งทูตสวรรค์มาได้
หลังจากนั้นจอมเวทก็หันไปมองที่อลิเซีย ซึ่งเงียบไปตลอดช่วงเวลามื้ออาหาร พร้อมถอนหายใจแทนเธออย่างอดไม่ได้
สาวน้อย ดูเหมือนว่าเธอจะมีศัตรูผู้น่าเกรงขามที่ต้องเอาชนะให้ได้เสียแล้ว คาร์เตอร์คิดอย่างสงสาร
ในฐานะพ่อบุญธรรมของอลิเซียและอาจารย์ เขาย่อมชื่นชอบอลิเซียมากกว่า อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเพียงแค่ความชอบส่วนตัว หากเขาคิดที่จะก้าวเข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้ล่ะก็ มันคงจะไม่ดีเท่าไหร่
เพราะคาร์เตอร์คงจะรู้สึกแย่มากแน่ ๆ ถ้าตนเข้าไปขัดขวางในเส้นทางของนอร่า หลังจากที่เธอปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพเป็นอย่างดีเช่นนี้
ท้ายที่สุดมันเป็นเรื่องที่พวกเด็ก ๆ จะต้องตัดสินใจกันเอง ดังนั้นคาร์เตอร์ก็จะไม่เข้าไปก้าวก่าย
หลังจากปรากฏตัวขึ้นในห้องอาหาร คาร์เตอร์ก็รีบหาข้ออ้างหนีออกไปจากที่เกิดเหตุในทันทีที่สบโอกาส ปล่อยให้โรเอลตกอยู่ในความเซื่องซึมอีกครั้ง
เมื่อคาร์เตอร์จากไปได้สักพัก นอร่าก็เปิดเผยเหตุผลเบื้องหลังการมาเยี่ยมในครั้งนี้ของเธอ
“โรเอล ข้าอยากจะคุยกับเจ้าเรื่องบรรพบุรุษของพวกเรา”