บทที่ 143: ปฏิสัมพันธ์อันใกล้ชิด
เลือดของเรากำลังลุกไหม้
นั่นคือความรู้สึกของชาร์ล็อตและโรเอลในตอนนี้ ราวกับว่ามีบางสิ่งที่อยู่ลึกลงไปในร่างกายของพวกเขากำลังตื่นขึ้นพร้อมกับส่งเสียงคำราม ราวกับว่าพลังสายเลือดโบราณของพวกเขาได้รับการกระตุ้นขึ้นมา ทันทีที่มือของพวกเขาเชื่อมต่อกันผ่านซองจดหมาย พลังเวทของทั้งสองก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างน่าอัศจรรย์
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือการระเบิดครั้งใหญ่
มันไม่ใช่การระเบิดทางกายภาพ แต่เป็นการระเบิดของพลังเวทและสติสัมปชัญญะ แสงสว่างวาบเปล่งออกมาจากร่างกายของพวกเขา ทำให้ทั้งสองต้องปิดตาลง หากแต่สิ่งที่พวกเขาได้รับกลับไม่ใช่ความมืด แต่เป็นภาพอันน่าเหลือเชื่อ
ทิวทัศน์ของท้องทะเลที่ทอดยาวไปจนสุดขอบฟ้า เรือหลายสิบลำมารวมกันกลายเป็นกองเรือ หัวเรือมีประติมากรรมศิลปะที่คล้ายกับดอกกุหลาบสีทอง และทำจากโลหะมีค่าและอัญมณีมากมาย
มีนกบินวนอยู่บนท้องฟ้าที่มีแดดจ้าส่องสว่าง
สาวงามคนหนึ่งมองออกไปยังขอบฟ้าไกล ๆ ทันทีที่เธอสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง จู่ ๆ เธอก็หันกลับมา ด้วยสายตาอันเคร่งขรึม ราวกับว่าได้ข้ามพรมแดนของกาลเวลามิติมาพบกับสายตาของทั้งคู่ที่มองเข้ามาในท้องทะเลนี้
“!”
การสบตาครั้งนี้กินเวลาเพียงวินาทีเดียวเท่านั้น ก่อนที่ภาพเหล่านั้นจะสลายหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พลังเวทสีเลือดไหลออกมาภายนอกของโรเอล ร่างจำแลงโครงกระดูกของกรันด้า ปรากฏขึ้นมาพร้อมจับจ้องไปที่ซองจดหมายในมือของโรเอล
ทางด้านชาร์ล็อตเองก็จ้องไปที่ซองจดหมายด้วยเช่นกัน ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยตกตะลึง ก่อนจะพึมพำวลีหนึ่งขึ้นมาเบา ๆ
“… กองเรือทองคำ”
“นายหญิง!”
“นายน้อย!”
ทันทีที่แสงวาบหายไป ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง สาวใช้ของทั้งสองฝ่ายพุ่งเข้ามา ทำให้ทั่วห้องตกอยู่ในความโกลาหลไปชั่วขณะ กองทหารองครักษ์ชักดาบออกมาพร้อมกวาดสายตาตรวจสอบบริเวณโดยรอบอย่างระมัดระวัง หาศัตรูที่อาจจะแฝงตัวอยู่ จากนั้นความสนใจของพวกเขาก็ถูกดึงไปที่ซองจดหมายบนโต๊ะ
“นายหญิง โปรดเอามือออกจากซองด้วยค่ะ!”
“นายน้อย?”
เสียงกังวลของเกรซและแอนนาดังขึ้นจากข้างหลังของทั้งสองคน
โรเอลชักมือกลับอย่างลังเล เขารู้สึกว่าสถานการณ์ก่อนหน้านี้เป็นผลมาจากพลังทางสายเลือดของเขา กลับกันแล้วชาร์ล็อตเลือกที่จะหยิบซองจดหมายบนโต๊ะขึ้นมาอย่างระมัดระวังและตรวจสอบมัน
เด็กสาวสัมผัสพื้นผิวของซองจดหมายอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะตรวจสอบตราประทับขี้ผึ้งสีทองอย่างเงียบ ๆ ส่งผลให้ตำนานเก่าแก่ผุดขึ้นมาในใจเธอ หลังจากนั้นไม่นานเด็กสาวก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“ข้าไม่กลับแล้ว”
“หมายความว่ายังไง?”
