บทที่ 109: ท่านอยู่ที่ไหนกัน ?
“เมื่อคืนท่านเห็นเทพเจ้าโบราณฟื้นขึ้นมางั้นเหรอ? อา ข้าเข้าใจแล้ว”
ณ บริเวณชายป่า ท่ามกลางกลุ่มคนนอกรีตที่ถือดาบอยู่ในมือ ร็อดนีย์ผู้ยังเดือดดาลตอบสนองต่อคำพูดของวู้ดอย่างเบาบาง ราวกับกำลังล้อเลียนคนแก่
วู้ดคืออดีตหัวหน้าหมู่บ้านคนก่อน ซึ่งเป็นผู้นำของชาวบ้านมานานหลายปีก่อนที่ร็อดนีย์จะเกิดด้วยซ้ำ เขาเกษียณอายุแล้วหลังจากส่งต่อตำแหน่งของเขาให้กับร็อดนีย์ แต่เนื่องจากวิกฤตครั้งใหญ่ที่หมู่บ้านต้องเผชิญการบุกรุกจากลัทธิชั่วร้าย ร็อดนีย์จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอความช่วยเหลือจากเขา
แม้ว่าวู้ดจะมีอายุมากแล้ว แต่ในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 เขาก็ยังอยู่ในขอบเขตที่สามารถจัดการกับผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายระดับแก่นแท้ 4 สองคนได้สบาย ๆ อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกันกับร็อดนีย์ วู้ดเองก็ต้องรับผลข้างเคียงอันหนักหน่วงหลังจากใช้พลังในการต่อสู้เหมือนกัน…
พูดง่าย ๆ ก็คือวู้ดเป็นคนเสื่อมสภาพสติเฟื่อง แต่สำหรับคนที่มาจากโลกในอดีตชาติของโรเอล มักจะเรียกอาการนี้ว่าการ “ชราภาพ”
ดังนั้นเมื่อวู้ดร่อนลงมาจากท้องฟ้าแล้วเริ่มเดินเตร่อย่างมั่นใจมาหาร็อดนีย์ พร้อมบอกว่าเทพเจ้าโบราณของพวกเขาได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว ความคิดแรกของร็อดนีย์ก็คืออาการป่วยของชายชราคนนี้กำเริบอีกแล้วสินะ ทว่าเนื่องจากวู้ดเป็นหัวหน้าหมู่บ้านคนก่อน ร็อดนีย์ผู้มีมารยาทจึงตัดสินใจเล่นตามน้ำไปกับชายชราเพื่อไม่ให้เขาโกรธ
“ใช่แล้ว ข้าเข้าใจแล้ว ท่านพูดถูก”
“เจ้าบ้า ข้ากำลังพูดเรื่องจริงอยู่นะ! ข้าชดใช้ค่าใช้จ่ายพลังเหนือธรรมชาติของข้าเรียบร้อยแล้ว หยุดมองมาที่ข้าเหมือนข้าเป็นคนบ้าได้แล้วน่า!”
“ใช่แล้ว ท่านอดีตหัวหน้าหมู่บ้าน ทุกสิ่งที่ท่านพูดถูกต้อง มีอะไรอีกไหม?”
“… ไอ้เด็กบ้า! คุริ บอกเขาไปสิ!”
เมื่อเห็นว่าร็อดนีย์ปฏิบัติกับเขาเหมือนคนแก่ในวัยชรา วู้ดก็โกรธจัด เขาเริ่มตบหน้าอกตัวเองเพื่อบรรเทาความรู้สึกอึดอัดของเขา จากนั้นก็ดึงร่างของชายหนุ่มผมสีฟ้าที่มีชื่อว่าคุริมาข้างหน้าเพื่อรับรองคำพูดของเขา คุริลูบขนของสุนัขในอ้อมแขนก่อนจะเริ่มพูดขึ้น
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน สิ่งที่ท่านอดีตหัวหน้าหมู่บ้านกล่าวมาเป็นความจริงขอรับ ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ผู้ที่มีพลังทางจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งในหน่วยลาดตระเวนของเราเองก็เห็นนิมิตเมื่อคืนนี้เช่นกัน พวกเราได้มารวมตัวกันเพื่อบรรยายสิ่งที่เราเห็น ปรากฏว่านิมิตที่พวกเราทุกคนเห็นนั้นเหมือนกันทั้งหมดขอรับ”
ดูเหมือนว่าจอมเวทผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทุกคนในหมู่บ้านต่างก็ได้รับนิมิต ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อยนิดหน่อยในการแสดงภาพ แต่โดยรวมแล้วพวกเขาล้วนได้เห็นสิ่งเดียวกันทั้งหมด
“เด็กชายตัวเล็ก ๆ ยืนอยู่บนไหล่ของโครงกระดูกขนาดมหึมางั้นเหรอ? เจ้าพูดความจริงใช่ไหม?… เจ้าแน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้จริง ๆ งั้นเหรอ?”
