บทที่ 115: ฉันไม่ชอบมันเลย
พระราชวังของจักรวรรดิเซนต์เมซิทถูกสร้างขึ้นเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว เมื่อมนุษย์เพิ่งเริ่มย้ายถิ่นฐานมายังทิศตะวันตกของทวีปเซีย ย้อนกลับไปในสมัยนั้น เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรนเป็นเพียงหนึ่งในป้อมปราการหลักไม่กี่แห่งของมนุษยชาติ ดังนั้นอาคารนี้จึงทำหน้าที่เป็นจุดรวมพลฉุกเฉินและศูนย์บัญชาการ
แต่เมื่อมีการก่อตั้งจักรวรรดิเซนต์เมซิทอย่างเป็นทางการ ในที่สุด ตัวอาคารก็ได้รับการปรับปรุงใหม่กลายเป็นพระราชวังดังที่เห็นในปัจจุบัน ทำให้เป็นหนึ่งในอาคารที่เก่าแก่ที่สุดในจักรวรรดิ
อายุอาจเป็นสัญญาณของวัฒนธรรม แต่ก็มักจะบ่งบอกถึงความเสื่อมโทรมได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พระราชวังได้รับการบูรณะปรับปรุงใหม่หลายครั้ง อันที่จริงเคยเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งที่เผาโครงสร้างชิ้นใหญ่ทิ้งไป ดังนั้นจึงได้มีการเรียกร้องให้มีการสร้างมันขึ้นมาใหม่หลายต่อหลายครั้ง ล่าสุดที่มันได้รับการบูรณะปรับปรุงก็คือเมื่อหลายสิบปีก่อน ดังนั้นมันจึงไม่ได้ดูเสื่อมโทรมลงเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันยังคงงดงามสมฐานะ
โทนสีของพระราชวังเน้นไปที่สีขาว ว่ากันว่าสถาปนิกได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการสร้างมันขึ้นเพื่อไล่ระดับสีของปีกทูตสวรรค์ แม้ว่าโรเอลจะไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นไปเห็นปีกของทูตสวรรค์ได้ที่ไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันงดงามเป็นอย่างยิ่ง อาคารทั้งหลังดูศักดิ์สิทธิ์มาก
แนวคิดเบื้องหลังการตกแต่งภายในของพระราชวังนั้นไม่ซับซ้อนเท่าไหร่นัก มีเพียงความหรูหราฟุ่มเฟือยธรรมดา ในแง่หนึ่งสิ่งนี้สะท้อนถึงวิธีการทำสิ่งต่าง ๆ ของราชวงศ์ตระกูลเซไซต์ ความบริสุทธิ์เป็นหนึ่งในคุณธรรมของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงพูดตรงไปตรงมาทุกประเด็น ไม่มีเรื่องเพ้อฝันใด ๆ
ภายในห้องรับรองของพระราชวัง โรเอลที่เพิ่งเสร็จสิ้นการเที่ยวชมพระราชวังเป็นครั้งแรก กำลังจิบชาถ้วยหนึ่ง ขณะเปิดอ่านลำดับเหตุการณ์ในพิธีการปกป้องคุ้มครองที่จะเกิดขึ้นในภายหลังอีกครั้ง และอีกครั้ง
“ฉันจะได้เอสเซนด์วิงคืนมาด้วยรึเปล่านะ”
โรเอลบ่นพึมพำขณะเอื้อมมือออกไปยังเอวที่ว่างเปล่าโดยไม่รู้ตัว
ครึ่งเดือนก่อน ตอนที่เขากลับมาจากสถานะผู้เฝ้ามองพร้อม ๆ กับนอร่า แม้ว่าทั้งสองคนจะหมดสติไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีความเชื่อมโยงระหว่างพวกเขาทั้งสองเนื่องมาจากผลของเอสเซนด์วิง ด้วยเหตุนี้บิชอปฟิลิปจึงเลือกเรียกนักบวชผู้เชี่ยวชาญจากห้องโถงศักดิ์สิทธิ์ให้มาจัดการกับสถานการณ์ ผู้ที่มาจากห้องโถงศักดิ์สิทธิ์ทุ่มเทความพยายามทั้งชีวิตให้กับการทำพิธีกรรมและคาถาเวทต่าง ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงมีความรู้มากที่สุดในสาขานี้
หลังจากที่นักบวชเหล่านั้นตรวจสอบแล้วว่าสามารถแยกพวกเขาทั้งสองออกจากกันได้อย่างปลอดภัยแล้ว เด็ก ๆ ก็ถูกดึงออกจากกัน โดยนักบวชเหล่านั้นสันนิษฐานว่าเอสเซนด์วิงเป็นของนอร่า ดังนั้นพวกเขาจึงนำมันกลับไปที่พระราชวังด้วยกันกับพวกเขา
ว่ากันว่าดาบเป็นดั่งคนรักของนักรบ
ถึงโรเอลจะไม่ได้เป็นนักรบ แต่เขาคิดถึงคู่หูตัวน้อยที่ผ่านสงครามมาด้วยกันของเขามาก มันช่วยเขาจากช่วงเวลาวิกฤตมากมาย อีกทั้งยังเป็นของขวัญที่เปิดใช้งานโดยเลือดของเขาและนอร่า ทำให้มันกลายเป็นของที่ระลึกที่สำคัญมาก ๆ สำหรับทั้งสองคน เด็กชายดีใจมากที่มันกำลังจะกลับมาหาเขาแล้วในไม่ช้า
