บทที่ 13: ไม่ต้องกังวลไป เรือของพวกเราจะไม่ล่ม
ท่านพ่อจะกลับมาพรุ่งนี้งั้นเหรอ? เร็วไปรึเปล่า?
โรเอลรู้สึกประหลาดใจ เพราะเขาไม่คิดว่ามาร์ควิสคาร์เตอร์จะมีวันว่างอย่างกะทันหันเช่นนี้ เขาลูบคางอย่างครุ่นคิดโดยไม่รู้ตัว ราวกับกำลังเลียนแบบท่าทางของนักวิชาการอาวุโสจากอาณาจักรแห่งการศึกษา โบรเนล
เมื่อเห็นท่าทางอันไม่สมวัยของเด็กน้อย เหล่าคนรับใช้ที่เฝ้าดูต่างก็รู้สึกขบขันจนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ
มาร์ควิสคาร์เตอร์ นั้นเป็นขุนนางคนสำคัญของจักรวรรดิเซนต์เมซิท เขาไม่ได้มีวันทำงานที่แน่นอนเท่าไหร่ ใครเล่าจะสามารถบังคับให้ผู้มีฐานะระดับเขาทำงานตามตารางได้? ทว่าในฐานะที่คาร์เตอร์มีตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการจอมเวทของกองทหารอัศวินศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงถือว่าเป็นทั้งทหารและขุนนางในเวลาเดียวกัน ทำให้คาร์เตอร์ต้องรับผิดชอบทั้งในด้านการค้นคว้าเวทมนตร์ใหม่ ๆ พร้อมทั้งฝึกฝนผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไปด้วย
ความเชื่อมโยงที่ฝังรากลึกลงไปในกองทัพของจักรวรรดินี้ คือกุญแจดอกสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลแอสคาร์ด การปรากฏตัวของจอมเวทผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถในตระกูลทำให้อิทธิพลของพวกเขาสามารถแทรกซึมเข้าไปในกองทัพได้ หากย้อนกลับไปตามเชื้อสายของตระกูลแอสคาร์ดแล้ว ว่ากันว่าบางคนในหมู่พวกเขาเคยได้ก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของกองทัพเลยด้วยซ้ำไป
ด้วยเหตุนี้มาร์ควิสคาร์เตอร์จึงมักใช้เวลาของเขาอยู่กับเหล่าอัศวิน แล้วมอบหน้าที่การบริหารจัดการเขตการปกครองให้กับลูกน้อง เขาจะกลับมายังเขตการปกครองแอสคาร์ด เพียงแค่สามถึงห้าวันต่อเดือนเท่านั้น เพื่อทำการตรวจสอบและจัดการประชุมกำหนดทิศทางในการพัฒนาของเขตการปกครอง
นี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้โรเอลต้องเติบโตมาโดยไม่มีสมาชิกในครอบครัวและขาดความอบอุ่น ซึ่งมาร์ควิสคาร์เตอร์เองก็รู้สึกผิดอย่างสุดซึ้งกับเรื่องนี้
โรเอลทำการคำนวณอย่างรวดเร็ว เวลานี้เพิ่งจะผ่านมาเพียงครึ่งเดือนหลังจากที่พ่อของเขากลับมาครั้งล่าสุด มันจึงเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากที่เขาจะกลับมาอีกในเร็ว ๆ นี้ พร้อมกับแขก …
ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจะเป็นแขกของตระกูลแอสคาร์ดย่อมไม่ใช่บุคคลทั่ว ๆ ไป อย่างน้อย ๆ พวกเขาก็ต้องเป็นขุนนางที่มีบรรดาศักดิ์สูงส่ง เพื่อให้มาร์ควิสคาร์เตอร์รับเรื่องและแจ้งกลับมายังคฤหาสน์ให้คนรับใช้ทราบกันก่อน เป็นความหมายแฝงว่า ‘แขกกิตติมศักดิ์กำลังจะมา จงเตรียมตัวให้พร้อม!’