“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว โรเอล อย่าเพิ่งล้มเลิกการหมั้นหมายของพวกเราเลยจะดีกว่า”
ชาร์ล็อตบอกโรเอลที่กำลังตกตะลึงอย่างสงบ
…
กองเรือทองคำ
มันคือชื่อองค์กรที่โรเอลไม่ได้ยินมาก่อนในบันทึกทางประวัติศาสตร์ใด ๆ แต่ฟังจากชื่อของมัน เขาก็พอจะสรุปได้ว่า… มันเป็นกองเรือ
“…”
“ก็ได้ ขอยอมรับเลย! ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมัน ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับกองเรือทองคำในหอสมุดหลวงของจักรวรรดิเซนต์เมซิท”
โรเอลยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ พร้อมยอมรับว่านี่เป็นสิ่งที่เขาไม่รู้จัก ซึ่งชาร์ล็อตก็ไม่ได้ดูประหลาดใจกับสิ่งที่เธอได้ยิน
นับประสาอะไรกับเด็กอย่างโรเอล แม้แต่นักวิชาการอาวุโสในอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนลที่มีเครายาวลากไปบนพื้น ก็คงไม่เคยได้ยินตำนานของกองเรือทองคำมาก่อนเช่นกัน
นั่นก็เพราะเรื่องราวของกองเรือทองคำ ไม่ได้ถูกนับว่าเป็น “ประวัติศาสตร์” แต่เป็น “ตำนาน” นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เรื่องของมันไม่ได้ถูกบันทึกเอาไว้
ตามคำกล่าวของชาร์ล็อต มันเป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดผ่านปากต่อปากในตระกูลโซโรฟยาผู้สืบทอดสายเลือดของไฮเอลฟ์
เรื่องราวย้อนไปในสมัยยุคที่สามปีที่ 200 ถึง 300 หรือราว ๆ 700 ปีก่อน มีการโต้เถียงกันเกี่ยวกับสถานที่ แต่โดยรวมแล้ว มันตั้งอยู่ทางใต้ของสมาคมพ่อค้าโรซ่า ภายในเขตแดนของอาณาจักรมันดีลในปัจจุบัน
เนื่องจากอาณาจักรมันดีล เพิ่งสถาปนาขึ้นมาได้เพียง 200 ปีเท่านั้น จึงไม่มีทางที่พวกเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกองเรือทองคำได้ อย่างไรก็ตามมีข่าวลืออยู่มากมายว่าอาณาจักรมันดีลนั้นถูกสร้างขึ้นบนซากปรักหักพังของอาณาจักรเก่าแก่อันทรงอำนาจ อีกทั้งยังมีการขุดค้นพบวัตถุโบราณแปลกประหลาดหายากมากมายที่นั่นเป็นครั้งคราว ทว่าพวกมันไม่ได้มีค่านัก และอาณาจักรมันดีลเองก็ไม่ได้สนใจพวกมัน
หากเทียบข่าวลืออันคลุมเครือในอาณาจักรมันดีล กับบันทึกปากเปล่าของตระกูลโซโรฟยาแล้ว ข้อมูลของทางตระกูลโซโรฟยานั้นสมบูรณ์กว่ามาก
เรื่องราวเริ่มต้นจากการอพยพของจักรวรรดิออสทีนโบราณมายังแผ่นดินทางทิศตะวันตก หลังจากการสิ้นพระชนม์ขององค์จักรพรรดิหลายต่อหลายรุ่น ความสามัคคีและระเบียบทางกองทัพผู้อพยพก็ได้เกิดรอยร้าวขึ้น เมื่อพวกเขามาถึงทวีปเซียตะวันตก กองทัพผู้อพยพจึงได้แยกส่วนออกเป็นหลายกลุ่ม