เมื่อนึกถึงมันตอนนี้ มันก็น่าจะถึงเวลาที่ความสามารถที่สองของเอสเซนด์วิงจะตื่นขึ้นมา เขาได้ยินมาจากพระสังฆราชจอห์น ว่าปรากฏการณ์นี้เกิดจากการสั่นพ้องกันระหว่างความสามารถทางสายเลือดของเขากับนอร่า สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ อยู่ในใจ การพูดเกี่ยวกับการสั่นพ้องและการฟักตัวทำให้เขารู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังให้กำเนิดลูก
พิธีจะเริ่มต้นด้วย การประกาศอย่างเป็นทางการว่าโรเอลนั้นจะอยู่ภายใต้การคุ้มครองของราชวงศ์ก่อนที่จะเปิดงานเลี้ยงตามมา
มีขุนนางเข้าร่วมพิธีนี้น้อยลงไปมากเมื่อเทียบกับงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนอร่า เนื่องจากพวกเขาส่วนใหญ่ได้กลับสู่เขตการปกครองของตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามโรเอลคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันหมายความว่าผู้ที่เข้าร่วมจะมีเพียงแค่ขุนนางในราชสำนัก ผู้บัญชาการทหาร และบรรดาภาคีอัศวินเท่านั้น ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วก็คือคนของพวกเขาเอง บรรยากาศจึงน่าจะดีกว่ารอบที่แล้วมาก
“นายน้อยโรเอล พิธีกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว โปรดติดตามกระผมมาด้วยขอรับ”
โรเอลพยักหน้าตอบก่อนจะเดินตามคนรับใช้ไปที่ทางเข้าห้องโถงพิธี ขณะยืนอยู่บนพรมสีแดงเข้ม เขาจ้องมองไปที่ประตูที่ถูกประดับประดาอย่างสวยงามตรงหน้าด้วยความอัศจรรย์ใจ ตอนนั้นเองที่เด็กตระหนักได้ว่าเขาอยู่ในสถานที่อันน่าเหลือเชื่อ
ห้องโถงเซนต์เซชูร์
สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นพร้อมกับจัตุรัสหน้าโบสถ์เซนต์ฟารอน เป็นที่รู้จักกันในฐานะดินแดนศักดิ์สิทธิ์สองแห่งของจักรวรรดิเซนต์เมซิท จัตุรัสด้านหน้าโบสถ์เซนต์ฟารอนถือเป็นสถานที่ที่พระสังฆราชจะชี้นำผู้คนในการสวดมนต์ ทำให้เป็นสถานที่ที่สำคัญสำหรับผู้ที่เชื่อในลัทธิโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง
สำหรับห้องโถงเซนต์เซชูร์ นั้นได้รับการยกย่องจากประวัติศาสตร์อันยาวนานและเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นที่นี่ ทั้งการก่อตั้งจักรวรรดิเซนต์เมซิทและการมอบตำแหน่งให้กับตระกูลขุนนางผู้สูงศักดิ์ทั้งห้า ต่างก็ได้เกิดขึ้นภายในห้องโถงนี้
ตลอดประวัติศาสตร์กว่าพันปีของจักรวรรดิเซนต์เมซิท บรรดาผู้ที่ก้าวเข้ามายังสถานที่นี้ล้วนเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลในรุ่นของพวกเขา ทั้งนายพลที่สร้างปาฏิหาริย์ในสนามรบ เจ้าหน้าที่ที่สามารถดึงการปฏิรูปเพื่อขจัดการทุจริตและระบบอื่น ๆ แม้กระทั่งการมอบตำแหน่งให้กับพอนเต้โดยจักรพรรดินีวิกตอเรียหลังเหตุการณ์การเดินขบวนแห่งความวุ่นวายด้วย
“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะเลือกใช้สถานที่นี้…”
โรเอลกลืนน้ำลายลงคอในขณะที่เขาตระหนักได้เป็นครั้งแรกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับพิธีนี้ เขาคิดว่ามันเป็นเพียงขั้นตอนที่พวกเขาต้องปฏิบัติตามเพื่อที่จะทำตามคำสัญญาที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้ให้ไว้เมื่อพันปีที่แล้วอย่างเป็นทางการ คล้ายกับที่เจ้าของธุรกิจจะต้องมาตัดริบบิ้นสีแดงเพื่อประกาศการเปิดร้านของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขาประเมินค่าของเรื่องนี้ต่ำไป
นี่เป็นงานระดับขบวนพาเหรดของทหารเลยทีเดียว!
