บทที่ 136: โลกนี้ช่างเต็มไปด้วยคำโกหก!
ตั้งแต่วินาทีที่สายตาของเกรซจับจ้องไปที่อลิเซีย สมองของเธอหยุดประมวลผลไปครู่หนึ่ง นี่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 เหตุการณ์นี้ทำให้เธอตกใจมาก
อ่านหนังสือจนดึกดื่น? เอ๊ะ วิชาอะไรกันแน่เนี่ย? ชีววิทยา?
ผู้ติดตามของตระกูลโซโรฟยาคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ข้างหลังเกรซต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปยังเด็กสาวผมสีเงินในสภาพยุ่งเหยิงที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอนของโรเอล ซึ่งแน่นอนว่าเด็กสาวเองก็สังเกตเห็นสายตาของพวกเขาด้วยเช่นกัน
อลิเซียหันมามองพวกเขาอย่างเฉยเมย แต่แล้วความสับสนก็ปรากฏขึ้นในดวงตาเย็นชาของเด็กสาวเมื่อเธอมองเห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยรอบตัว ด้วยบรรยากาศที่ชวนให้นึกถึงนายหญิงของคฤหาสน์ อลิเซียหันไปหาแอนนาพลางถามอย่างสง่างาม
“แอนนา พวกเขาคือ…?”
“นายหญิงอลิเซีย พวกเขาคือแขกจากตระกูลโซโรฟยา และคนรับใช้ของนายหญิงชาร์ล็อตค่ะ”
แม้แต่แอนนาก็ยังรู้สึกอึดอัดจากเหตุการณ์นี้ เธอรีบก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อปิดบังสายตาของเกรซ ก่อนจะพยายามอธิบายเรื่องนี้ด้วยรอยยิ้มฝืดเคือง
“ดิฉันขอแนะนำ ท่านผู้นี้คือนายหญิงอลิเซียแห่งตระกูลแอสคาร์ด เธอเป็นน้องสาวของนายน้อยโรเอล ทั้งสองคนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และมักจะใช้เวลาอ่านหนังสือด้วยกันในช่วงกลางคืนค่ะ”
“น้องสาว? อ่านหนังสือด้วยกันตอนกลางคืนงั้นเหรอ?”
เมื่อเกรซได้ยินว่าเด็กสาวผมสีเงินคนนี้เป็นน้องสาวของโรเอล แอสคาร์ด สาวใช้ก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างด้วยความเคลือบแคลงใจ หัวใจของเธอกำลังกรีดร้องออกมาให้โต้กลับ
ล้อเล่นกันรึเปล่าเนี่ย? พวกเขาเป็นพี่น้องกัน แต่พวกเขากลับ… น่าขยะแขยงยิ่งนัก!
เกรซเหลือบไปที่อลิเซีย ซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการจัดระเบียบเสื้อผ้าเพื่อปกปิด ‘รอย’ บนร่างกายของเธออีกครั้ง ตอนนี้สาวใช้รู้สึกราวกับว่าจิตใจของเธอกำลังจะระเบิดออกมา
เธอรู้มาก่อนแล้วว่ามาร์ควิสคาร์เตอร์ได้รับเลี้ยงอลิเซียเป็นลูกสาวบุญธรรม เพราะเรื่องนี้ถูกเขียนไว้ในรายงานสังเกตการณ์สืบสวนของสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาเกี่ยวกับตระกูลแอสคาร์ด แม้ว่าโรเอลและอลิเซียจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน! พวกเขาไปมีความสัมพันธ์กันแบบนี้ได้อย่างไร?
ในมุมมองของเกรซ ความสัมพันธ์ผิดธรรมชาติระหว่างโรเอลกับอลิเซียนี้ถือเป็นตัวทำลายข้อตกลงในสัญญาหมั้น ไม่ว่าในกรณีใด เธอก็ทนรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ใบหน้าของสาวใช้เปลี่ยนเป็นสีหน้าอันเย็นชาสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของเธอในตอนนี้
ขณะเดียวกันฝั่งคนรับใช้ของตระกูลแอสคาร์ด ก็พยายามที่จะปกปิดเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
“นายหญิง คงจะเหนื่อยหลังจากอ่านเมื่อคืนแล้วใช่ไหมคะ? กลับไปพักผ่อนที่ห้องของท่านก่อนไหมคะ?”
