บทที่ 111: มันคือโชคชะตาที่เจ้าต้องการ
บนที่ราบสีแดงเข้มที่ห่างหายไปนาน โรเอลยืนอยู่บนไหล่ของกรันด้า มองไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินสะท้อนแสงสว่างไปบนพื้นดินระยิบระยับ
ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้าโบราณหรือยักษ์ พวกเขาต่างก็เป็นตัวตนอันสูงส่งและน่าเกรงขาม หากเป็นในสมัยโบราณคงมีเพียงแค่ตัวตนระดับสูงด้วยกันเท่านั้นที่จะได้รับเกียรติยืนบนไหล่ของยักษ์เช่นนี้
ตัวตนกระจ่อยร่อยเฉกเช่นมนุษย์ มีค่าคู่ควรได้แค่ก้มลงกราบบนพื้นรอให้พวกยักษ์เดินผ่านไปเท่านั้น
ข้อสงสัยที่ร็อดนีย์และชาวบ้านคนอื่น ๆ ต่างคาใจนั้นถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามนุษย์นั้นไม่มีทางสามารถเทียบเคียงกับตัวตนระดับสูงที่ปกครองโลกมาตั้งแต่ยุคโบราณได้
หากมองจากความก้าวหน้าของพลังเหนือธรรมชาติเป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการพัฒนาอารยธรรมแล้วล่ะก็ เผ่าพันธุ์มนุษย์คงจะเทียบได้กับยุคเหล็ก ซึ่งล้าหลังกว่าคนอื่น ๆ มากเสียจนพวกเขาทำได้แค่ไล่ตามรอยเท้าของเผ่าพันธุ์ที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ได้สำคัญเลยสำหรับโรเอล ปัจจุบันเด็กชายถือเป็นสหายที่เซ็นสัญญาเทียบเคียงเสมอภาคกับกรันด้า ดังนั้นการยืนบนไหล่ของอีกฝ่ายจึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอะไร อันที่จริงการทำเช่นนี้ช่วยให้การสนทนาสะดวกมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“กรันด้า ฉันสงสัยมาสักพักแล้ว ฉันสงสัยจริง ๆ ว่าทำไมพวกเราถึงมาเจอกันได้”
ผ่านมากว่าครึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่พวกเขาเจอกันในสถานะผู้เฝ้ามอง โรเอลรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบเจอกับสหายโครงกระดูกของเขาในความฝันอีกครั้ง และสิ่งนี้ได้ยืนยันความสงสัยของเขาแล้วว่าอีกฝ่ายสามารถปรากฏตัวในโลกแห่งความเป็นจริงได้เช่นกัน
“หากพลังสายเลือดของฉัน สามารถทำให้ฉันเข้าไปในบันทึกประวัติศาสตร์ กลายเป็นผู้เฝ้ามองในสถานที่ต่าง ๆ ที่มนุษย์ลืมเลือนไปแล้วได้ล่ะก็ ความเชื่อมโยงของพวกเราเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน? นายตายไปนานแล้วงั้นเหรอ?”
โรเอลลูบคางของเขาอย่างครุ่นคิด
ยักษ์ได้หายไปโดยสมบูรณ์แล้วในยุคของจักรพรรดินีวิกตอเรีย ซึ่งเป็นยุคที่สาม และกรันด้าเองก็เคยบอกแล้วด้วยว่า ตัวเขาได้ล่วงลับไปนานมากแล้ว ดังนั้นมันน่าจะมีตัวเร่งปฏิกิริยาบางอย่างที่เชื่อมโยงพวกเขาเข้าด้วยกัน
มันเป็นความสามารถทางสายเลือดของเรางั้นเหรอ? แต่ถ้าเป็นในกรณีนั้นล่ะก็ ความสามารถทางสายเลือดของเรา เกี่ยวข้องอะไรกับกรันด้าล่ะ? ไม่ใช่ว่าสุ่มเอาเล่น ๆ ใช่ไหม
คำถามของโรเอลทำให้กรันด้าเงียบไป เขาใช้มือโครงกระดูกขนาดใหญ่ลูบหัวโล้น ๆ ของตัวเองเหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่ลึก ๆ
“ตั้งแต่ที่ข้าตายไป จนกลายมาเป็นข้าในตอนนี้ ข้าสูญเสียความทรงจำไปมากมาย ข้ารู้สึกว่าหัวของข้านั้นว่างเปล่า”
กรันด้าบ่นด้วยความหงุดหงิด
โรเอลพยักหน้าเห็นด้วยหลังจากได้ยินคำอธิบายดังกล่าว
ว่างเปล่า? แน่นอนสิว่านายต้องรู้สึกอย่างนั้น! ก็ตอนนี้นายไม่มีอะไรเหลืออยู่ในหัวกะโหลกเลยยังไงล่ะ!