ในที่สุดร่างกายของร็อดนีย์ก็เย็นลงพอที่จะไม่พ่นไอน้ำออกมา และรอยสีแดงเองก็เริ่มลดลงเช่นกัน เขาเริ่มถามรายละเอียดด้วยใบหน้าอันสับสนและสงสัย แต่คำตอบที่เขาได้รับกลับไม่เป็นที่พอใจเท่าไหร่นัก
โครงกระดูกขนาดมหึมาอาจหมายถึงศพของยักษ์ ส่วนเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่ยืนอยู่บนไหล่นั้น… ไม่ว่าร็อดนีย์จะพยายามวิเคราะห์อย่างไร มันก็เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์อันเท่าเทียมกัน มนุษย์จะไปมีความสัมพันธ์เท่าเทียมกับยักษ์ได้อย่างไร?
ยักษ์นั้นถูกมองว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่เท่าเทียมกับทูตสวรรค์ในตำนาน ตัวตนของพวกเขาไม่ต่างอะไรไปจากพระเจ้าของมนุษย์! ตัวตนระดับนั้นจะยอมให้มนุษย์ยืนบนไหล่ของตัวเองได้อย่างไร?
“แต่มันเป็นร่างของเด็กผู้ชายจริง ๆ นะขอรับ หากตัดสินจากส่วนสูงร่างกายของเขาแล้วล่ะก็ ไม่ผิดแน่! เพียงแต่ พวกเราไม่สามารถเห็นใบหน้าของเขาได้ก็เท่านั้นเอง”
“นั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรหรอก คุริ ตัวตนอันทรงอำนาจไม่ใช่อะไรที่ใคร ๆ จะมาทัดเทียมได้ มีโอกาสที่เด็กน้อยคนนั้นจะเป็นทูตของพระผู้เป็นเจ้า!”
“ทูตของพระผู้เป็นเจ้า? ท่านกำลังหมายถึงบุตรศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว บุตรศักดิ์สิทธิ์!”
“เดี๋ยวก่อนนะ เดี๋ยวก่อน ขอเวลาให้ข้าสักครู่”
ร็อดนีย์ยืนขวางหน้าและหยุดชายทั้งสองที่กำลังกระวนกระวายใจจนมากเกินไปเอาไว้ ด้วยการยกมือขึ้น ก่อนจะคิดทบทวนแยกแยะความคิดของเขา
เป็นที่ทราบกันดีว่าพวกนอกรีตนั้นมีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดที่แตกต่างไปจากคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดหลักสามประการ อีกทั้งยังนับถือศาสนาที่แตกต่างไปจากโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างอีกด้วย อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่า พวกนอกรีตทุกคนจะศรัทธาในศาสนาลัทธิของตนเองอย่างเคร่งครัด
มีเหตุผลสองประการสำหรับสิ่งนั้น
ประการแรกอัตลักษณ์ของพวกเขาในฐานะ พวกนอกรีตแทบจะไม่ได้นำมาซึ่งประโยชน์ใด ๆ แก่พวกเขาเลย ประการที่สอง เทพเจ้าที่พวกเขาได้บูชานั้น ส่วนมากได้หายสาบสูญไปจากพื้นโลกแล้ว เหลือไว้เพียงคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดและเส้นทางวิวัฒนาการของมนุษย์เท่านั้น
หมู่บ้านของร็อดนีย์อยู่ในกลุ่มผู้ใช้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งความแข็งแกร่ง พวกเขาส่วนใหญ่มีความเคารพต่อเทพเจ้าโบราณในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามความเคารพนี้ไม่ได้ต่างอะไรไปจากความเคารพผู้ตายสักเท่าไหร่ และพวกเขาก็ไม่ได้อยากเห็นการกลับมาของเทพเจ้าโบราณด้วยเช่นกัน
หากต้นกำเนิดของคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งความแข็งแกร่งกลับมา พวกเขาในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่มีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งความแข็งแกร่ง ย่อมได้รับอิทธิพลไม่ในทางใดก็ทางหนึ่ง