นอกจากเหล่าผู้สนับสนุนของจักรวรรดิออสทีนแล้ว เหล่าขุนนางชั้นสูงส่วนใหญ่ได้เลือกที่จะแยกตัวออกจากจักรวรรดิออสทีนไปพร้อมกับผู้ติดตามของพวกเขา และสร้างอาณาจักรของตนเองขึ้นมาในดินแดนใหม่นี้
มีอยู่ฝ่ายหนึ่งที่สืบทอดสายเลือดของไฮเอลฟ์ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายนี้แตกต่างจากกลุ่มอื่นในแง่ที่ว่าพวกเขาประกอบไปด้วยเหล่าช่างฝีมือทั้งหมดของกองทัพ
พวกเขาเชี่ยวชาญในการสร้างเรือ เพราะโดยส่วนใหญ่พวกเขาเคยประจำการในกองทัพเรือของ จักรวรรดิออสทีนโบราณ
ย้อนกลับไปในยุคที่สอง จักรวรรดิออสทีนโบราณอันทรงพลังเคยเข้าสู่ช่วงที่รู้จักกันในนาม ยุคสมัยแห่งการผจญภัย มนุษยชาติเริ่มสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ บนโลก ค้นพบซากปรักหักพังโบราณด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกรอบตัวพวกเขา เฝ้าฝันถึงสมบัติบางอย่างที่จะนำโชคลาภมาให้
นักผจญภัยต่างก็มารวมตัวกันเป็นกลุ่ม เพื่อพิชิตพื้นที่ลึกลับต่าง ๆ ทั้งทางบกและทางทะเล ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันค่อนข้างคล้ายกับ ยุคสมัยแห่งการค้นพบ ในโลกอดีตชาติของโรเอล
ในยุคนั้นไม่มีกองกำลังอื่นในทะเลใดที่จะเทียบเคียงได้กับกองทัพเรือของจักรวรรดิออสทีนโบราณ ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ กองทัพเรือของพวกเขาเคยต่อสู้กับเผ่าเกล็ด และสัตว์ทะเลจำนวนมากที่ซุ่มซ่อนอยู่รอบ ๆ ชายฝั่งของจักรวรรดิออสทีนโบราณ ซึ่งการต่อสู้ก็จบลงด้วยชัยชนะอันกึกก้องของฝั่งกองทัพจักรวรรดิออสทีนโบราณ พวกเขาประสบความสำเร็จในการขับไล่ศัตรูออกจากพื้นที่น้ำตื้น ขยายขอบเขตของมวลมนุษยชาติออกไปไกลยิ่งขึ้น
โรเอลไม่รู้ว่าเผ่าเกล็ดหรือสัตว์ทะเลเหล่านั้นมีพลังมากเพียงใด แต่จากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์โบราณ มันก็น่าจะมากเกินพอแล้วที่จะบอกให้รู้ว่าพวกเขาเป็นศัตรูที่น่าสะพรึงกลัว ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากองทัพเรือของจักรวรรดิออสทีนโบราณน่าเกรงขามแค่ไหน
น่าเสียดายที่ทหารเรือกลุ่มนี้เกิดมาผิดยุคสมัย พวกเขาเกิดขึ้นมาในช่วงใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของยุคที่สอง ทำให้มนุษย์ทั้งหมดต้องเริ่มอพยพไปทางทิศตะวันตก โดยไม่มีจุดหมายที่ชัดเจนในใจ ซ้ำร้ายการเดินทางของพวกเขายังเป็นทางบกอีกต่างหาก
ทหารเรือที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อเรียนรู้วิธีการเดินเรือทางทะเล จู่ ๆ ก็พบว่าทักษะของพวกเขากลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยไร้ประโยชน์ไปในบันดล ส่งผลให้สถานะของพวกเขาในกองทัพอพยพลดลงไปเรื่อย ๆ