ขณะที่โรเอลกำลังคิดตอบโต้กลับในใจ กรันด้าเริ่มนึกถึงสิ่งที่เขาพอจะจำได้
“ข้าเจอคนแบบเจ้ามาหลายคนแล้ว”
“คนเหมือนฉันงั้นเหรอ?”
“ใช่ ข้ากำลังหมายถึงผู้ที่สามารถเข้าสู่ที่ราบแห่งพระอาทิตย์ตกดินนิรันดร์นี้ได้เฉกเช่นเจ้า”
ความทรงจำของกรันด้า ย้อนกลับไปในสมัยที่มีผู้บุกรุกเข้ามายังที่ราบแห่งนี้เมื่อหลายปีก่อน
“ข้าจำได้ว่ามีราว ๆ 5 หรือ 6 คนเนี่ยแหละ ปัญหาก็คือข้าจำรูปลักษณ์ของพวกเขาไม่ได้ ที่พอจะจำได้ก็คือพวกเขาทั้งหมดล้วนแต่งกายแตกต่างกันไป ข้าคิดว่าพวกเขาไม่น่าจะมาจากอาณาจักรเดียวกัน”
“… อา ฉันคิดว่าบางทีพวกเขาไม่ได้มาจากยุคเดียวกันเลยด้วยซ้ำ”
“อืม นั่นมันก็เป็นไปได้เช่นกัน แนวคิดเรื่องเวลาของข้าไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่”
กรันด้าลูบมงกุฎบนศีรษะ จากนั้นแสงวูบวาบก็เปล่งออกมาจากข้างในดวงตาอันกลวงโบ๋ของเขา ส่งเขาเข้าสู่เส้นทางแห่งความทรงจำ
“พวกเขามีพลังที่คล้ายคลึงกับของเจ้ามาก ในบรรดามนุษย์พวกนั้น มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ค่อนข้างจะน่าเกรงขาม”
“ค่อนข้างน่าเกรงขาม?”
โรเอลรู้สึกประหลาดใจกับการประเมินของกรันด้า เขาเคยเห็นพลังของกรันด้ามาก่อน และบุคคลที่เขาถือว่า ‘ค่อนข้างน่าเกรงขาม’ ก็น่าจะเป็นหนึ่งในผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่โด่งดังในยุคของเธอ
“เดี๋ยวนะ ถ้ามีคนท่าทางน่าเกรงขามเข้ามาหานาย ทำไมนายไม่เลือกเธอล่ะ?”
“ก่อนที่จะสนใจฟังคำถามของข้า นางก็เริ่มคุยโวเกี่ยวกับวิกฤตการณ์บางอย่าง เน้นย้ำว่าความช่วยเหลือจากข้าเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่นางไม่ใช่สาวกในลัทธิของข้า ข้าจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือนาง”
“เข้าใจแล้ว… โอ้? เดี๋ยวสิ นายพูดถึงสาวกงั้นเหรอ? ลัทธิอะไร?”
