บทที่ 129: ทางร่างกายหรือทางจิตใจ?
การแข่งขันมวยปล้ำได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ ภายในห้องที่มีเพียงแสงสลัว แม้ว่าโรเอลจะกำลังตกอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ แต่เขาก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะต่อสู้เพื่ออิสรภาพ เด็กชายเหวี่ยงแขนและขาของเขาด้วยความรุนแรงราวกับปลาที่กำลังดีดดิ้นอยู่บนพื้นดิน น่าเสียดายที่เขาก็ยังแพ้แรงของอีกฝ่ายอยู่ดี
หลังจากนั้นไม่นานพลังเวทสีทองของนอร่าก็สว่างไสว กลายเป็นกุญแจข้อมือสองคู่เข้าสวมข้อมือของโรเอล นอกจากนี้เด็กสาวยังกดทับเอวของเขาเอาไว้ด้วยร่างกายของเธอ ทำให้เพียงแค่ขยับร่างกายเล็กน้อย โรเอลผู้เขินอายก็ไม่อาจขยับตัวได้อีกต่อไป
“ทำไมเจ้าไม่ดิ้นรนต่ออีกหน่อยล่ะ? ข้าชอบเวลาที่เจ้าขัดขืน”
“เธอนี่มันโรคจิตจริง ๆ!”
“ผ่านมาสองปีแล้ว ปากของเจ้าก็ยังร้ายเหมือนเดิมเลยนะ”
เมื่อความพยายามดิ้นรนสู่อิสรภาพได้ล้มเหลว โรเอลก็ตกอยู่ในสภาพที่ทำอะไรไม่ถูก นอร่าลูบแก้มของเขาเบา ๆ ดวงตาสีไพลินเปล่งประกายแสงสีทองด้วยพลังเวท รอยยิ้มซาดิสม์กว้างขึ้น ราวกับว่ามีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวของเด็กสาวขณะที่เธอกำลังจิ้มแก้มของโรเอลอย่างซุกซน
“เอาแบบนี้ไหม เพียงแค่เจ้าเห่าหอนออกมาและเรียกข้าว่าเจ้านาย ข้าจะพิจารณายอมปล่อยเจ้าไป เจ้าคิดอย่างไรกับข้อเสนอนี้?”
นอร่าคว้าคอเสื้อสูทของโรเอลขึ้นมาพลางหรี่ตาลงด้วยความตื่นเต้น ความคาดหวังปรากฏขึ้นทั่วใบหน้าของเด็กสาว ขณะที่เธอจ้องมองลงไปยังเด็กชายที่ดิ้นรนภายใต้อาณัติของตน
“ถึงจริง ๆ แล้วข้าอยากที่จะเหยียบเจ้าก็เถอะ แต่แบบนั้นมันจะทำให้เสื้อผ้าของเจ้าเปื้อน หรือว่าเจ้าอาจจะยอม ถ้าข้าเหยียบเจ้าด้วยเท้าเปล่าแทน?”
“ยอมก็บ้าแล้ว!”
เมื่อต้องเผชิญกับการดูถูกทั้งทางร่างกายและศักดิ์ศรี แก้มของโรเอลก็กระตุกขึ้นพลางโพล่งคำก่นด่าเสียงดังออกมา เหตุผลที่เขาต่อสู้ดิ้นรนอย่างสิ้นหวังก่อนหน้านี้ก็เพราะเขารู้ดีว่าสิ่งเลวร้ายจะต้องเกิดขึ้น หากนอร่าจับตัวเขาได้
ลางสังหรณ์ของโรเอลไม่ทำให้เขาผิดหวังเลยจริง ๆ!
“ไม่ใช่ว่าเธอกำจัดพวกกลายพันธุ์ที่ชายแดนตะวันออกจนพอใจแล้วหรอกเหรอ? แค่นั้นก็น่าจะทำให้รสนิยมซาดิสม์ของเธอพอใจได้แล้วนี่?”
