บทที่ 133: จดหมายสีเหลือง
โรเอลนั่งอยู่หน้าโคมไฟในห้องสมุด จ้องมองไปยังจดหมายในมือก่อนจะค่อย ๆ แปลข้อความภายใน โชคดีที่มันค่อนข้างกระชับ ดังนั้นเด็กชายจึงไม่มีปัญหาในการแปลมัน เขาสามารถตีความทุกคำในข้อความได้ แต่เมื่อนำมารวมกันทั้งหมดมันกลับดูไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่นัก
นี่คือข้อความภายในจดหมายที่ถูกแปลออกมา
⌈ ถึง ผู้ปกครองเขตการปกครอง
กลางเดือนที่สี่ ข้าจะไปถึงท่าเรือทูฮอร์นพร้อมไข่
องค์จักรพรรดินี ⌋
โรเอลจ้องไปที่เนื้อหาที่ตนเองแปลในกระดาษอย่างครุ่นคิดโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำเป็นเวลานาน ทำให้อลิเซียที่กำลังมองดูจดหมายจากด้านหลังรู้สึกสับสนเล็กน้อย
“พี่ใหญ่โรเอล นี่มันหมายความว่ายังไงเหรอคะ?”
“ขอพี่ลองอ่านดูอีกทีนะ”
โรเอลตรวจสอบเนื้อหาของจดหมายอย่างละเอียดอีกสองครั้ง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีอะไรผิดปกติกับการแปลของเขา เด็กชายจึงเริ่มตรวจสอบที่ตัวจดหมายและซองจดหมายอย่างระมัดระวังเพื่อหาเบาะแสเพิ่มเติม แต่นอกเหนือจากตราประทับขี้ผึ้งสีทองแล้ว ก็ไม่มีเบาะแสอื่นใดอีก
ท้ายที่สุดโรเอลก็เก็บจดหมายกลับเข้าไปในซองจดหมาย และพยายามรวบรวมเบาะแสที่เขาได้มาจนถึงตอนนี้
ผู้ปกครองเขตการปกครอง ไข่ และจักรพรรดินี
จากเบาะแสเหล่านี้ สิ่งแรกที่โรเอลคิดได้ก็คือ… ราชวงศ์กำลังตามหาผู้สืบสกุล?
โอ้พระเจ้า จดหมายนี่คงไม่ได้เป็นจดหมายเรียกร้องหาคู่ครองของราชวงศ์ใช่ไหม?
โรเอลหวนนึกถึงชั้นสมุดบันทึกโรคจิตวิปริตของพอนเต้ในคฤหาสน์เขาวงกต เขาจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าจดหมายนี้ เป็นหนึ่งในรสนิยมอันวิปริตอย่างหนึ่งของบรรพบุรุษในอดีตรึเปล่า ไข่ กับจักรพรรดินี…
นี่คงไม่ใช่การละเล่นวิปริตทางเพศบางประเภทใช่ไหม?
ความคิดสกปรกทุกประเภทเข้าท่วมท้นจิตใจของโรเอล ทำให้ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ทว่าทันทีที่เด็กชายสัมผัสได้ถึงสายตาจ้องมองมาจากอลิเซีย เขาก็รีบส่ายหัวและบอกตัวเองให้สงบลง
ไม่ ไม่ ไม่ ไม่น่าจะเป็นแบบนั้นสิ มันแปลกพอแล้วที่ได้เจอบันทึกโรคจิตจากเมื่อ 200 ปีก่อน เราคงไม่โชคดีมากขนาดได้จดหมายโรคจิตจากอดีตด้วยหรอกน่า
จดหมายฉบับนี้พูดถึง ‘ไข่’ เท่านั้น ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นของมนุษย์เสมอไป นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงท่าเรือทูฮอร์น เป็นไปได้ว่าที่ระบุไว้ในจดหมายอาจจะหมายถึงไข่ปลาก็ได้ บางทีบรรพบุรุษของเราก็แค่อยากจะกินไข่ปลาคาเวียร์หรืออะไรสักอย่าง
ปัญหาก็คือนามของผู้เขียนจดหมายที่เขียนระบุไว้ว่า ‘จักรพรรดินี’ หมายความว่ายังไงกัน? เธอเป็นราชินีแห่งวงการไข่ปลาคาเวียร์งั้นหรือ?