เมื่อมองดูเส้นทางแห่งความรุ่งโรจน์ซึ่งผู้ที่เคยได้รับเกียรติจากจักรวรรดิเซนต์เมซิทนับไม่ถ้วนเคยเดินมาก่อน โรเอลก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย พ่อบ้านชราที่อยู่ข้าง ๆ เขาสังเกตเห็นสิ่งนี้และหัวเราะกับตัวเอง
“ท่านโรเอล ท่านไม่ต้องวิตกกังวลไปหรอก ท่านเป็นบุคคลที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เข้ามายังห้องโถงเซนต์เซชูร์ ท่านควรจะรู้สึกภูมิใจนะ”
พ่อบ้านชราคนนี้มักจะมีท่าทางเย็นชาและเฉยเมย ไม่ว่าเขาจะยืนอยู่กับขุนนางคนไหนก็ตาม น่าประหลาดใจที่เขากลับมีรอยยิ้มอันสดใสราวกับดอกทานตะวันบนใบหน้าของเขาเมื่ออยู่กับโรเอล
กลับกันแล้วโรเอลรู้สึกเวียนหัวมากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น
ตามที่คาดไว้ พ่อบ้านของราชวงศ์ เขามีวิธีพิเศษในการ ‘ปลอบโยน’ ผู้อื่น… หรือบางทีเป็นไปได้ว่านอร่าอาจจะเป็นคนสั่งให้เขาพูดคำเหล่านั้นออกมาก็ได้
มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่นักเรียนเพิ่งมาถึงห้องสอบ แต่กลับพบว่าคำถามไม่อยู่ในหลักสูตร อย่างไรก็ตามโรเอลยังไม่พร้อมที่จะสอบตกในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงเริ่มสร้างความแข็งแกร่งทางจิตใจอย่างรวดเร็ว
หายใจเข้า หายใจออก สัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์พร้อม เมื่อเข้าไปข้างใน คนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่นอร่าคือกะหล่ำปลี อย่าแม้แต่จะมองพวกเขา!
โรเอลสูดหายใจเฮือกใหญ่สองสามครั้งเพื่อให้ตัวเองกลับสู่สภาวะสูงสุด หลังจากที่เขาเตรียมตัวเสร็จแล้ว ระฆังในมือของพ่อบ้านก็ดังขึ้น ทหารยามที่ยืนอยู่หน้าประตูก้าวไปข้างหน้าเตรียมที่จะเปิดประตูทางเดินขึ้น
“ท่านโรเอล กรุณาก้าวเข้าไปขอรับ”
หลังจากพูดคำเหล่านั้นแล้ว ทหารยามทั้งสองก็ค่อย ๆ เปิดประตูสูงหลายเมตรออก แสงอันเจิดจ้าที่ชวนให้นึกถึงแสงเรืองรองของทูตสวรรค์ก็ส่องลงมาจากด้านบนของประตู ทำให้เกิดการแสงสีอันน่าตื่นตา ขนนกเริ่มกระจายไปทั่วห้อง ทำให้โรเอลรู้สึกหนักใจเล็กน้อย
แสงสี? ขนนก? นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น? เราถูกล็อตเตอรี่รึไง? นี่มันมากเกินไปแล้ว!