“เข้าใจแล้วล่ะ แอนนา ตอนนี้ท่านพี่ยังหลับอยู่ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับห้องก่อนนะ”
“ค่ะ นายหญิง”
อลิเซียไม่แม้แต่จะสนใจมองมาที่ เกรซ หรือผู้ติดตามของตระกูลโซโรฟยาคนอื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย เธอเพียงแต่เดินออกจากพื้นที่นั้นไปภายใต้ผ้าคลุมจากเหล่าสาวใช้ของตระกูลแอสคาร์ด เด็กสาวไม่ได้หยุดเพื่อติดกระดุมเสื้อของตนอย่างเหมาะสมด้วยซ้ำ เกรซจ้องมองไปยังภาพเงาที่กำลังจากไปของอลิเซีย ทำให้เธอสังเกตเห็นถึงบางอย่างผิดปกติในท่าทางการเดินของเด็กสาว
เดี๋ยวก่อนนะ พวกเขาไม่ได้ทำมันลงไปจริง ๆ ใช่ไหม? เธอยังเด็กอยู่เลยนะ เป็นไปได้จริง ๆ เหรอที่พวกเขาจะทำเรื่องแบบนั้นกันตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนี้?
เกรซรู้สึกว่าความคิดในหัวของเธอยุ่งเหยิงมากขึ้นเรื่อย ๆ สาวใช้รู้สึกเหมือนตนเองเป็นผู้ใหญ่ที่เห็นกลุ่มวัยรุ่นกำลังทำอะไรแปลก ๆ สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวของเธอก็คือความตกตะลึง
อาจเป็นแค่เพราะท่าทางการนอนของเธอไม่ดีเท่าไหร่ล่ะมั้ง ไม่ว่าจะคิดยังไงเรื่องเหลวไหลเช่นนี้มันก็เป็นไปไม่ได้!
เกรซพยายามหาข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องนี้ในใจ ตอนนี้ความเห็นของสาวใช้ที่มีต่อตระกูลแอสคาร์ดได้ตกต่ำลงไปถึงจุดต่ำสุดแล้ว เรียกได้ว่ามีเครื่องหมายลบขนาดใหญ่ขีดฆ่าข้อดีทั้งหมดในรายการตรวจสอบทิ้งจนหมดสิ้น
สาวใช้สูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์
แม้ว่าตระกูลแอสคาร์ดจะวางตัวได้ดีมาก และประวัติศาสตร์อันยาวนานเบื้องหลังของพวกเขาก็ถือเป็นประโยชน์อย่างมากเช่นกัน แต่ความจริงที่ว่าโรเอลมีความเกี่ยวข้องกับน้องสาวบุญธรรมของเขาในบริบทดังกล่าวก็ทำให้เธอรู้สึกว่าบางทีตระกูลแอสคาร์ดอาจจะไม่ได้ดีอย่างที่เห็น
ดูเหมือนว่าเกรซจะต้องประเมินสถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับตระกูลแอสคาร์ดอีกครั้ง
ขณะที่เกรซกำลังประเมินสถานการณ์ใหม่ คนรับใช้ของตระกูลแอสคาร์ดก็เริ่มจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว อลิเซียถูกสาวใช้พาออกไป ส่วนแอนนาก็ได้นำทางคณะของตระกูลโซโรฟยาเดินชมไปรอบ ๆ คฤหาสน์เพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม
โชคดีที่กิจกรรมต่อจากนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่น พวกเขาพาแขกไปดูห้องรับประทานอาหารและสภาพของห้องครัว จากนั้นจึงอธิบายถึงเมนูอาหารต่าง ๆ เชิญคณะจากตระกูลโซโรฟยานั่งลงหารือกันเกี่ยวกับข้อห้ามต่าง ๆ ที่เจ้านายของพวกเขาควรทราบ