“ผู้ปกครองเขตการปกครอง และจักรพรรดินี วิธีพูดที่เป็นทางการนี้ ฟังดูเหมือนชื่อเล่นบางอย่างมากกว่านะคะ”
“หืม? ใช่เลย บางทีพวกเขาอาจจะกำลังพาดพิงถึงอย่างอื่นก็ได้”
โรเอลกะพริบตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเขารู้สึกว่าสิ่งที่อลิเซียพูดดูสมเหตุสมผล จดหมายส่งถึง ‘ผู้ปกครองเขตการปกครอง’ ทำให้โรเอลสันนิษฐานได้ว่าจดหมายนี้ส่งถึงผู้นำแห่งตระกูลแอสคาร์ด แต่มันอาจจะไม่จำเป็นจะต้องเป็นอย่างนั้นก็ได้
มีความเป็นไปได้มากว่า ‘ผู้ปกครองเขตการปกครอง’ และ ‘จักรพรรดินี’ จะเป็นเพียงรหัสลับสำหรับสมาชิกภายในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง เพราะจดหมายจริง ๆ ระหว่างขุนนางผู้ปกครองเขตการปกครอง และจักรพรรดินี ไม่มีวันลงนามในลักษณะที่คลุมเครือเช่นนี้แน่ นั่นก็เพราะขุนนางใส่ใจเรื่องมารยาททางสังคมเป็นอย่างมาก
อีกทั้งด้วยตำแหน่งของตระกูลแอสคาร์ดในจักรวรรดิเซนต์เมซิท มันจึงไม่น่าเป็นไปได้ที่พวกเขาจะเข้าร่วมกับองค์กรใด ๆ หากตระกูลแอสคาร์ดมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรใดองค์กรหนึ่งอย่างแท้จริง เป็นไปได้ว่าองค์กรนั้นมีลักษณะผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งอาจเป็นการรวมตัวของแวดวงขุนนางและเจ้าหน้าที่ หรือองค์กรผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ
ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ตระกูลแอสคาร์ดไม่ได้แสดงความทะเยอทะยานทางการเมืองออกมาเลยแม้แต่น้อย พวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่ภักดีเชื่อฟังอยู่เสมอ จนเริ่มจะตกต่ำลงแล้วด้วยซ้ำ เหตุผลแรกจึงฟังดูไม่น่าจะเป็นไปได้เท่าไหร่
แต่มันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่ตระกูลแอสคาร์ดจะเข้าร่วมองค์กรของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ทำงานภายใต้นามแฝงของ ‘ผู้ปกครองเขตการปกครอง’ กับใครบางคนที่มีชื่อรหัสว่า ‘จักรพรรดินี’ ซึ่งพวกเขาทั้งสองฝ่ายก็ได้ทำข้อตกลงบางอย่างเกี่ยวกับ ‘ไข่’ และสัญญาว่าจะนัดพบกันที่ท่าเรือทูฮอร์นเพื่อจัดการสินค้า
จากสภาพที่สึกหรอของกระดาษ โรเอลสามารถประเมินได้อย่างคร่าว ๆ ว่าซองจดหมายนี้เดินทางมาไกลพอสมควรก่อนที่มันจะมาถึงเขตการปกครองแอสคาร์ด เรียกได้ว่าอาจจะข้ามทะเลมาด้วยซ้ำ
“ตราประทับขี้ผึ้งผสมทองนี้มีสัญลักษณ์ของสมอกับดอกกุหลาบ ซึ่งถือเป็นการรวมกันที่ค่อนข้างแปลกเลย… เดี๋ยวก่อนนะ กุหลาบสีทองงั้นเหรอ?”
เมื่อมองไปที่ตราสัญลักษณ์อีกรอบ โรเอลก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ เขาตระหนักว่าเขาเคยเห็นตรานี้มาก่อน
“ดอกกุหลาบสีทองเป็นตราประจำตำแหน่งของตระกูลโซโรฟยานี่นา?”
“ตระกูลโซโรฟยา? พี่ใหญ่โรเอล พี่กำลังจะบอกว่าจดหมายนี้มาจากตระกูลโซโรฟยางั้นเหรอคะ?”