ในแง่บวก การฟื้นคืนของเทพเจ้าโบราณจะช่วยเสริมสร้างพลังให้กับเส้นทางการวิวัฒนาการของพวกเขา ซึ่งจะทำให้พลังของพวกเขาพุ่งสูงขึ้นไปอีก หากเปรียบเทียบ ก็ค่อนข้างคล้ายกับชายสมัยใหม่ที่มาปรากฏตัวท่ามกลางกลุ่มมนุษย์ถ้ำดึกดำบรรพ์ แสดงให้พวกเขาเห็นถึงหนทางข้างหน้า
ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้จุดกำเนิดนี้มากเท่าไหร่ ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น และความก้าวหน้าของพวกเขาเองก็จะยิ่งราบรื่นยิ่งขึ้น
กลับกันแล้ว ในแง่ลบ เทพเจ้าโบราณเป็นตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวที่ยืนอยู่บนจุดสุดยอดของเส้นทางวิวัฒนาการ พวกเขาสามารถใช้เสียงสะท้อนสั่นพ้องกับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด ส่งอิทธิพลต่อไปยังผู้ที่อยู่ภายใต้การชี้นำของเขา ยกตัวอย่างเช่น พวกนอกรีตที่เปลี่ยนไปเป็นลัทธิชั่วร้าย
ไม่ใช่ว่าผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายทุกคนจะกลายเป็นผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายด้วยความเต็มใจ บางทีมันก็เกิดจากเทพเจ้าโบราณที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา สั่งให้พวกเขาตกลงสู่ความเลวทรามต่ำช้า
ปัจจัยดังกล่าวเป็นอะไรที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมมนุษย์ส่วนใหญ่จึงปฏิเสธคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดอื่น ๆ ทั้งหมดนอกเหนือจากคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดหลักสามประการ ตอนนี้ ร็อดนีย์ และคนอื่น ๆ ก็กำลังเผชิญกับความเสี่ยงดังกล่าวอยู่เช่นกัน
“จากสิ่งที่พวกเราเห็นในนิมิต เขาไม่ได้มีเจตนาที่จะควบคุมเรา แต่เป็นไปได้ว่าการดำรงอยู่ของพวกเราจะเลือนลางเกินกว่าที่จะดึงดูดความสนใจของเขาด้วยเช่นกัน”
วู้ดกล่าวพลางลูบเคราของเขา
เช่นเดียวกับที่มนุษย์ไม่สนใจการจ้องมองของมด มันเป็นเรื่องปกติที่ตัวตนอันสูงส่งจะไม่สนใจมนุษย์ที่ไม่สำคัญ อย่างไรก็ตามนี่ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณที่ดี เนื่องจากการขาดความสนใจย่อมหมายความว่าตัวตนผู้สูงส่งนั้นไม่มีเจตนาที่จะควบคุมพวกเขา
“ถ้าหากพวกเราสามารถเข้าไปพบกับบุตรศักดิ์สิทธิ์ หรือเด็กน้อยคนนั้นได้ บางทีพวกเราอาจจะสามารถวิงวอนขอความคุ้มครองจากเทพเจ้าโบราณ ผ่านทางเขาได้ อย่างไรก็ตามนอกจากนิมิตนี้แล้ว เราไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่ไหน…”
วู้ดถอนหายใจพร้อมกับขมวดคิ้ว ข้อมูลของพวกเขานั้นยังน้อยเกินกว่าที่พวกเขาจะตัดสินใจอะไรได้
ร็อดนีย์ใช้เวลาในการจัดระเบียบข้อมูลที่เขามีอยู่ในใจก่อนจะพูดออกมา
“ข้าได้รับทราบเรื่องนี้แล้ว ทว่า เราไม่มีเวลาจะมาจัดการกับปัญหาของบุตรศักดิ์สิทธิ์และเทพเจ้าโบราณ สมาคมพ่อค้ามาร์ธ่ากำลังจับตาดูพวกเราอยู่ จากท่าทีของพวกมัน พวกมันต้องการที่ชิงเกล็ดของเทพงูไปโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไร ข้าได้สอบปากคำผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายคนหนึ่งก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลต้องการจะซื้อมันด้วยเงินมหาศาล “
“เจ้ากำลังจะบอกว่ามีกลุ่มผู้มีอิทธิพลอื่นอยู่เบื้องหลังสมาคมพ่อค้ามาร์ธ่างั้นเหรอ?”