“อืม ก็จริงอยู่ที่ว่าเสียงร้องของสัตว์ประหลาดพวกนั้นมันรื่นหู แต่ถ้าให้พูดตามตรง มันยังไม่พอ”
นอร่าลูบคางของตนพลางกะพริบตาครุ่นคิด ถึงความรู้สึกในตอนที่เธอได้ไปยืนอยู่ข้างบนกองซากศพของพวกกลายพันธุ์
“ตอนแรกข้าก็คิดว่ามันน่าจะทำให้ข้าตื่นเต้นได้เหมือนกัน แต่กลับกลายเป็นว่ามันเป็นประสบการณ์ที่แย่มาก ที่ข้าทำได้มีเพียงแค่ระบายความปรารถนาในการต่อสู้ออกไป แต่ไม่ว่าข้าจะเจอสุนัขป่าอันแสนสกปรกสักกี่ตัวก็ไม่มีตัวไหนเทียบกับสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รักของข้าได้”
สายตาที่เร่าร้อนของนอร่าแทบจะเผาผลาญโรเอลจนมอดไหม้ ไม่มีอะไรที่จะสามารถทำให้เธอพอใจได้อีกแล้ว
“หลังจากที่ได้ลิ้มรสเหยื่ออันโอชะ สัตว์ชั้นต่ำธรรมดาเหล่านั้นก็ทำได้เพียงแค่บรรเทาความอยากของข้าเท่านั้น ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เจ้าคิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้วใช่ไหม ตัดสินใจได้รึยัง?”
‘ ตัดสินใจได้รึยัง?’ อะไรกันเล่า ยัยบ้าซาดิสม์!
โรเอลโต้กลับในใจในก่อนจะคิดวางแผนแยกตัวออกจากสถานการณ์ปัจจุบันของเขาอย่างรวดเร็ว ทว่าก่อนที่เด็กชายจะได้ลงมือทำอะไร เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของทั้งสอง
“ฝ่าบาทนอร่า ดิฉันขอรบกวนให้ฝ่าบาทหยุดรังแกท่านพี่ก่อนจะได้ไหมคะ”
เสียงนั้นทำให้นอร่าสบถด้วยความรำคาญ เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนก่อนจะหันไปหาต้นเสียง
เด็กสาวผมสีเงินที่มองมาทางเธออย่างเย็นชานั่นเอง
ช่วงสองปีที่ผ่านมา อลิเซียเองก็ได้เปลี่ยนแปลงค่อนข้างมากเช่นกัน ร่างเล็ก ๆ นั้นเติบโตขึ้นเล็กน้อย มีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น แก้มอันอวบเล็กน่ารักของเธอโตขึ้นรับกับใบหน้าสง่างามแสนเย็นชา ส่งผลให้ใบหน้าของเด็กสาวงดงามขึ้นเป็นอย่างมาก สิ่งเดียวที่ยังคงเหมือนเดิมก็คือนัยน์ตาสีทับทิมอันสวยงามที่มาพร้อมกับบรรยากาศเย็นชาและสูงส่งจนไม่มีใครสามารถแตะต้องได้มากกว่าเมื่อก่อน
ตอนนี้ความงดงามของอลิเซียได้โด่งดังไปทั่วทั้งจักรวรรดิเซนต์เมซิท ความโดดเด่นของเด็กสาวเป็นดั่งอาวุธที่กระตุ้นความหลงใหลในใจบุตรหลานตระกูลขุนนางนับไม่ถ้วน พวกเขาต่างพยายามประจบประแจงเธออย่างสิ้นหวัง เชื่อมั่นอย่างลม ๆ แล้ง ๆ ว่าตนเองจะสามารถดึงดูดความสนใจของอลิเซียได้ เรียกได้ว่าบางคนถึงกับพยายามจนถลำลึกเกินไปเลยทีเดียว
น่าเสียดายที่ปัจจุบันอลิเซียไม่ใช่เด็กสาวอ่อนแอคนเดิมอีกต่อไปแล้ว เธอจึงไม่คิดที่จะยั้งมือต่อผู้ที่ล้ำเส้นจนเกินไป หลายคนที่คิดจะหลอกเธอต่างต้องมีจุดจบอันเจ็บปวดในเงามืดที่พวกเขาจะไม่มีวันลืม
ทว่าเมื่อใดก็ตามที่อลิเซียอยู่กับโรเอล เด็กสาวที่แสนจะเย็นชาจนไม่มีใครเข้าใกล้ได้นั้นก็จะกลายเป็นสาวน้อยน่ารักและน่าทะนุถนอมในทันที เธอจะกระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของพี่ชายด้วยเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ภาพลักษณ์สาวน้อยผู้น่ารักว่านอนสอนง่ายที่อลิเซียรักษาไว้สำหรับโรเอล ทำให้นอร่ารู้สึกโกรธเคืองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโรเอลโดนหลอกให้คอยปลอบโยนอลิเซียผู้กำลัง ‘หวาดกลัว’อยู่เสมอ โดยใช้ข้ออ้างว่าเธอนั้นยังเด็กเกินไปที่จะปฏิเสธเด็กชายทุกคนที่มาเคาะประตูคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ด