ทันทีที่ได้ยินชื่อตระกูลที่ทำให้เธอต้องหัวหมุนเมื่อไม่นานนี้ ดวงตาของอลิเซียก็หรี่ลง เธอจ้องไปที่จดหมายเก่า ๆ บนโต๊ะ ทันใดนั้นเด็กสาวก็รู้สึกว่าการค้นคว้าเกี่ยวกับจดหมายฉบับนี้ไม่ใช่เรื่องดีอีกต่อไป
เราเอามันกลับไปที่เดิมทันไหมนะ?
นั่นคือสิ่งที่อลิเซียคิดอยู่ในใจ ซึ่งโรเอลที่กำลังครุ่นคิดอยู่ก็ได้ส่ายหัวขึ้นมา
“ไม่สิ มันยังเร็วเกินไปที่จะสรุปแบบนั้น มีรูปสมอเรืออยู่ข้าง ๆ ดอกกุหลาบสีทอง อีกทั้งยังมีองค์กรมากมายที่ใช้ดอกกุหลาบเป็นตราของพวกเขา แม้แต่ในจักรวรรดิเซนต์เมซิทเองก็ยังมีตระกูลขุนนางชั้นสูงมากมายเลยที่ใช้ตรารูปดอกกุหลาบ”
“เข้าใจแล้ว ดีจังเลย…”
“โอ้ ท่านหญิงชาร์ล็อตจากตระกูลโซโรฟยา กำลังจะมาที่นี่ในอีกสองวันข้างหน้านี่นา ไว้พี่ค่อยถามเธอก็ได้”
รอยยิ้มของอลิเซียจางหายไปทันที เธอก้มศีรษะลงปิดหน้าด้วยความเสียใจ คร่ำครวญกับการตัดสินใจที่โง่เขลาของตน อลิเซียหวังว่าจะได้รับคำชมจากโรเอล แต่ที่ไหนได้… มันกลับลงเอยด้วยการเพิ่มหัวข้อสนทนาให้กับโรเอลสำหรับพูดคุยกับชาร์ล็อต
อลิเซียจ้องไปยังเด็กชายผมดำที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับจดหมายฉบับนั้นโดยสมบูรณ์ ก่อนจะเอื้อมมือออกไปปิดตาของเขา
“ทำอะไรน่ะอลิเซีย?”
“พี่ใหญ่โรเอล ห้ามอ่านต่อนะคะ นี่มันถึงเวลานอนแล้ว!”
“งั้นเหรอเนี่ย? ได้เลย งั้นพวกเราไปนอนกันเถอะ นี่มันก็ดึกมากแล้วจริง ๆ นั่นแหละ”
โรเอลวางจดหมายลงแล้วจึงร่ายคาถาง่าย ๆ ที่เรียกว่า ‘คาถารักษากระดาษ’ ลงบนจดหมาย มันเป็นคาถาที่บรรณารักษ์ใช้ในการหาเลี้ยงชีพ ซึ่งโรเอลได้เดินทางไปยังหอสมุดหลวงเป็นการส่วนตัว เพื่อเรียนรู้คาถานี้ เนื่องจากมีบันทึกมากมายในคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ดที่บางส่วนนั้นถือเป็นความลับของตระกูล เขาจึงไม่อาจว่าจ้างผู้มีพลังเหนือธรรมชาติคนอื่นมาร่ายคาถานี้แทนได้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่โรเอลไม่คาดคิดก็คือคาถาง่าย ๆ นี้ได้กระตุ้นความสนใจของเด็กสาวผมสีเงินที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา
“พี่ใหญ่โรเอล หนูอยากเรียนคาถานี้!”