นี่ทำให้โรเอลอดสงสัยไม่ได้เลยว่าแขกคนนั้นเป็นใครกัน?
เด็กชายครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง จนในที่สุด … เขาก็ตัดสินใจว่า สู้ใช้เวลาไปกับอาหารเย็นของตนแทนน่าจะดีกว่า
ยังไงซะเขาก็ไม่ได้รู้จักคนมากมายเท่าไหร่อยู่แล้ว คิดไปก็เปล่าประโยชน์! แทนที่จะปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย เขาควรทำสิ่งที่มีประโยชน์อย่างการกินให้อิ่มและหาแต้มความสนใจ!
“มาสิ อลิเซีย อ้ามมม” โรเอลเรียกให้เธออ้าปากรับ
“งับ!” เด็กสาวทานอาหารชิ้นนั้นพร้อมกับยิ้มแก้มปริ เธอชอบอาหารที่พี่ชายเธอป้อนที่สุดเลย
“เด็กดี ๆ รสชาติเป็นอย่างไรบ้างล่ะ? ฉันบอกให้พ่อครัวเพิ่มน้ำตาลอีกหน่อย คราวนี้มันจะได้ไม่เปรี้ยวจนเกินไป” เขาถามอย่างเอาใจ
“อืม รสชาติมันดีกว่าคราวก่อนมากค่ะ ขอบคุณมากค่ะพี่ใหญ่โรเอล”
อลิเซียเงยหน้าขึ้น เผยรอยยิ้มหวานและดวงตาสีทับทิมอันเป็นประกายของเธอออกมา ราวกับว่ารัศมีของดวงอาทิตย์ยามเช้าได้สาดส่องลงมาดึงดูดให้ผู้อื่นต้องจ้องมองไปทางเด็กสาว
อื้อหือ! น่ารักจริง ๆ! เราคงจะต้องตายเพราะรอยยิ้มนี้สักวันหนึ่งแน่ ๆ! โรเอลยิ้มกริ่มในใจ
เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหักห้ามใจไม่ให้เข้าไปกอดน้องสาวผู้น่ารักคนนี้ เด็กชายรักษาความสงบสุขุมเอาไว้ได้สำเร็จ จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดปากมาเช็ดซอสที่เลอะตรงมุมปากของอลิเซียออกอย่างเบามือ ดวงตาของสาวน้อยหรี่ลงเมื่อถูกสัมผัส ชวนให้นึกถึงแมวตัวน้อยที่กำลังถูกเจ้าของดูแล
ตามหลักแล้วงานเช่นนี้ควรเป็นของพวกคนรับใช้ แต่พวกสาวรับใช้ก็รู้ดีว่าบรรยากาศตอนนี้เป็นเช่นไรและเลือกที่จะไม่เข้าไปขัดจังหวะ เพียงแค่เฝ้าดูการโต้ตอบของเด็กน้อยทั้งสองด้วยรอยยิ้ม… แม้ว่าดวงตาอันเปล่งประกายของแอนนาจะแตกต่างกันออกไปสักหน่อย
ความหวานแบบนี้แหละที่เธออยากเห็นในทุก ๆ วัน!