แน่นอนว่ามีบุตรหลานขุนนางบางคนที่ไม่คิดจะยอมแพ้ง่าย ๆ พวกเขาต่างก็พยายามส่งจดหมายถึงบิดาของทั้งสองอย่างมาร์ควิสคาร์เตอร์ ทว่าจดหมายเหล่านั้นกลับถูกปัดตกไปอย่างไม่สนใจใยดี
ตรงจุดนี้นอร่าพอจะสามารถเข้าใจความรู้สึกของมาร์ควิสคาร์เตอร์ หากไม่มีใครมากดดันเขาจริง ๆ จัง ๆ ล่ะก็ มันคงไม่มีทางเลยที่คาร์เตอร์จะปล่อยผู้มีพรสวรรค์อย่างอลิเซียให้ใครได้ไปง่าย ๆ
“อลิเซีย ข้าไม่ได้พบกับโรเอลมาสองปีแล้ว เจ้าไม่คิดว่ามันเสียมารยาทงั้นเหรอที่เข้ามาขัดขวางการพบกันอีกครั้งของพวกเรา?”
นอร่าจ้องไปที่อลิเซียด้วยใบหน้าที่เห็นได้ชัดว่ากำลังอารมณ์เสีย
“ฝ่าบาท ดิฉันเข้าใจว่าท่านรู้สึกอย่างไร แต่ในฐานะที่ฝ่าบาทเป็นเจ้าของงานเลี้ยงในวันนี้ การหายไปของท่านเป็นเวลานานย่อมสร้างความวุ่นวายให้กับงานเลี้ยง อีกทั้งดิฉันยังมีข่าวสำคัญที่จะต้องมาแจ้งให้ท่านพี่ทราบ นั่นก็คือท่านพ่อได้เดินทางกลับมาแล้ว”
“ท่านพ่ออยู่ที่นี่งั้นเหรอ?”
โรเอลถามด้วยความตื่นตระหนก
การแสดงออกของนอร่าก็ดูตื่นกลัวเล็กน้อยเช่นกัน เธอขจัดคาถาผูกมัดของเธอบนตัวโรเอลอย่างรวดเร็ว และคนหลังก็ลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับจัดระเบียบเสื้อผ้าของเขาให้ขณะที่เขาทำเช่นนั้น
มาร์ควิสคาร์เตอร์เป็นผู้บัญชาการหน่วยขนส่งที่ป้อมปราการทาร์กมาเป็นเวลาสองปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกในรอบสองปีที่เขาได้กลับบ้าน การที่ได้รู้ว่าคาร์เตอร์อยู่ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จึงทำให้โรเอลประหลาดใจ
“ท่านพ่อกลับมาจากแนวหน้าแล้วเหรอ? พี่ได้ยินว่าเขามีภารกิจบางอย่างเลยมางานเลี้ยงวันเกิดไม่ได้นี่นา?”
“ดูเหมือนว่าภารกิจดังกล่าวจะเสร็จก่อนกำหนดการค่ะ ท่านพี่”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของอลิเซีย นอร่าก็เงียบไปพักหนึ่ง เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวของพวกกลายพันธุ์ที่ชายแดนตะวันออกทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลนี้ทำให้ก่อนหน้านี้นอร่าต้องยกเลิกงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของเธอ มุ่งหน้าไปยังชายแดนตะวันออก กว่าเธอจะหาเวลากลับมาที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ล่วงเลยมาถึงวันนี้แล้ว
นอร่ารู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในแนวหน้าพอสมควร ทำให้เธอรู้ดีว่าภารกิจของมาร์ควิสคาร์เตอร์นั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น มันจึงเป็นเรื่องแปลกที่เขาสามารถกลับมาที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้
มันเป็นเรื่องสำคัญระดับไหนกันที่ทำให้เขาต้องรีบกลับมาบอกลูก ๆ ของตนด้วยตนเอง?