คำพูดเกี่ยวกับลัทธิและความเชื่ออย่างกะทันหันของกรันด้า ทำให้โรเอลหันศีรษะอย่างสงสัย
เพื่อเป็นการตอบคำถามนั้น กรันด้า จึงได้เริ่มอธิบายว่ามนุษย์ส่วนใหญ่เข้ากันได้ดีกับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดหลักสามประการ ซึ่งเผ่าพันธุ์ยักษ์เองก็มีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดที่เข้ากันได้ดีกับพวกเขาด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ ความแข็งแกร่ง
ส่วนสาวกที่กรันด้าพูดถึง ก็คือมนุษย์ที่ได้พัฒนาคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งความแข็งแกร่งตามรอยเท้าของเหล่ายักษ์ มนุษย์เหล่านี้ก่อตั้งศาสนาของตนเองขึ้นมา ด้วยพิธีกรรมพิเศษโดยใช้พลังเหนือธรรมชาติเป็นสื่อกลาง พวกเขาสามารถกล่าวคำอธิษฐาน และทำพิธีสักการะบูชาให้กับตัวตนที่เหนือกว่าในเส้นทางคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของพวกเขาได้
อันที่จริงสาเหตุที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติส่วนใหญ่สร้างและเข้าร่วมลัทธิก็เพื่อที่จะสื่อสารกับตัวตนที่อยู่สูงกว่าในเส้นทางคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของพวกเขา ทำให้ในบางครั้งคำอธิษฐานและเครื่องสักการะบูชาเหล่านั้นก็จะส่งมาถึงกรันด้า แสดงให้เห็นว่ายังมีมนุษย์ที่ใช้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งความแข็งแกร่งหลงเหลืออยู่บนโลก
“เข้าใจแล้ว ในเมื่อนายเป็นอิสระจากพันธนาการของที่นี่แล้ว ตอนนี้นายคงจะสัมผัสถึงพวกเขาได้แล้วใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว ถ้าหากข้าต้องการล่ะก็ ข้าสามารถควบคุมกดขี่พวกเขาได้เลยด้วยซ้ำ แต่พวกเขาเป็นเพียงคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่อ่อนแอ พวกเขาจึงไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรเท่าไหร่?”
“อย่างนี้นี่เอง”
โรเอลพยักหน้ากับตัวเอง เมื่อเขาได้ยินกรันด้าพูดถึงสาวกของตนว่าเป็นเพียง ‘กลุ่มเล็ก ๆ ที่อ่อนแอ’ เด็กชายก็ข้ามเรื่องนี้ไปโดยไม่รู้ตัว และไม่ได้ครุ่นคิดถึงมันเท่าไหร่นัก หลังจากที่ผ่านหัวข้อนี้ไป กรันด้าก็ถอยกลับไปยังสิ่งที่เขากำลังพูดถึงก่อนหน้านี้
“ทำไมพวกเราถึงมาพบกัน ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นจะพูดถึงมันอยู่ มันน่าจะเป็นเพราะสัญญาโบราณบางอย่างระหว่างพวกเรา”
“สัญญาโบราณ?”
“มันเป็นสัญญาที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน เจ้าสามารถใช้ประโยชน์จากพลังของข้า ส่วนข้าเองก็สามารถกลับไปยังโลกนั้นได้ผ่านทางเจ้า อย่างไรก็ตามการเรียกสัญญาดังกล่าวต้องใช้สื่อกลางด้วย ผู้หญิงคนนั้นมีแหวนที่ข้าสวมในสมัยก่อน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่มีอะไรติดตัวเลยสักอย่าง ข้าเลยไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเจ้าเข้ามาที่นี่ได้ยังไง?”
“อา พอจะเข้าใจแล้ว”
โรเอลปรบมือด้วยความเข้าใจ หลังจากได้ยินคำอธิบายของกรันด้า
โดยพื้นฐานแล้วสิ่งนี้ไม่ได้ต่างไปจากการอัญเชิญวิญญาณวีรชนในเกมแฟรนไชส์ชื่อดังในอดีตชาติของเขาเลยไม่ใช่เหรอ? ผู้ที่ต้องการจะเรียกวิญญาณวีรชนออกมาจะต้องไปขุดหลุมศพของบุคคลที่พวกเขาต้องการ และค้นหาข้าวของส่วนตัวของเป้าหมาย มิฉะนั้นมันจะผิดพลาด และอัญเชิญวิญญาณวีรชนที่เข้ากันได้ที่สุดกับตัวผู้อัญเชิญออกมาแทน
เมื่อมองจากมุมมองนี้ เหตุผลที่โรเอลเจอกับกรันด้า อาจจะมีสาเหตุมาจากบุคลิกที่คล้ายคลึงกันของพวกเขารึเปล่า? เขาได้รับวีรชนระดับ SSR มาจากการสุ่มจริง ๆ เหรอเนี่ย?
“จะว่าไปแล้ว ฉันเพิ่งไปถึงระดับแก่นแท้ 5 ได้เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดังนั้นความแข็งแกร่งของฉันจึงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หากเทียบกับเมื่อก่อน ถ้าพวกเราได้ต่อสู้ด้วยกันอีกครั้ง คราวนี้นายจะชกได้สักกี่หมัดล่ะ?”