ในช่วงเดือนที่ผ่านมาความสำคัญของอลิเซียในคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ดได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่เธอเป็นเพียงบุตรีบุญธรรมจากตระกูลบารอน ตอนนี้เด็กสาวถูกมองโดยเหล่าคนรับใช้ว่าเป็นบุคคลสำคัญในอนาคตของตระกูลแอสคาร์ด
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างโรเอลและอลิเซียมีส่วนอย่างมากในเรื่องนี้ แต่ปัจจัยชี้ขาดนั้นเป็นผลมาจากการสนทนาระหว่างโรเอลและมาร์ควิสคาร์เตอร์
การพูดคุยกันระหว่างพ่อกับลูก ไม่เพียงแต่อนุญาตให้โรเอลบรรลุแรงจูงใจของเขาเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดผลข้างเคียงบางอย่างที่ไม่ได้ตั้งใจ รวมถึงเปลี่ยนแปลงวิธีที่พ่อของเขาปฏิบัติต่ออลิเซียด้วยเช่นกัน
หลังจากที่ได้รู้ว่าแผนการ ‘ใช้เด็กอีกคนที่มีวัยใกล้เคียงกันทำให้ลูกชายผู้เอาแต่ใจกลับไปสู่เส้นทางที่เหมาะสม’ ประสบความสำเร็จ มาร์ควิสคาร์เตอร์ก็รู้สึกขอบคุณอลิเซียอย่างสุดซึ้ง เขาเริ่มสนใจเธอมากขึ้น แม้ว่ามันจะเป็นเพียงความรู้สึกขอบคุณที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของคาร์เตอร์ แต่เหล่าคนรับใช้ในคฤหาสน์กลับตีความแตกต่างกันออกไปไกลมาก
ท่านมาร์ควิสโปรดปรานนายหญิงอลิเซียมาก! เขาตั้งใจที่จะให้นายน้อยโรเอลแต่งงานกับเธอเพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อสายของตระกูลแอสคาร์ดจะยังคงดำเนินต่อไป!
ข่าวลือดังกล่าวแพร่กระจายไปทั่วคฤหาสน์ การกระทำของโรเอลจึงกลายเป็นเพียงแค่ข้อยืนยันเท่านั้น เรือคู่รัก ‘โรเอล X อลิเซีย’ กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว กลายเป็นแหล่งเก็บเกี่ยวแต้มความสนใจให้กับโรเอล
เรื่องราวความโรแมนติกในวัยเด็กอันแสนหวานระหว่างเด็กน้อยทั้งสองคนนั้นเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่สาวใช้ที่มีอายุมากกว่าเล็กน้อย นอกจากนี้เหล่าคนรับใช้เองก็ชอบที่จะให้ใครสักคนที่พวกเขารู้จักตั้งแต่ยังเด็กมาเป็นบุคคลสำคัญในอนาคตของตระกูลแอสคาร์ดที่พวกเขารับใช้ แทนที่จะเป็นคนแปลกหน้าที่พวกเขาไม่เคยได้รู้จักจากที่อื่น
ทำได้ดีมากนายน้อย! คว้าหัวใจของนายหญิงอลิเซียมาให้ได้ ด้วยเสน่ห์ของท่าน อนาคตของตระกูลแอสคาร์ดจะต้องเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาแน่!
แอนนากุมมือที่อกของเธอแน่น พร้อมกับให้กำลังใจโรเอลอยู่ในใจ
ทว่าความคิดในหัวของโรเอลนั้นแตกต่างจากที่สาวใช้คาดหวังโดยสิ้นเชิง
มันยากมากที่เด็กน้อยอายุราว ๆ 9 ขวบและเด็กสาวอายุ 7 ขวบ จะเข้าใจถึงความรัก แม้แต่โรเอลในชาติก่อนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยังไม่เคยมีความรู้สึกใด ๆ ต่อความสัมพันธ์แบบชายหญิงเลยด้วยซ้ำ
อีกทั้งในช่วงเวลานี้ เนื่องจากร่างกายของโรเอลยังไม่ได้เติบโตถึงวัยแตกเนื้อหนุ่ม มุมมองความสนใจในตัวอลิเซียของเขาจึงมีเพียงแค่ความเอ็นดูในความน่ารักของเธอเท่านั้น ราวกับว่าอลิเซียเป็นซุปไก่ที่ช่วยเยียวยาจิตใจอันอ่อนล้าของเขา
หลังจากป้อนอาหารให้อลิเซียเสร็จแล้วโรเอลก็รีบรับประทานอาหารบนจานของเขา เนื่องจากพวกเขาทั้งสองคนไม่ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากเท่าไหร่ พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะนั่งคุยกันต่อหลังจากที่รับประทานอาหารค่ำเสร็จแล้ว
ในเมื่อมาร์ควิสคาร์เตอร์ไม่อยู่ที่นี่ในขณะนี้ พวกเขาทั้งคู่จึงสามารถนั่งอยู่ที่นี่ได้นานเท่าที่พวกเขาต้องการ!