แม้ว่าเด็กสาวจะยังสงสัยเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและรายละเอียดของเรื่องนี้ แต่นอร่าก็คิดว่าเธอควรจะคำนึงถึงภาพรวม และปล่อยโรเอลให้เป็นอิสระไปก่อน เนื่องจากนี่ถือเป็นโอกาสการพบกันที่หาได้ยากระหว่างบิดาและลูกชาย เธอจึงไม่ควรที่จะรบกวนช่วงเวลานี้
ทันทีที่เป็นอิสระโรเอลก็รีบเดินออกจากประตู โดยมีนอร่าเดินตามไปติด ๆ ระหว่างที่เธอกำลังจะเดินผ่านอลิเซีย นอร่าก็หยุดฝีเท้าลงพร้อมเอียงศีรษะลงเล็กน้อย เพื่อมองไปยังเด็กสาวผมสีเงินด้วยสายตาอันเฉียบคม
“อย่าคิดว่าเจ้าจะสามารถรักษาภาพลักษณ์อันไร้เดียงสานั้นต่อหน้าเขาได้ตลอดไปล่ะ มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้า”
“ขออภัยด้วยค่ะฝ่าบาท แต่ดิฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านพูด ดิฉันก็แค่สงวนตัวตนที่แท้จริงเอาไว้สำหรับท่านพี่เท่านั้น ทุกสิ่งล้วนสร้างขึ้นจากความรักของพวกเรา”
หลังจากการปะทะกันด้วยวาจา สองสาวก็ส่งเสียงขู่กันอย่างเย็นชา ก่อนจะผละออกจากกัน
…
ปัจจุบัน ณ อีกด้านหนึ่งของงานเลี้ยง คาร์เตอร์ แอสคาร์ดรู้สึกประหม่ามาก ไม่ว่าเขาจะพยายามทำอะไร ความรู้สึกกระวนกระวายในใจที่เขารู้สึกภายในก็ไม่ลดลงเลยสักนิด
สองปีก่อน ก่อนที่มาร์ควิสคาร์เตอร์จะมุ่งหน้าไปยังป้อมปราการที่ชายแดนตะวันออก จู่ ๆ จอมเวทก็นึกถึงเรื่องสำคัญที่ทำให้จิตใจของเขาหลุดลอยออกไปชั่วขณะ นานมาแล้วในสมัยที่เขาเข้าร่วมการต่อสู้ในแนวหน้าเป็นครั้งแรก พ่อของคาร์เตอร์ได้พูดประโยคที่สำคัญบางอย่างกับเขา
“จงรอดกลับมาให้ได้ล่ะ มิฉะนั้นลูกสะใภ้จากตระกูลโซโรฟยาที่ข้าสงวนไว้สำหรับเจ้าคงจะสูญเปล่า”
นั่นคือประโยคที่พ่อของคาร์เตอร์บอกเขา ทั้งเรียบง่ายและตรงไปตรงมา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มันน่าตกใจน้อยลงเลยสักนิด ย้อนกลับไปในตอนนั้น คาร์เตอร์ยังหนุ่มและเลือดร้อน ทำให้เขาไม่สามารถเมินเฉยต่อประโยคดังกล่าวที่ปรากฏออกมาโดยกะทันหันว่าเขานั้นกำลังหมั้นหมายกับหญิงอื่นอยู่ได้ จอมเวทหนุ่มจึงเรียกร้องรายละเอียดจากพ่อของเขาในทันที
ด้วยเหตุนี้เรื่องราวในอดีตจึงได้ถูกตีแผ่ออกมา
ปู่ของโรเอล หรือ บลังก์ แอสคาร์ด ถูมือของเขาเข้าด้วยกันก่อนจะสั่งให้คนรับใช้เปิดลิ้นชักเอาสัญญาหมั้นขึ้นมา ตามที่บลังก์บอก การหมั้นหมายนี้ถูกกำหนดมาตั้งแต่ก่อนการก่อตั้งสมาคมพ่อค้าโรซ่าขึ้นเสียอีก
ในปีสุดท้ายของการปฏิวัติปลดปล่อยเมืองโรซ่า จักรวรรดิออสทีนได้พยายามดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย โดยการส่งทัพสนับสนุนขนาดใหญ่เข้ามาหวังที่จะจัดการกับชาวเมืองโรซ่า ด้วยจำนวนศัตรูที่มีมากกว่าพวกเขาถึงสามเท่า ชาวโรซ่าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขอความช่วยเหลือจากจักรวรรดิเซนต์เมซิท ทว่าจักรวรรดิเซนต์เมซิทนั้นไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะสามารถส่งกองทัพเข้าไปช่วยเหลือพวกเขาโดยตรงได้