ระหว่างช่วงเวลาพักสั้น ๆ เกรซได้ชำเลืองมองไปยังเหล่าองครักษ์ที่กำลังลาดตระเวนอยู่ คิ้วของเธอขมวดลงเล็กน้อย หลังจากเข้ามาในคฤหาสน์ได้ไม่นาน สาวใช้ก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ผิดแปลกไปเกี่ยวกับทหารองครักษ์ของตระกูลแอสคาร์ด พวกเขามีรูปแบบชุดเกราะสองชุดที่แตกต่างกัน สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าองครักษ์ทั้งสองคนมาจากสายการบังคับบัญชาที่แยกจากกัน
นี่ถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก
องครักษ์ของตระกูลขุนนางมักจะถูกคาดหวังให้ทำงานอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันภัยคุกคาม การมีสายการบังคับบัญชาสองสายที่แยกจากกัน จะส่งผลให้เกิดการประสานงานที่ผิดพลาดได้ ทำให้ระบบต่าง ๆ ซับซ้อนกว่าที่มันควรจะเป็น
เกรซเป็นผู้รับผิดชอบความปลอดภัยของชาร์ล็อต ดังนั้นเธอจึงอ่อนไหวต่อรายละเอียดดังกล่าวเป็นพิเศษ ทำให้สาวใช้ถามอีกฝ่ายถึงเรื่องนี้ ทว่าเธอกลับได้รับคำตอบที่น่าตกใจ
“นี่คือของขวัญจากฝ่าบาทนอร่า ตอนที่นายน้อยกลับมายังเขตการปกครองแอสคาร์ดเมื่อสองปีก่อน มันเป็นเครื่องหมายแสดงถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นเชิงมิตรภาพที่พวกเขาแบ่งปันให้กันและกัน”
แอนนากล่าวขณะที่เธอชี้ไปทางเหล่าราชองครักษ์
ความเป็นกันเองของแอนนาแสดงให้เห็นว่าเธอคุ้นเคยกับทหารองครักษ์เหล่านี้ มันยากที่จะยอมรับได้ แม้ว่าเธอจะเคยได้ยินมาก่อนว่าตระกูลเซไซต์ ได้อ้างคำสัญญาในอดีต และกลายมาเป็นผู้พิทักษ์ของโรเอล แอสคาร์ด แต่เธอก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะลงทุนถึงขนาดมอบกองกำลังให้กับโรเอล
ด้วยความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างตระกูลเซไซต์และตระกูลแอสคาร์ด ทำให้การแต่งงานทางการเมืองครั้งนี้จะต้องส่งผลดีต่อตระกูลโซโรฟยาแน่
แน่นอนมันอาจจะเป็นไปไม่ได้สำหรับตระกูลโซโรฟยาที่จะได้รับตำแหน่งขุนนางหรือเขตการปกครองในระบอบของจักรวรรดิเซนต์เมซิท แต่ก็ยังมีอีกหลายวิธีที่ราชวงศ์ผู้มีอิทธิพลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์แก่พวกเขาได้ ประการหนึ่งก็คือ ตระกูลแอสคาร์ดอาจจะช่วยเสนอนโยบายส่งเสริมการค้าระหว่างจักรวรรดิเซนต์เมซิท และสมาคมพ่อค้าโรซ่าให้กับพวกเขา
เหตุผลเดียวกันกับที่บรูซ โซโรฟยา แต่งงานกับแม่ของชาร์ล็อต
ถ้าโรเอล แอสคาร์ดมีอิทธิพลแผ่ออกไปยังภายนอกเขตการปกครองของเขา มากพอที่จะสามารถโน้มน้าวนโยบายของจักรวรรดิเซนต์เมซิทให้เอื้ออำนวยต่อเมืองโรซ่าได้ล่ะก็ ตระกูลโซโรฟยาจะได้รับผลประโยชน์มากมายจากจุดนี้