“มิน่า ทำไมพวกลัทธิชั่วร้ายถึงมารังควานพวกเราไม่หยุด!”
สีหน้าของวู้ดและคุริดูเคร่งขรึม สิ่งที่ควรสนใจก่อนในตอนนี้คือทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะเอาชีวิตรอดจากลัทธิชั่วร้ายและสมาคมพ่อค้ามาร์ธ่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องมีลัทธิชั่วร้ายหลายลัทธิคอยสนับสนุนอยู่ และไม่มีใครรู้ว่าอีกฝ่ายมีกองกำลังทรัพยากรมากแค่ไหน แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขามั่นใจก็คือหมู่บ้านเล็ก ๆ ของพวกนอกรีตเช่นพวกเขา ที่ไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับการเติบโตพัฒนา คงไม่มีโอกาสสู้กับพวกเขาไหว
“เราควรลองขอความช่วยเหลือจากหมู่บ้านอื่น ๆ ที่เป็นพันธมิตรไหม?”
“นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของหมู่บ้านเรา พวกพันธมิตรจะขอมีส่วนร่วมในเรื่องนี้เหรอ”
“พวกเขาไม่สนใจหรอกว่าพวกเราจะอยู่หรือตาย อันที่จริงแล้วพวกเขาอาจจะมาขอให้เรามอบเกล็ดของเทพงูให้กับพวกเขาด้วยซ้ำ”
ทั้งสามคนเงียบไปพักใหญ่ ๆ ตอนนี้พวกเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตมากจริง ๆ วิธีแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดคือการมอบเกล็ดของเทพงูให้อีกฝ่ายไป แต่นั่นก็ไม่ใช่ทางเลือกสำหรับพวกเขา
เนื่องจากความปลอดภัยที่ได้รับจากอุปกรณ์เวทนี้ หมู่บ้านของร็อดนีย์จึงไม่เคยต้องเผชิญกับการโจมตีขนาดใหญ่จากสัตว์อสูรในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาเพิ่มจำนวนประชากรได้เป็นอย่างมาก
น่าเสียดายที่พวกเขากำลังอยู่ในช่วงที่อ่อนแอ เพราะคนรุ่นใหม่นั้นยังไม่โตเต็มที่แม้ว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากก็ตามที ด้วยเหตุนี้กองกำลังรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านจึงเคร่งเครียดกันมาก พวกเขามีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติไม่เพียงพอที่จะปกป้องผู้คนมากมายขนาดนี้ เหตุผลเดียวที่พวกเขายังคงปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะการปกป้องจากเกล็ดของเทพงู
ถ้าพวกเขามอบเกล็ดของเทพงูให้อีกฝ่าย มันจะกลายเป็นการเปิดฉากโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของหมู่บ้าน ผู้คนนับไม่ถ้วนจะต้องเสียชีวิตจากการโจมตีของสัตว์อสูร และพวกเขาอาจจะต้องเจอกับสถานการณ์ที่แย่ลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“ย้ายถิ่นฐานกันเถอะ ถ้าพวกเราย้ายเข้าไปยังส่วนลึกของภูเขา แล้วพยายามอยู่รอดให้ได้ถึงฤดูใบไม้ผลิได้ล่ะก็ บางทีพอไม่มีผลลัพธ์ใด ๆ มานานสามเดือน บางทีกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังสมาคมพ่อค้ามาร์ธ่าอาจยอมแพ้ที่จะซื้อเกล็ดของเทพงูไปก็ได้”
เมื่อไม่มีทางเลือกร็อดนีย์จึงทำได้เพียงเลือกที่จะหลบหนี ยื้อเวลาไว้ ทั้งวู้ดและคุริต่างก็ไม่ได้คัดค้านอะไรการตัดสินใจของเขา อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถที่จะปะทะกับสมาคมพ่อค้ามาร์ธ่าได้ตรง ๆ ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหลังจากฤดูใบไม้ผลิแล้วพวกเขายังไม่ยอมแพ้? หมู่บ้านของพวกเรามีคนมากเกินไป พวกเราไม่สามารถจัดหาอาหารให้เพียงพอจากการล่าสัตว์ป่าในภูมิภาคนี้ได้แน่ ๆ”
“… อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด พวกเราจะซ่อนตัวอยู่บนภูเขา เริ่มทำฟาร์มที่นั่นเพื่อปลูกอาหารของพวกเราเอง แม้ว่าเราจะไม่ต้องกังวลเรื่องจะถูกสัตว์ร้ายโจมตี แต่มันก็ยังยากที่พวกเราจะเอาชีวิตรอดจากหมอกพิษอันหนาแน่นที่นั่นได้อยู่ดี”
ร็อดนีย์กล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล
“ถ้าอย่างนั้นข้าว่า พวกเราควรส่งคนออกไปตามหาบุตรศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขอความช่วยเหลือดีไหม?”