นั่นก็เพราะจักรวรรดิเซนต์เมซิท ไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงความขัดแย้งระหว่างเมืองโรซ่าและ จักรวรรดิออสทีน เนื่องจากในตอนนั้นเมืองโรซ่าถือเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสทีน การต่อสู้จึงถือว่าเป็นสงครามการเมืองภายใน
ตามข้อตกลงกฎหมายสากล อาณาจักรภายนอกไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของอาณาจักรอื่นได้ ดังนั้นจักรวรรดิเซนต์เมซิทจึงทำได้เพียงแค่เลือกที่จะเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยการให้ความช่วยเหลือในจังหวะที่จำเป็น ทว่าพวกเขาไม่สามารถเข้าร่วมในการต่อสู้ตรง ๆ ได้ เพราะนั่นไม่เพียงแต่จะทำลายชื่อเสียงของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังอาจจะสร้างปัญหามากมายตามมาอีกด้วย
อย่างไรก็ตามจักรวรรดิเซนต์เมซิทก็ไม่สามารถนิ่งดูดายให้ฝ่ายกบฏในเมืองโรซ่าถูกกำจัดโดยกองทัพของจักรวรรดิออสทีนได้เช่นกัน ไม่เช่นนั้นความช่วยเหลือทั้งหมดที่พวกเขาสนับสนุนชาวโรซ่าก่อนหน้านี้เพื่อการปลดปล่อยเมืองโรซ่าจะต้องสูญเปล่า
ช่วงเวลาสำคัญนี้เอง ตระกูลแอสคาร์ดพันธมิตรที่อยู่ใกล้เคียงเมืองโรซ่าก็ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาด้วยวิธีที่เรียกได้ว่า ในความชอบธรรมย่อมมีช่องทางให้ใช้กลอุบายสกปรกอยู่เสมอ
มันไม่ใช่เรื่องแปลกในสงครามที่กองทัพจะเดินทางออกไปเกินขอบเขตชายแดนเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขากำลังไล่ตามกองกำลังของศัตรู ซึ่งตระกูลแอสคาร์ดก็ได้ใช้ประโยชน์จากประเด็นช่องโหว่นี้อย่างเต็มที่ เพื่อหาข้ออ้างโจมตีกองทัพของจักรวรรดิออสทีน
อะไรกัน? กองทัพพวกเจ้าบุกเข้ามาในเขตแดนของพวกข้า แล้วคิดว่าพวกข้าจะปล่อยไปง่าย ๆ เพียงเพราะมันเป็น ‘อุบัติเหตุ’ งั้นเหรอ? หึ! นี่เรียกว่าการโจมตีเพื่อป้องกันเขตแดน รู้เอาไว้ด้วย!
ด้วยเหตุนี้กองทัพของจักรวรรดิออสทีนจึงต้องทนทุกข์ทรมานจากกองกำลังของเขตการปกครองแอสคาร์ด ต่างจากคาร์เตอร์ แอสคาร์ด ลูกชายที่เขาพร่ำสอนมาอย่างดี บลังก์ แอสคาร์ดผู้เป็นบิดานั้นเป็นคนที่ไร้เหตุผลและเล่นแผนสกปรกสุด ๆ แทนที่จะเผชิญหน้ากับจักรวรรดิออสทีนตรง ๆ เขาเลือกที่จะฉวยโอกาสอาศัยจังหวะที่จักรวรรดิออสทีนกำลังต่อสู้กับตระกูลโซโรฟยา ตีทัพตลบหลังพวกเขา ทำแบบนี้ซ้ำวนเวียนไปสองสามครั้ง จนหลอกหลอนทำให้ทหารของจักรวรรดิออสทีนต้องมองไปยังข้างหลังขบวนทัพของตัวเองอยู่เสมอ