ผลกำไรที่พวกเขาได้รับนั้นจะส่งเสริมสถานะของชาร์ล็อต ทำให้เธอมีอำนาจมากขึ้นในตระกูล ระดับที่ว่าอาจจะทำให้เธอจะสามารถควบคุมตระกูลโซโรฟยาอย่างเต็มที่ได้เลยทีเดียว
หากมองจากมุมมองดังกล่าวแล้ว โรเอล แอสคาร์ดถือเป็นหนึ่งในคู่แต่งงานที่ดีที่สุดสำหรับชาร์ล็อตเลยก็ว่าได้ เกรซไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้คะแนนกับโรเอลในรายการตรวจสอบในใจ
ด้วยเหตุนี้การสังเกตการณ์ของเธอจึงเสร็จสิ้นไปแล้วอย่างคร่าว ๆ
หลังจากหยุดพักพวกเขาก็ย้ายไปที่ห้องรับรอง เพื่อตรวจสอบการตกแต่งภายใน
ขุนนางมักจะรวบรวมวัตถุแปลกประหลาดทุกรูปแบบมาจัดแสดง มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีสิ่งอุปกรณ์หรือวัตถุโบราณสักชิ้นหรือสองชิ้นที่ทำให้แขกรู้สึกอึดอัด แม้ว่าตระกูลแอสคาร์ดจะไม่ได้แสดงอะไรแปลก ๆ เป็นพิเศษ แต่พวกเขาก็มีคลังสะสมดาบที่ค่อนข้างใหญ่
เกรซจึงบอกให้อีกฝ่ายทราบว่าหากพิจารณาจากประวัติศาสตร์ของเมืองโรซ่ากับจักรวรรดิออสทีนแล้ว ดาบที่มาจากจักรวรรดิออสทีนถือเป็นประเด็นที่ค่อนข้างจะอ่อนไหว ซึ่งแอนนาก็เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ดี และสัญญาว่าจะเก็บอาวุธเหล่านั้นกลับเข้าที่ก่อนการประชุม
หลังจากนั้นเกรซก็สำรวจพื้นที่โดยรอบต่อไป ทันใดนั้นความสนใจของเธอก็พุ่งไปยังวัตถุที่วางอยู่ตรงกลางห้อง มันเป็นดาบสั้นสีเงินที่มีรูปร่างคล้ายขนนก คมดาบเปล่งประกายสีขาวด้วยแสงอันศักดิ์สิทธิ์ ราวกับเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน
เกรซเคยเห็นอาวุธอันทรงพลังมากมายในเมืองโรซ่า ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่สามารถปกปิดความตกใจได้เมื่อมายืนอยู่ต่อหน้าอาวุธชิ้นนี้ ประสาทสัมผัสอันเฉียบคมของเธอในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 ทำให้สาวใช้สัมผัสได้ถึงพลังเวทอันพุ่งพล่านผิดปกติที่หลั่งไหลออกมาจากดาบสั้น บรรยากาศแห่งความลึกลับและเก่าแก่ที่ล้อมรอบมัน ทำให้เธอต้องถามถึงที่มาของมัน
“ดาบสั้นนั่นสินะคะ? มันคือ 1 ใน ดาบแห่งนักบุญ 12 ปีกในตำนานของจักรวรรดิเซนต์เมซิท รู้จักในชื่อ เอสเซนด์วิง ราชวงศ์ได้มอบมันให้กับนายน้อย เพื่อที่เขาจะสามารถปกป้องตัวเองได้”
แอนนาอธิบายอย่างภาคภูมิใจ
“เข้าใจแล้วค่ะ มันคืออาวุธในตำนานนั่น…”
ทันใดนั้นเกรซก็รู้สึกว่าจักรวรรดิเซนต์เมซิทลึกลับกว่าที่เธอจินตนาการไว้มาก ทว่าก่อนที่เธอจะเพิ่มจุดลงในรายการตรวจสอบของเธอ เอสเซนด์วิงก็เปล่งแสงอันเจิดจ้าออกมา
ร่างอันงดงามก่อตัวขึ้นมาจากแสงสีขาวบริสุทธิ์ จากนั้นไม่กี่วินาทีต่อมา เด็กสาวผมสีทอง ดวงตาสีไพลินผู้มีเสน่ห์ก็ปรากฏตัวขึ้น ทำให้เกรซต้องตกตะลึง