“เธอต้องการที่จะเรียนรู้คาถารักษากระดาษงั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ! หนูสามารถฝึกฝนมันกับหนังสือในห้องสมุดได้ในตอนที่มีเวลา จะได้เป็นการช่วยเหลืองานของพี่ด้วย”
“น.. แน่ใจเหรอ? จะว่าไป ดูเหมือนว่าเธอจะชอบคาถาง่าย ๆ พวกนี้มากเลยนะ ก่อนหน้านี้เธอก็อยากที่จะเรียนรู้คาถาเพลงกล่อมเด็กด้วยนี่นา”
“แน่นอนค่ะ! เป้าหมายของหนูก็คือการเป็นภรรยาที่ดี ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ที่หนูจะต้องเรียนรู้คาถาง่าย ๆ พวกนี้เอาไว้สำหรับช่วยเหลือสามีในอนาคต”
แก้มของอลิเซียแดงระเรื่อเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะมีพรสวรรค์ในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ทว่าเธอกลับมีแนวคิดเก่าแก่จนน่าประหลาดใจ สำหรับอลิเซียแล้ว ภรรยาที่ดีควรจะเรียนรู้คาถาธรรมดาต่าง ๆ เอาไว้ด้วย ซึ่งไม่มีอยู่ในบทเรียนของคาร์เตอร์
อลิเซียจะฝึกฝนคาถาเวทเฉพาะเมื่อโรเอลไม่อยู่เท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีร่องรอยคาถาเวทของเธออยู่มากมายในคฤหาสน์ ทำให้โรเอลมักจะคุ้นกับร่องรอยของคาถาง่าย ๆ เหล่านั้นอยู่รอบ ๆ เสมอ
หลังจากที่โรเอลสอนคาถาใหม่ให้อลิเซีย พวกเขาทั้งสองก็แยกกันไปเพื่ออาบน้ำชำระล้างร่างกายเตรียมเข้านอน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง อลิเซียกลับไม่มาที่ห้องของเขา แม้ว่าโรเอลจะรอเธออยู่มาระยะหนึ่งแล้วก็ตาม
“เธอหลับไปแล้วรึเปล่านะ?”
“ให้ดิฉันไปตรวจดูไหมคะ นายน้อย”
“ไม่ ไม่จำเป็น อย่าไปรบกวนเธอเลย”
โรเอลกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าอลิเซียจะดูเป็นผู้ใหญ่ แต่เธอก็ยังแสดงความเป็นเด็กออกมาบ้างเป็นครั้งคราว ซึ่งถือเป็นความน่ารักอย่างหนึ่งของเธอ
“เอาล่ะ เราเองก็ควรจะหลับได้แล้ว”
โรเอลส่ายหัวก่อนจะสั่งคนรับใช้ให้ปิดไฟ ผล็อยหลับล่องลอยไปยังดินแดนแห่งความฝัน หลังจากวันอันยุ่งวุ่นวาย
ทว่าไม่นานนักหลังจากที่เขาผล็อยหลับไป เงาสีเงินก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ ลอบเข้ามาทางหน้าต่างพร้อมกับแสงจันทร์ ราวกับว่าความงามของดวงจันทร์สีเงินได้หลอมรวมเข้ากับร่างของมนุษย์ ร่างกายอันเปล่งประกายของเธอดูมีเสน่ห์งดงาม ดวงตาสีทับทิมส่องประกายท่ามกลางความมืดมิด สะท้อนแสงของผ้าคลุมสีเงินบาง ๆ ที่สร้างขึ้นจากพลังเวท
ภายใต้แสงจันทร์จาง ๆ เด็กสาวจ้องมองไปยังคนรักที่หลับสนิทอยู่บนเตียงอย่างเงียบ ๆ โหยหาอยากที่จะเรียกปลุกเขาขึ้นมา
อย่างไรก็ตามหลังจากหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้ง เด็กสาวก็ส่ายหัวลบความคิดนั้นออกไป แม้ว่าเธอจะมั่นใจในรูปลักษณ์ของตน แต่การได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการด้วยวิธีการดังกล่าวนั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอปราถนา เพราะเด็กสาวนั้นรู้ดีว่าความรักที่โรเอลมีต่อเธอนั้นบริสุทธิ์ ปราศจากความปรารถนาชั่วช้าใด ๆ
มีหลายครั้งที่เด็กสาวอยากให้โรเอลร่วมรักกับเธอ แต่ในขณะเดียวกันความเย่อหยิ่งก็คอยห้ามไม่ให้เธอเปลี่ยนความสัมพันธ์นี้ไปเป็นความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นจากตัณหา ความผูกพันที่พวกเขาแบ่งปันกันไม่ใช่อะไรที่ได้มาง่าย ๆ ดังนั้นเธอจึงอยากจะรักษามันเอาไว้ให้ดีที่สุด