การโจมตีตลบหลังอันเฉียบขาดนี้ทำให้จักรวรรดิออสทีนเสียเปรียบเป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนไปดำเนินการเจรจาแบบสามฝ่ายแทน
บนโต๊ะเจรจา บลังก์ แอสคาร์ดได้พบกับผู้นำตระกูลโซโรฟยาในสมัยนั้นอย่างทินดิ โซโรฟยาเป็นครั้งแรก ทว่าพวกเขากลับรู้สึกผูกพันอย่างลึกซึ้งกับอีกฝ่ายราวกับว่าพวกเขาเป็นเพื่อนที่ห่างหายกันไปนานและได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ทั้งสองคนเกือบจะปฏิญาณตนเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันในวันนั้น แต่ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะยุติลงด้วยสายใยแห่งการแต่งงานแทน
เพื่อให้เป็นทางการ พวกเขาจึงได้ลงนามสัญญาหมั้นส่วนตัวกันที่นั่น
ทั้งสองคนสนิทสนมกันมากจนผู้เจรจาต่อรองของจักรวรรดิออสทีนเกือบจะถอนตัวออกกลางคัน
ไม่ว่าจะในกรณีใด ความไร้ยางอายของทั้งสองได้ทำให้จักรวรรดิออสทีนไม่สามารถผลักดันแผนของพวกเขาได้ เมื่อพวกเขาเห็นว่าตนเองไม่ได้ถือไพ่เหนือกว่าอีกต่อไปแล้ว พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่พยายามเรียกค่าชดเชยจากชาวโรซ่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะลงนามในข้อตกลงสันติภาพที่จักรวรรดิออสทีนจะต้องตกลงยอมรับว่าเมืองโรซ่าเป็นอาณาจักรที่มีเอกราชเป็นของตนเอง
วินาทีนั้นเอง สมาคมพ่อค้าโรซ่าก็ได้ถือกำเนิดขึ้น!
แม้สัญญาหมั้นจะถูกนำออกมา เพื่อทำให้จักรวรรดิออสทีนรู้สึกรังเกียจและทำลายแผนการของพวกเขาบนโต๊ะเจรจาลง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าสัญญานั้นจะไม่มีผลผูกพัน ทั้งตระกูลโซโรฟยาและตระกูลแอสคาร์ด ต่างก็รับรู้ถึงความชอบธรรมของมัน และพวกเขาก็ตั้งใจที่จะใช้มันจริง ๆ
ถึงผู้นำของตระกูลแอสคาร์ดมักจะหลบเลี่ยงหน้าที่ของตนในฐานะผู้ปกครองบริหารเขตการปกครอง แต่พวกเขาก็รู้ตัวดีว่าตนเองนั้นไร้ความสามารถในการบริหารการปกครองแค่ไหน ซึ่งทางตระกูลโซโรฟยาเองก็ตระหนักถึงความสามารถทางการทหารอันอ่อนแอของตนเองด้วยเช่นกัน โดยธรรมชาติแล้ว ตระกูลทั้งสองนั้นช่างเหมาะสมกันเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าด้วยปัญหาทางด้านเพศสภาพ การหมั้นหมายนี้จึงไม่ได้เกิดขึ้นในรุ่นของคาร์เตอร์ เพราะทั้งตระกูลโซโรฟยาและตระกูลแอสคาร์ดต่างก็ให้กำเนิดบุตรชายเพียงคนเดียว นอกจากนี้หลังจากที่บลังก์ตายไปก็ไม่มีใครพูดถึงการหมั้นหมายนี้อีก ทำให้มาร์ควิสคาร์เตอร์ลืมเกี่ยวกับมันไปแล้ว
ทว่าไม่นานมานี้ คาร์เตอร์ได้รับจดหมายจากเมืองโรซ่าที่ทำให้เขาต้องตกตะลึง เขาจึงขอพักงานชั่วคราวในทันทีและมุ่งตรงกลับมายังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ด้วยความตกใจ
ตระกูลโซโรฟยาจำสัญญาการหมั้นหมายนั้นได้ และพวกเขาต้องการจะใช้มัน!