สาวใช้ทำงานที่ตระกูลโซโรฟยามาหลายปีได้พบเห็นผู้คนมามากมาย จนราชวงศ์และขุนนางที่เห็นบนถนนออเซียร์ไม่สามารถทำให้เธอตกใจได้ ทว่าเกรซกลับตกตะลึงกับรูปลักษณ์ของเด็กสาวคนนี้
หากจะให้เปรียบเทียบ ถ้าชาร์ล็อตนั้นถือว่าเป็นศูนย์รวมของความหรูหราในแวดวงขุนนาง เด็กสาวผมสีเงินที่ชื่ออลิเซียนั้นเป็นศูนย์รวมของความสูงส่ง เด็กสาวผมสีทองที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอก็คงจะเป็นศูนย์รวมของความเมตตา บรรยากาศของเด็กสาวคนนี้เป็นดั่งผู้ปกครองสูงสุดที่จะดึงดูดผู้อื่นเข้ามาหาโดยธรรมชาติ ดึงดูดความจงรักภักดีของพวกเขา
ซึ่งสัญชาตญาณของเกรซก็ตรงจุด
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ฝ่าบาท”
หลังจากเหตุการณ์อันน่าประหลาดใจ แอนนาก็กล่าวทักทายเด็กสาวผมทองอย่างใจเย็น ตัวตนของเด็กสาวทำให้เหล่าผู้ติดตามของตระกูลโซโรฟยาต่างตื่นตระหนกไปตาม ๆ กัน ในขณะที่เหล่าคนรับใช้ของตระกูลแอสคาร์ดเพียงแค่โค้งคำนับอย่างเคารพ ซึ่งเกรซและคนอื่น ๆ ก็ทำตามอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีแอนนา ยินดีที่ได้พบเจ้า ว่าแต่โรเอลอยู่ที่ไหนกันล่ะ?”
“เมื่อคืนนี้นายน้อยทำงานหนักเกินไป ดังนั้นเขาจึงหลับอยู่ในห้องค่ะ”
“โอ้? ข้าว่าจะมาหาเขาเป็นการส่วนตัวเสียหน่อย ข้าหวังว่าจะได้สนุกกับเขาในวันนี้แท้ ๆ”
เด็กสาวผมทองยกสายจูงและปลอกคอผูกโซ่ขึ้นมา ก่อนจะใช้มืออีกข้างวางลงบนแก้มสีแดงของเธอ ด้วยรอยยิ้มอันเต็มไปด้วยความคาดหวังและความปรารถนาราวกับกำลังจะล่าเหยื่อบนริมฝีปาก
มันเป็นภาพที่น่าตกใจมาก จนทำให้ผู้ติดตามของตระกูลโซโรฟยาหยุดนิ่งอยู่กับที่ในทันที
พวกเขาจะใช้สายจูงนั่นทำอะไร?
ทันใดนั้นเองสมองของเกรซก็หยุดชะงักลงเป็นครั้งที่สอง ดวงตาของสาวใช้จับจ้องไปที่นอร่า ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นพวกเขาอยู่ในสายตา เธอเริ่มรู้สึกว่าขีดจำกัดความอดทนของตนกำลังถูกท้าทายอยู่
น… นี่คือความจริงเบื้องหลังมิตรภาพที่ตระกูลเซไซต์มอบให้กับตระกูลแอสคาร์ดงั้นเหรอ? ใครจะไปคิดว่าลูกหลานของตระกูลแอสคาร์ด จะขายตัวเองให้กับองค์หญิงของจักรวรรดิเซนต์เมซิท! แมงดา ไม่สิ… เขาเป็นแค่ของเล่นของเธอชัด ๆ!
แค่คิดว่าคู่หมั้นของชาร์ล็อตเป็นเพียงแค่สุนัขทรงเลี้ยงขององค์หญิงแห่งจักรวรรดิเซนต์เมซิท ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เกรซตัวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง เธอไม่สามารถยอมรับความจริงอันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้
โอ้ เทพีผู้ยิ่งใหญ่ ไม่อยากเชื่อเลยว่า… เดี๋ยวก่อนนะ นี่มันบังเอิญเกินไปรึเปล่า?