โรเอลตกใจกับทางเข้าที่ฉูดฉาดเกินไปนี้ แต่เขาก็รู้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เสียงปรบมือดังกึกก้องพร้อมกับโห่ร้องดังก้องไปทั่วห้องโถง มีคนมากกว่าที่เขาคาดไว้มาก แค่คนที่อยู่ข้างพรมแดงก็มีมากกว่าร้อยคนแล้ว
นี่มันอะไรกันเนี่ย? ไหนบอกว่า ‘พวกเราเชิญขุนนางเพียงไม่กี่คนจากในราชสำนักให้มาร่วมงานด้วย’ ไง?
โรเอลจ้องไปที่ฉากอันงดงามที่เขาไม่คาดคิดตรงหน้าอย่างตกตะลึงขณะหวนนึกถึงคำพูดที่องค์ชายเคนบอกกับคาร์เตอร์ก่อนหน้านี้ ที่นี่น่าจะมีผู้คนมากกว่าหนึ่งพันคนด้วยซ้ำ! จำเป็นต้องมีคนมากขนาดนี้ด้วยเหรอ?
สิ่งที่โรเอลไม่รู้ก็คือพระสังฆราชได้สั่งให้จัดพิธีการปกป้องคุ้มครองนี้ให้ยิ่งใหญ่กว่าปกติ พวกเขาถึงกับให้วันนี้เป็นวันหยุดราชการ ทำให้ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่หรือทหารที่ปกติจะมีงานยุ่งแบบเดียวกับคาร์เตอร์ ก็สามารถเข้ามาร่วมงานได้ในวันนี้
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะเข้ามาในห้องโถงเซนต์เซชูร์ได้จะต้องมียศอยู่พอสมควร จึงจำกัดจำนวนคนลงไปได้มากพอสมควร มิฉะนั้นด้วยข่าวลือทั้งหมดของโรเอลและนอร่า เกรงว่าจำนวนคนที่จะมาเข้าร่วม คงจะมากพอที่จะเติมเต็มลานจัตุรัสหน้าโบสถ์เซนต์ฟารอน
นี่มันบ้าไปแล้ว!
แม้ว่าโรเอลจะถูกครอบงำโดยสถานการณ์ แต่เขาก็พยายามทำให้แน่ใจว่าจะสามารถรักษารูปลักษณ์อันสง่างามของตัวเองต่อหน้าฝูงชนเอาไว้ได้ หลังจากผ่านสถานการณ์ความเป็นและความตายมาหลายครั้งในช่วงสถานะผู้เฝ้ามอง จะมีอะไรที่จะทำให้เขากลัวได้อีกงั้นเหรอ?
เฮ้ เราเคยแลกหมัดกับเวต เซไซต์ตัวต่อตัวมาแล้วด้วยซ้ำ! อย่างน้อยกระเพาะปัสสาวะของเราก็สามารถต้านทานอะไรระดับนี้ได้สบาย ๆ!
โรเอลสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่เขาจะเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้า การพัฒนาขึ้นเป็นระดับแก่นแท้ 5 ของเขาทำให้เขายืนได้อย่างมั่นใจและสงบมากขึ้น อีกทั้งคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎยังมอบบรรยากาศอันสูงส่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นให้กับเขา แม้จะอยู่ท่ามกลางฝูงชนมหาศาลที่มารวมตัวกันที่นี่ก็ตาม
ภายใต้การเป็นสักขีพยานของขุนนาง อัศวิน ผู้บัญชาการทหาร และเจ้าหน้าที่กว่าพันคน เขาเริ่มเดินไปตามเส้นทางแห่งความรุ่งโรจน์
โรเอลมีรอยยิ้มจาง ๆ และดวงตาที่คมลึกไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะมีบรรยากาศอันเคร่งขรึม แต่เขาก็ไม่ได้ดูเย็นชาแต่อย่างใด ความสามารถของโรเอลในการควบคุมการแสดงออกของเขาได้เพิ่มขึ้นไปอีกระดับ รูปลักษณ์ที่ดูเป็นธรรมชาติของเขาเมื่อจับคู่กับเครื่องสำอางของสมาคมพ่อค้าโซโรฟยา ทำให้เกิดความโกลาหลในหมู่ฝูงชนทันทีที่เขาปรากฏตัว หลายคนที่เห็นเขาเป็นครั้งแรกก็โดนช่วงชิงหัวใจไปอย่างรวดเร็ว