โรเอลมองไปทางกรันด้าอย่างมีความหวัง ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายนั้นสุดยอดจริง ๆ ถึงระดับที่ทำให้เด็กชายสามารถทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้น โดยการเอาชนะองค์ชายเวตที่มีระดับแก่นแท้ 2 ได้
แต่ราคาที่ต้องจ่ายก็คือ โรเอลจะหมดสภาพไปเลย และต้องใช้เวลาตลอดหนึ่งสัปดาห์เต็ม ๆ กว่าจะสามารถฟื้นคืนกลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ได้
คราวนี้เนื่องจากเขาได้พัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองขึ้นมาอย่างมาก ความสามารถของเขาในการแบกรับพลังของกรันด้าเองก็ควรจะเพิ่มมากขึ้นจากเมื่อก่อนเช่นกัน อย่างน้อย ๆ โรเอลก็น่าจะสามารถเหวี่ยงหมัดของกรันด้าออกไปได้มากกว่าเดิมสักครั้ง
ทันใดนั้นกรันด้าก็เงียบไป เขาเหลือบมองไปที่โรเอลอย่างลังเล ดูเหมือนไม่แน่ใจว่าตนเองควรจะใช้คำพูดอย่างไรดี โครงกระดูกใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะรีดคำตอบออกมาได้ในที่สุด
“จากนี้ไปเจ้าจะสามารถสื่อสารกับข้าได้โดยไม่ต้องเข้ามายังโลกนี้ แค่นั้นก็สะดวกมากแล้ว เจ้าไม่คิดอย่างนั้นเหรอ? ฮ่าๆๆ…”
ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจว่านายกำลังจะสื่ออะไร บ่ายเบี่ยงก็มีแต่จะทำให้ฉันเจ็บปวดมากขึ้นไปน่า…
การเปลี่ยนหัวข้ออย่างผิดธรรมชาติของกรันด้า ทำให้โรเอลรู้ตัวว่าหนทางของเขายังอีกยาวไกล ทั้งสองคุยกันต่อไปอีกเล็กน้อย ก่อนที่โรเอลจะหมดแรงแล้วหลับไปจริง ๆ
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแต่ละคนในโลกนี้ต่างก็มีวิธีการเติบโตเป็นของตัวเอง แต่อย่างหนึ่งที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทุกคนมีร่วมกันก็คือการจำแนกระดับความแข็งแกร่งที่เรียกว่า ระดับแก่นแท้
อย่างไรก็ตามผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ พวกเขามีวิธีการเติบโตที่แตกต่างออกไปอีกอย่าง หลังจากไปถึงระดับแก่นแท้ 5 และได้รับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมา
ก่อนหน้านี้ โรเอลอาศัยการฝึกฝนร่างกายของตัวเองเพื่อสร้างสภาวะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการพัฒนาพลังเหนือธรรมชาติของเขา อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อเขาได้รับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด ทำให้เขามีวิธีมากมายในการพัฒนาพลังเหนือธรรมชาติของเขา
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 5 พัฒนาพลังเหนือธรรมชาติของตัวเองกันยังไงงั้นเหรอ?