จู่ ๆ ก็มีประกายไฟแวบเข้ามาในจิตใจของเกรซ เธอเริ่มสังเกตเห็นได้ว่ามีบางอย่างน่าสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดวงตาของเธอหรี่ลงอย่างเฉียบขาด ทำให้สาวใช้เริ่มสงสัยทุก ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง นี่มันผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงเองนับตั้งแต่ที่เราเข้ามาในคฤหาสน์ของตระกูลแอสคาร์ด ทว่าเรากลับได้เจอเรื่องบัดสีมากมายขนาดนี้? พวกเขาพยายามที่จะหลอกลวงเรารึเปล่า?
เกรซหวนนึกถึงวิธีการหนึ่งจากในภารกิจข่าวกรอง
หากสายลับได้รับข่าวกรองที่สำคัญจำนวนมากหลังจากแทรกซึมฐานศัตรูได้ไม่นาน มันก็มีโอกาสที่ข่าวกรองเหล่านั้นจะเป็นอะไรที่ศัตรูจงใจปล่อยออกมาโดยสมัครใจ
ความคิดนี้ทำให้เกรซยกระดับความรอบคอบของตนขึ้นไปอีกขั้น เธอตรวจเช็คสีหน้าของคนรับใช้ของตระกูลแอสคาร์ดอย่างระมัดระวัง ทว่ามันกลับส่งผลให้เธอหมดความมั่นใจในการตัดสินของตัวเอง
แอนนา หัวหน้าคนรับใช้ของตระกูลแอสคาร์ด พยายามรักษารอยยิ้มให้ดีที่สุด แม้ว่าจะดูเคร่งเครียดเล็กน้อย ซึ่งก็เข้าใจได้ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับคนรับใช้คนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ พวกเขาเองก็กำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาใบหน้าอันสงบ และในบางครั้งพวกเขาก็มักจะแอบมองไปยังเหล่าผู้ติดตามของตระกูลโซโรฟยาอย่างหงุดหงิด
เมื่อประเมินจากทุกอย่างที่ตนเห็นจนถึงตอนนี้ เกรซก็ทำได้เพียงแค่ส่ายหัวพลางถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
ดูเหมือนว่าเราจะคิดมากไปเอง ถ้าเป็นแค่คนเดียวที่ยังสงบก็พอจะสรุปได้บ้าง มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาทุกคนจะร่วมมือกันหลอกพวกเราใช่ไหม?
เหล่าคนรับใช้ของตระกูลแอสคาร์ด คงจะต้องผ่านการฝึกอบรมของหน่วยสืบราชการลับทางทหารแน่ ๆ ถึงจะทำอะไรแบบนั้นได้ มันจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า? แม้แต่ตระกูลขุนนางชั้นสูงส่วนมากก็ยังไม่บรรลุถึงขั้นนั้นเลยแท้ ๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อตระหนักได้ว่าการคาดเดาของตัวเองผิด หัวใจของเกรซก็หนักอึ้งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
สาวใช้หันกลับมามองเด็กสาวผมทองตรง พร้อมยืนยันความคิดแรกของเธอต่อไป มันไม่มีทางที่องค์หญิงแห่งจักรวรรดิเซนต์เมซิทจะลดระดับตัวเองลงมาเพียงเพื่อที่จะแสดงข่าวลวงหลอกคนรับใช้อย่างเธอแน่
ด้วยสายตาจ้องมองของเกรซ นอร่าจึงสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติและหันไปถามแอนนา
“ข้าไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อน พวกเขาเป็นใครกัน?”
“พวกเขาเป็นแขกของเรา เหล่าคนรับใช้จากตระกูลโซโรฟยาค่ะ”
ทันทีที่ออกนอกระยะสายตาของเกรซ แอนนาและนอร่าก็แลกเปลี่ยนสายตาและรอยยิ้มกัน พร้อมที่จะดำเนินการตามแผนต่อ