อย่างไรก็ตามด้วยร่างกายที่ยังเยาว์วัย โรเอลและอลิเซียจึงรู้สึกเหนื่อยอ่อนอย่างรวดเร็ว พวกเขาสามารถอยู่ที่นี่ได้นานสุดถึงแค่เวลาสองทุ่มเท่านั้น ก่อนที่จะกลับไปนอนในห้องของตน
คำถามก็คือ โรเอลและอลิเซียใช้เวลาทำอะไรร่วมกันช่วงเวลาหลังอาหารเย็นก่อนที่จะเข้านอน
ด้วยความที่แสงสว่างในเวลากลางคืนนั้นมีราคาสูงลิบลิ่ว ผู้คนทั่วไปส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะจิบชาผ่อนคลายหรือไม่ก็พูดคุยกับคนที่รักก่อนเข้านอน ส่วนจะมีกิจกรรมอะไรเพิ่มเติมบนเตียงนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
ทว่าสำหรับชนชั้นขุนนางแล้วกิจกรรมยามค่ำคืนของพวกเขานั้นกว้างขวางกว่ามาก เนื่องจากเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเขา จึงมีหลายสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ยามค่ำคืน เช่นการเล่นหมากรุก หรืออ่านหนังสือ
ผู้ที่ชื่นชอบในศิลปะก็อาจจะเลือกการเต้นรำหรือเล่นดนตรี และถ้าหากมีผู้คนอยู่รอบ ๆ เป็นจำนวนมาก พวกเขาก็อาจจะจัดงาน ‘ปาร์ตี้ชมจันทร์’ ขึ้น
โดยปกติแล้วอลิเซียและโรเอลจะใช้เวลาร่วมกันเพื่อพูดคุยหรืออ่านหนังสือด้วยกัน แต่เนื่องจากบทสนทนาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการศึกษาของพวกเขา หัวข้อในวันนี้จึงมุ่งไปทางการศึกษาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“พี่ใหญ่โรเอล หนูแก้ปัญหานี้ไม่ได้ พี่ช่วยสอนให้หน่อยได้ไหมคะ?”
ทันทีที่อลิเซียยื่นการบ้านของเธอออกมาปรึกษากับโรเอล ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด เหล่าคนรับใช้ที่คิดจะส่งเสียงเชียร์โรเอลเมื่อครู่ต่างตัวแข็งทื่อไปในทันที แม้แต่แอนนาเองก็ยังไม่สามารถปกปิดความตกใจของเธอเอาไว้ได้ทันเวลา
ความประทับใจทุกอย่างที่นายน้อยทำมาโดยตลอดจะต้องพังทลายลงตรงนี้จริง ๆ งั้นเหรอ?
ในฐานะสาวใช้ส่วนตัวของโรเอล แอนนาย่อมรู้ถึงระดับการศึกษาของเด็กชายในปัจจุบันดีกว่าใคร ๆ เนื่องจากโรเอลในตอนนี้ล้าหลังกว่าอลิเซียอยู่มาก แล้วเขาจะสอนเธอแก้ปัญหาได้อย่างไรกัน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตนี้ แอนนาจึงเลือกที่จะเดินออกมาข้างหน้าแล้วพูดแทรกสกัดเอาไว้
“นายหญิงอลิเซียคะ วันนี้นายน้อยโรเอลนั้นเหนื่อยล้ากับการจัดเก็บภาษีมาทั้งวันแล้ว ดิฉันเกรงว่า…”
“ไม่เป็นไร” โรเอลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เหล่าคนรับใช้ต่างตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ด้วยที่โรเอลนั้นเลือกที่จะปฏิเสธความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีของแอนนา เด็กชายรับการบ้านในมือของอลิเซียมาอย่างสง่างาม ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มอันมั่นใจออกมาที่มุมปากพลางหันกลับไปมองเล็กน้อย
“มีปัญหาตรงไหนงั้นเหรอ? มาสิ ฉันจะสอนเธอเอง”