คำตอบก็คือการทำความเข้าใจคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของตัวเอง และทำงานฝึกฝนส่งเสริมจุดเด่นนั้นให้สมบูรณ์ ยกตัวอย่างคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดภูมิปัญญาของอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนล วิธีในการพัฒนาก็คือการแสวงหาความรู้ ดังนั้นผู้ที่รับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดภูมิปัญญา จึงต้องทำการศึกษาอย่างหนัก เพื่อยกระดับความรู้ของพวกเขา
กล่าวอีกนัยหนึ่งไม่ใช่ว่านักวิชาการมักจะเลือกคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งปัญญา แต่ผู้ที่เลือกคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งปัญญาต่างหากที่มักจะกลายเป็นนักวิชาการ
เช่นเดียวกับความเมตตาของจักรวรรดิเซนต์เมซิท หากมีความอ่อนโยนและเต็มใจที่จะช่วยเหลือผู้คนที่กำลังลำบาก ก็จะสามารถพัฒนาพลังเหนือธรรมชาติของความเมตตาได้ ดังนั้นจักรวรรดิเซนต์เมซิทจึงมีคนดี ๆ อยู่มากมาย การทำความดีไม่ใช่เพียงแค่การเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่นเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ยังเป็นสิ่งที่ให้รางวัลแก่ผู้กระทำความดีเหล่านั้นอีกด้วย
หลักการเดียวกันนี้สามารถใช้กับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความกล้าของอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์ได้อีกด้วย ไม่ใช่ว่าอัศวินของอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินจะรู้เพียงแค่วิธีพุ่งไปข้างหน้าอย่างไร้สมอง เพียงแต่บรรดาผู้ที่ขี้ขลาดจะไม่สามารถก้าวหน้าทางพลังเหนือธรรมชาติได้นั่นเอง
เมื่อลองคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ โรเอลก็รู้สึกว่าคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดหลักสามประการของมนุษยชาติ แต่ละอย่างล้วนเป็นเหมือนวงจรแห่งผลตอบแทนเชิงบวก หากตั้งใจเรียน ปฏิบัติตนอย่างมีคุณธรรม และไม่เกรงกลัวความตาย ก็จะสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างแน่นอน
ในอีกแง่หนึ่งมันถือเป็นการตอกย้ำถึงคุณลักษณะอันเพรียบพร้อมของผู้ที่สามารถปีนขึ้นยังจุดสูง ๆ ได้ ดังนั้นมันจึงรับประกันได้ว่าการพัฒนาสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมมนุษย์
เขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องดีที่มนุษยชาติเลือกที่จะส่งเสริมคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดหลักสามประการเหล่านี้เหนือคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดอื่น ๆ น่าเสียดายที่เขาไม่เหมาะกับทั้งสามอย่าง
มงกุฎ
นั่นคือชื่อของคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดที่สายเลือดดั้งเดิมมอบให้โรเอล
ปฏิกิริยาแรกของโรเอลต่อสิ่งนี้คือความสับสน ชั่วขณะหนึ่ง เขาคิดราวกับว่าจักรวาลกำลังหมุนรอบตัวเขา ไม่ว่าจะเป็นความเมตตา ภูมิปัญญา หรือความกล้า คำเหล่านี้ล้วนเข้าใจง่าย เป็นคนดี ไปศึกษา และอย่ากลัวความตาย
แล้วมงกุฎล่ะ? มงกุฎหมายถึงอะไร? เขาต้องรีบไปที่พระราชวังเพื่อขโมยมงกุฎของพระสังฆราชจอห์น งั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้น หมายความว่าเขาจะต้องเดินทางไปทั่วทั้งทวีปเพื่อขโมยมงกุฎของจักรพรรดิทุกองค์ใช่ไหม? นั่นมันเส้นทางของทรราชชัด ๆ!
เด็กชายสับสนงงงวยไปหมด นอกจากความคิดพวกนี้จะน่าหัวเราะแล้ว เขาก็ไม่มีแรงพอที่จะตระหนักถึงมันเช่นกัน เขาไม่ได้อยากจะขึ้นเป็นจักรพรรดิสักหน่อย
โชคดีที่โรเอลไม่ได้ไร้เงื่อนงำโดยสมบูรณ์ ตามบันทึกในประวัติศาสตร์แล้ว เขามีบรรพบุรุษอยู่สองคนที่สามารถฟื้นฟูพลังสายเลือดดั้งเดิมขึ้นมาได้แบบเดียวกันกับเขา นั่นคือ โร แอสคาร์ด และ วินสเตอร์ แอสคาร์ด พวกเขาเองก็น่าจะได้รับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมาจากพลังทางสายเลือดด้วยเช่นกัน ทำให้การกระทำต่าง ๆ ของพวกเขาถือเป็นเงื่อนงำสำหรับโรเอลในการใช้อ้างอิงนั่นเอง
ดังนั้นโรเอลจึงได้เข้าไปที่ห้องเอกสารสำคัญในคฤหาสน์เขาวงกต และเริ่มสำรวจหาบันทึกของบรรพบุรุษทั้งสอง
หวังว่ามันจะไม่ใช่เรื่องแปลก ๆ อีกนะ …
โรเอลประกบมือเข้าด้วยกันพลางสวดอ้อนวอนเบา ๆ