“… มันคงจะน่าอายมากถ้าพี่ใหญ่โรเอลเห็นเราในสภาพนี้”
อลิเซียกลับกลายมาเป็นเด็กดีที่โรเอลคุ้นเคยอย่างรวดเร็ว
เธอค่อย ๆ ปีนขึ้นไปบนเตียงของเด็กชาย หันร่างของโรเอลขึ้นข้างบนก่อนจะจ้องมองไปที่ใบหน้าของเขา
เหตุผลที่อลิเซียกล้าทำเช่นนั้นไม่ใช่เพราะเธอยอมจำนนต่อความปรารถนาของตัวเอง แต่เพราะเธอรู้ว่าโรเอลจะยังไม่ตื่นขึ้นมาแน่ ๆ
คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งความสมบูรณ์แบบ
คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดนี้เป็นความสามารถทางสายเลือดของอลิเซีย มันเป็นเอกลักษณ์ของเธอเพียงผู้เดียว คล้ายกับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎของโรเอล
คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดนี้ไม่ได้มาจากลัทธิหรือศาสนาใด ๆ ดังนั้นอลิเซียจึงไม่ต้องประสบปัญหาใด ๆ ในการใช้มัน คล้ายกับที่โรเอลที่มีเงื่อนไขคือการอ่านบันทึกทางประวัติศาสตร์เพื่อที่จะพัฒนาพลังของเขา ความสมบูรณ์แบบของอลิเซียเองก็มีวิธีการพัฒนาที่เป็นเอกลักษณ์เช่นกัน
วิธีแรกก็คือการทำให้รูปลักษณ์และความสามารถไร้ที่ติ บุคคลที่มีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งความสมบูรณ์แบบ จะต้องพยายามอย่างหนักทั้งในด้านการศึกษา มารยาท และรูปลักษณ์ เพื่อที่จะสามารถรักษารูปลักษณ์อันสมบูรณ์แบบเอาไว้ต่อหน้าผู้อื่น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ง่ายดายมากสำหรับอลิเซีย
สายเลือดซิลเวอร์แอซ มีแก่นแท้อยู่ที่การสร้างสิ่งมีชีวิตอันสมบูรณ์แบบ ดังนั้นความไร้ที่ติจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับอลิเซีย สายเลือดของเธอสอดคล้องกับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งความสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง ทำให้เธอเติบโตขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพลังของเธอจึงพุ่งทะยานออกมาในทันทีทันใด
แต่แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นั้น อลิเซียยังมีไพ่ตายอยู่อีกอย่างหนึ่ง
แนวคิดเรื่อง ‘ความสมบูรณ์แบบ’ นั้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยอลิเซียมองว่า ‘ความสมบูรณ์แบบ’ ก็คือ การเป็นน้องสาว และภรรยาที่สมบูรณ์แบบสำหรับโรเอล ทุกปฏิสัมพันธ์ของเธอกับโรเอลจึงทำให้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของเธอพัฒนาขึ้น
ซึ่งตอนนี้อลิเซียก็ได้ใช้คาถาเวทสะกดให้โรเอลตกอยู่ในความฝันโดยสมบูรณ์ หากไม่มีใครเข้ามาใกล้โรเอลนอกจากอลิเซีย เขาก็จะนอนหลับอย่างสงบแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ นี่เป็นคาถาเวทที่เธอสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะนอนหลับได้อย่างเพียงพอในทุก ๆ วัน
อย่างไรก็ตามวันนี้อลิเซียต้องการจะใช้มันเพื่อจุดประสงค์อื่น
“ยกโทษให้หนูด้วย พี่ใหญ่โรเอล”
อลิเซียพึมพำด้วยความรู้สึกผิด
ด้วยมือที่สั่นเทา เด็กสาวค่อย ๆ ปลดกระดุมชุดนอนของพี่ชาย ความร้อนพวยพุ่งไปที่ใบหน้าของอลิเซีย สาวน้อยสูดหายใจลึก ๆ สองสามครั้งเพื่อทำให้ตัวเองเย็นลง และเมื่อหวนนึกถึงภัยคุกคามที่จะปรากฏขึ้นในอนาคต เด็กสาวก็ยืนยันความมุ่งมั่นกลับมาได้อีกครั้งก่อนจะเอนตัวเข้าไปจับที่คอของโรเอล