ตามที่จดหมายระบุไว้ ดูเหมือนว่าเขตการปกครองแอสคาร์ดได้ส่งข้อเสนอไปยังตระกูลโซโรฟยา เพื่อเสนอแนวทางนโยบายการพัฒนาร่วมกัน ซึ่งตระกูลโซโรฟยาเองก็คิดว่าโรเอลนั้นมีพรสวรรค์ในด้านการทำธุรกิจ และพวกเขาก็ประเมินโรเอลไว้สูงมาก ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงต้องการทำตามสัญญาหมั้นหมายที่ลงนามไว้เมื่อร้อยปีก่อน สร้างสายใยการแต่งงานระหว่างทั้งสองตระกูล
หากประเมินจากระยะเวลาแล้วล่ะก็ ฝั่งตระกูลโซโรฟยาน่าจะเริ่มออกเดินทางกันแล้ว มันจึงสายเกินไปสำหรับคาร์เตอร์ที่จะหยุดพวกเขา และเขาเองก็ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะหยุดพวกเขาได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาเกี่ยวกับข้อเสนอหรือการหมั้นหมาย วิธีที่เหมาะสมที่สุดมีเพียงแค่การพบปะพูดคุยด้วยตนเองเท่านั้น
การหมั้นหมายระหว่างตระกูลขุนนางนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น มันไม่ง่ายที่จะยกเลิกสัญญาการหมั้นหมาย โดยการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าภายใน 7 วัน ไม่มีความอัปยศใดจะเลวร้ายสำหรับสตรีจากตระกูลขุนนางผู้สูงศักดิ์มากไปกว่าการถูกปฏิเสธในสัญญาหมั้น หากไม่มีเหตุผลอันสมควร เธอคนนั้นจะต้องกลายเป็นที่เย้ยหยันในแวดวงชนชั้นสูง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าหากเขาไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะสมแล้วล่ะก็ ตระกูลแอสคาร์ดจะต้องกลายเป็นศัตรูของตระกูลโซโรฟยาแน่
นี่หมายความว่าโรเอลไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากการหมั้นหมายอย่างนั้นเหรอ?
นั่นก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน
ตั้งแต่สมัยโบราณมี ‘การแต่งงานทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม’ อยู่มากมาย แวดวงขุนนางเองก็มีความยืดหยุ่นอยู่บ้าง โดยการปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายมีช่องว่างสำหรับก้าวถอยหลังหากจำเป็น ซึ่งเรียกว่าระยะเวลาในการปรับตัว
ปกติแล้วระยะเวลาในการปรับตัวจะมีเวลาร่วมหลายเดือน ในช่วงเวลานี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องไปเยี่ยมเยียนกัน เพื่อพยายามจุดประกายความรู้สึกที่มีต่อกัน หากทั้งคู่รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่เหมาะสมกับตัวเองหลังจากพยายามมาหลายเดือนแล้วล่ะก็ พวกเขาก็จะสามารถยกเลิกการหมั้นหมายลงได้
แม้ว่าจะมีประเพณีเช่นนี้อยู่ แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะถูกพูดถึงในชีวิตจริงเท่าไหร่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตระกูลขุนนางชั้นสูงส่วนใหญ่ มักจะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตระกูลมากกว่าความรู้สึกของตัวเอง นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้การแต่งงานทางการเมืองอันโชคร้ายยังคงมีอยู่มากมาย อย่างไรก็ตามสถานการณ์ระหว่างตระกูลแอสคาร์ดและตระกูลโซโรฟยานั้นต่างออกไปจากสถานการณ์ทั่ว ๆ ไปเล็กน้อย เนื่องจากมันเป็นสัญญาหมั้นที่มีอายุนานนับศตวรรษ
แต่ไม่ว่าจะในกรณีใด การพบปะระหว่างโรเอลกับคู่หมั้นของเขาจากตระกูลโซโรฟยาก็ยังเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อมองไปยังเด็กสาวผู้มีพรสวรรค์เยี่ยงสัตว์ประหลาดสองคนที่วิ่งมาทางเขาพร้อมกับโรเอลอย่างมีความสุข มาร์ควิสคาร์เตอร์ก็พบว่าความกล้าของเขาค่อย ๆ ลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ ทว่าเขาก็รู้ดีว่าตนเองไม่อาจเลื่อนเรื่องนี้ออกไปได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะจุดประเด็นนี้และจบมันให้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
คาร์เตอร์ก้าวไปข้างหน้าก่อนและกอดโรเอลเอาไว้แน่น แล้วจึงทักทายเด็กสาวทั้งสองคนด้วยการพยักหน้า จากนั้นก่อนที่โรเอลจะได้พูดอะไรออกมา จอมเวทก็ชิงพูดก่อนทันที
“โรเอล ที่ข้ารีบกลับมาที่นี่ก็เพราะข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกให้เจ้าได้รู้ เจ้ามีคู่หมั้นแล้ว และชื่อของเธอคือ ชาร์ล็อต โซโรฟยา”