ดังนั้นเมื่อพวกเขามาถึงดินแดนใหม่ กองทัพเรือกลุ่มหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยผู้ที่สืบทอดสายเลือดของไฮเอลฟ์ จึงได้ตัดสินใจแยกทางออกไปจากกลุ่มที่เหลือ สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือการเดินทางค้นหาทะเลที่ซึ่งพวกเขาสามารถนำทักษะของตนเองไปใช้ในทางที่เกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
ด้วยเหตุนี้พื้นที่ใต้สุดของดินแดนของมนุษยชาติ จึงได้ก่อตั้งอาณาจักรชายฝั่งขึ้น ในขณะที่มนุษยชาติส่วนที่เหลือกำลังต่อสู้กับสัตว์อสูรอย่างยากลำบาก อาณาจักรนี้ก็ได้ใช้เทคโนโลยีทางกองทัพเรือของจักรวรรดิออสทีนโบราณรวบรวมทรัพยากรที่สำคัญและพัฒนาอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงร้อยปี พวกเขาก็เติบโตขึ้นกลายเป็นอาณาจักรมหาอำนาจอันมั่งคั่ง
“ด้วยคาถาเวทเฉพาะทางของสายเลือดไฮเอลฟ์ โลหะล้ำค่าและอัญมณีจำนวนมาก อาณาจักรโซเฟียจึงได้สร้าง กองเรือทองคำขึ้นมา ครั้งหนึ่งมันเคยส่งสัตว์ประหลาดทะเลในตำนานชื่อว่า คราเคน ให้ต้องหนีตายกลับไปด้วยความตื่นตระหนก และฝ่าฝืนแนวป้องกันของเผ่าเกล็ดเข้าไปในน่านน้ำชายฝั่ง เปิดเส้นทางเดินทะเลเหนือใต้แห่งแรกของมนุษยชาติขึ้นมา”
แค่ชื่อโซเฟียก็เพียงพอแล้วสำหรับโรเอลที่จะสรุปได้ว่าผู้ก่อตั้งอาณาจักรโซเฟีย คือบรรพบุรุษของตระกูลโซโรฟยาในปัจจุบัน นี่ทำให้เกิดคำถาม หากอาณาจักรโซเฟียมีอำนาจขนาดนั้นจริง ๆ เหตุใดมันถึงได้ถูกลืมเลือนไปโดยคนทั้งโลก?
โรเอลขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ใช่ว่าเขากำลังสงสัยในคำพูดของชาร์ล็อต แต่มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนบนโลกนี้ที่จะพูดโอ้อวดเกินจริงเกี่ยวกับเชื้อสายของตน ยิ่งเป็นเชื้อสายที่เก่าแก่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งเกินจริงมากขึ้นเท่านั้น
นั่นเป็นเหตุผลให้เรื่องราวที่เล่าโดยคนรุ่นก่อน ๆ ควรใช้วิจารณญาณในการฟังสักหน่อย
ยกตัวอย่างเช่น คราเคน มันคือชื่อของสัตว์ประหลาดปลาหมึกยักษ์! มันน่ากลัวพอ ๆ กับที่โรเอลเคยได้เห็นในนวนิยายของโลกในชาติก่อน แล้วกองเรือทองคำที่ว่าจะสามารถเอาชนะมันในทะเลได้จริง ๆ เหรอ?
โรเอลมีรอยยิ้มอันแห่งการเยาะเย้ยปรากฏขึ้นบนใบหน้า ราวกับว่าเขากำลังล้อเลียนชาร์ล็อตที่อธิบายเรื่องราวในตำนานอยู่
เมื่อเห็นว่าคำพูดของตนถูกสงสัย แก้มของชาร์ล็อตก็พองโตด้วยความขุ่นเคือง
“เจ้าคิดว่าข้าพูดเกินจริงงั้นเหรอ?”
“ไม่เลย ฉันก็แค่คิดว่า… ถ้าหากอาณาจักรโซเฟียทรงพลังอย่างที่เธออ้างจริง ๆ ทำไมถึงไม่มีชื่อของมันในบันทึกทางประวัติศาสตร์ใด ๆ ของปัจจุบันเลยล่ะ?”