“ข้ารู้สึกว่าเขาน่าจะเหมาะสมกับฝ่าบาท”
“คนจากตระกูลแอสคาร์ด ช่างมีพันธุกรรมที่ดีจริง ๆ”
พวกผู้ใหญ่พูดคุยกันเงียบ ๆ ในขณะที่คนในวัยเดียวกับโรเอลต่างส่งสายตาอิจฉาริษยาและความตื่นเต้นมาที่เขา
ขณะเดียวกัน โรเอลก็เดินก้าวออกไปข้างหน้าไปยังที่ที่นอร่ายืนรออยู่ บัลลังก์ที่มักจะวางไว้ตรงส่วนท้ายของห้องโถงถูกแทนที่ด้วยดาบยาวสำหรับพระราชพิธี ดาบจักรพรรดิแห่งนักบุญ มันคือดาบส่วนพระองค์ที่จักรพรรดิผู้ก่อตั้งจักรวรรดิเซนต์เมซิทใช้ และถูกใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
นี่คือดาบที่ใช้เพื่อมอบตำแหน่งให้กับตระกูลขุนนางชั้นสูงผู้มีชื่อเสียงทั้งห้า เช่น พอนเต้และคาร์เตอร์ ในวันนี้ผู้ครอบครองที่อายุน้อยที่สุดจะได้ใช้มันเพื่อมอบตำแหน่งให้กับบุคคลที่เด็กที่สุดที่เคยก้าวเข้ามายังสถานที่แห่งนี้
นอร่าที่ยืนอยู่ตรงหน้าดาบยาวนั้นมีรูปร่างงดงามราวกับทูตสวรรค์ ลูกปัดแสงเล็ก ๆ ที่ลอยอยู่รอบตัวเธอแสดงถึงความบริสุทธิ์ ชุดสีขาวและเครื่องแต่งกายต่าง ๆ ของเธอเข้ากับมงกุฎสีทองที่อยู่บนศีรษะของเด็กสาว
เมื่อมองไปที่นอร่าผู้กำลังยิ้มอยู่ตรงปลายทาง โรเอลก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง หากความงามของอลิเซียเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลสามารถหยุดใจคนได้ล่ะก็ ความงามของนอร่าจะเป็นหนึ่งในความสง่างามอันยิ่งใหญ่ ชวนให้นึกถึงสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีใครแตะต้องได้ จนมนุษย์ไม่บังอาจจะเข้าใกล้
เราเคยกอดเด็กผู้หญิงคนนี้มาก่อนจริง ๆ เหรอ?
เมื่อหวนนึกถึงอดีตว่านอร่าเคยพิงลงบนร่างกายของเขาในช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ในโบสถ์ โรเอลก็รู้สึกราวกับว่าทุกอย่างเป็นแค่จินตนาการ เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อควบคุมหัวใจที่เต้นระรัวของตน พร้อมเดินเข้าไปหานอร่าอย่างใจเย็น
เสียงปรบมือและความโกลาหลค่อย ๆ เงียบลงเมื่อทุกคนรู้ว่าถึงส่วนหลักของพิธีแล้ว
นอร่าหันกลับมาและหยิบดาบจักรพรรดิแห่งนักบุญมาด้วยความเคารพ โรเอลเข้าใจโดยปริยายถึงสิ่งที่เขาต้องทำ ดังนั้นเขาจึงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและเตรียมพร้อมที่จะคุกเข่าลงกับพื้นต่อหน้านอร่า นี่เป็นตำแหน่งมาตรฐานที่ผู้ได้รับเกียรติในจักรวรรดิเซนต์เมซิทจะต้องรับทำเพื่อรับตำแหน่งในพิธีมอบ จากนั้นดาบจักรพรรดิแห่งนักบุญก็จะถูกวางลงบนไหล่ของเขา และทั้งสองก็จะกล่าวคำปฏิญาณตนพร้อมกัน
ทันใดนั้น ขณะที่โรเอลกำลังจะคุกเข่าลง สายตาของนอร่าก็แสดงอาการไม่สบายเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นอร่าก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อดึงเขาขึ้น
“เจ้าไม่ต้องคุกเข่า”
คำพูดนั้นได้สร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้น