คุริเสนออย่างระมัดระวัง
ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าการฟื้นคืนของเทพเจ้าโบราณในช่วงเวลาอันวุ่นวาย ถือเป็นกลไกของโชคชะตาอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตามข้อเสนอของเขาก็ต้องพบกับความเงียบสันจากทั้งร็อดนีย์และวู้ด
การขอความช่วยเหลือจากบุตรศักดิ์สิทธิ์ หรือพูดให้ถูกกว่านั้นก็คือเทพเจ้าโบราณ เป็นการพนันที่เสี่ยงมาก ถ้ามันได้ผลพวกเขาจะเต็มไปด้วยความสงบสุขเปรมปรีดิ์ อย่างไรก็ตามหากพวกเขาเดิมพันพลาด พวกเขาอาจจะต้องกลายเป็นเพียงหุ่นเชิดของเทพเจ้าโบราณ แม้แต่วู้ดที่มักจะมองโลกในแง่ดีก็ยังไม่สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ
“เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้บุตรศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน คิดซะว่ามันเป็นทางเลือกสุดท้ายก็แล้วกัน”
ร็อดนีย์ตอบ
วู้ดพยักหน้าเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขา คงจะเป็นการดีกว่าสำหรับพวกเขาที่จะไม่เดิมพันชะตากรรมของคนทั้งหมู่บ้านไปกับความเสี่ยงนี้
“มันคงจะเป็นเรื่องดี หากบุตรศักดิ์สิทธิ์มีอยู่จริง และสามารถมอบการปกป้องจากเทพเจ้าโบราณให้แก่พวกเราโดยที่ไม่มีการกดขี่ แต่ว่า มันเป็นไปได้จริง ๆ เหรอ?”
ร็อดนีย์ส่ายหัวอย่างสงสัย ในสมัยที่เขาเดินทางไปทั่วโลก เขาเคยได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับพวกนอกรีตที่ตกลงสู่ความเสื่อมทรามจนกลายเป็นพวกลัทธิชั่วร้าย ทำให้เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ไว้วางใจในเทพเจ้าโบราณของเขา นอกจากนี้เขายังไม่เชื่อด้วยว่าจะมีมนุษย์ใดในโลกที่สามารถยืนเคียงข้างตัวตนระดับนั้นได้
ทั้งวู้ดและคุริเองก็เข้าใจในสิ่งที่ร็อดนีย์สื่อ หากที่พวกเขาเห็นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ทรงพลังแล้วล่ะก็ อาจจะยังพอมีความเป็นไปได้ว่าเทพเจ้าโบราณจะมองว่าพวกเขาเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตามมันดูจะเกินจริงไปหน่อย ที่เทพเจ้าโบราณจะคิดว่าเด็กน้อยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเท่าเทียมกับเขา
“เฮ้อ พวกเรามาเตรียมการอพยพกันก่อนดีกว่า หากสิ่งที่พวกเราเห็นในนิมิตนั้นเป็นความจริงล่ะก็ พวกเราก็คงจะได้เห็นนิมิตอีกแน่ในอนาคต”
วู้ดมองออกไปในระยะไกลด้วยดวงตาสีเทาของเขา ได้แต่สงสัยเกี่ยวกับอนาคตของเหล่าพี่น้องร่วมหมู่บ้านด้วยความกังวลและความคาดหวังผสมกัน
“มารอดูกัน อย่างน้อย ๆ ก็จนกว่าพวกเราจะสามารถยืนยันที่อยู่ของบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้”