เมื่อเผชิญกับคำถามของโรเอล ชาร์ล็อตก็เงียบลงไปในทันใด แววตาของเธอแสดงให้เห็นถึงสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เด็กสาวต้องใช้เวลาสักครู่ใหญ่ ๆ ก่อนจะให้คำตอบได้ในที่สุด
“ตามตำนานกล่าวไว้ว่า อาณาจักรนี้ละเมิดข้อห้ามบางอย่าง ด้วยบาปนั้นที่ขัดขืนเหล่าทวยเทพ มันจึงได้ถูกลบออกไปจากการดำรงอยู่”
“…”
เหตุการณ์เหนือธรรมชาติถือเป็นเหตุผลทั่วไปที่ใช้อ้างสำหรับการล่มสลายของอาณาจักร ดังนั้นโรเอลจึงไม่แปลกใจเท่าไหร่ เขาเพียงแต่จ้องมองไปที่ชาร์ล็อตอย่างเงียบ ๆ เหมือนจะกดดันให้อีกฝ่ายอธิบายต่ออย่างละเอียด
“แต่จากการสอบสวนของพวกเรา ดูเหมือนว่ามันจะเกิดจากความขัดแย้งภายในผู้กองชั้นยอดของกองเรือทองคำ โดยมีคนอ้างว่าการต่อสู้ของพวกเขาทำให้เหล่าทวยเทพโกรธ พวกเขาจึงถูกลงโทษ นอกจากนี้ยังมีการคาดเดาว่าพวกเขาประสบกับภัยธรรมชาติรุนแรง เช่นคลื่นยักษ์ นำไปสู่การเสื่อมสลายของอาณาจักรในที่สุด”
ชาร์ล็อตเปิดเผยทุกสิ่งที่ตระกูลโซโรฟยาได้ตรวจสอบเกี่ยวกับกองเรือทองคำให้แก่โรเอลอย่างรวดเร็ว ซึ่งเด็กชายก็พยักหน้าเงียบ ๆ โดยคิดว่าเรื่องราวที่เธออธิบายเสริมดูน่าเชื่อถือกว่ามาก ภาพนิมิตที่เขาได้เห็นก่อนหน้านี้กินเวลาเพียงครู่เดียว แต่โรเอลก็มั่นใจว่าเขาได้เห็นเรือหลายสิบลำแล่นอยู่ที่นั่น
“แต่ยังไงฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเกี่ยวอะไรกับการที่ จู่ ๆ เธอก็เปลี่ยนใจเกี่ยวกับการหมั้นหมายของเราโดยกะทันหัน”
แม้จะได้ฟังเรื่องเล่าอันยาวเหยียดเกี่ยวกับกองเรือทองคำจากชาร์ล็อตแล้ว โรเอลก็ยังไม่เข้าใจว่าอะไรคือเหตุผลให้เธอเปลี่ยนใจ แทนที่จะตอบคำถามมาตรง ๆ ชาร์ล็อตกลับตั้งคำถามขึ้นมาใหม่เอง
“โรเอล เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับอิทธิพลทางการทหารของตระกูลโซโรฟยา”
“หืม? ฉันคิดว่า… มันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่นะ? ฮ่าๆๆๆ”
คำถามที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้โรเอลไม่ทันระวัง เขาจึงพยายามหัวเราะออกมา ชาร์ล็อตถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางกำหมัดแน่นด้วยความขุ่นเคือง
สมาคมพ่อค้าโซโรฟยามีชื่อเสียงในด้านการเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ พวกเขามีเครือข่ายธุรกิจที่ขยายไปทั่วทั้งทวีปเซีย อย่างไรก็ตามพวกเขามีบาดแผลอย่างหนึ่งที่เป็นรอยฝังลึกอยู่ในความภาคภูมิใจของพวกมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นปัญหาที่สืบทอดกันมาของพวกเขา
ตระกูลโซโรฟยาสืบทอดพลังทางสายเลือดมาจากพวกไฮเอลฟ์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอำนาจเทียบเท่ากับเหล่าทูตสวรรค์ ทว่าในแง่ของพลังดิบ เห็นได้ชัดว่ามีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างตระกูลโซโรฟยาและตระกูลเซไซต์ สาเหตุของความเหลื่อมล้ำก็คือการสูญสิ้นทางมรดกของตระกูลโซโรฟยา
การล่มสลายของอาณาจักรโซเฟียและกองเรือทองคำ ถือเป็นการทำลายล้างมรดกของเหล่าไฮเอลฟ์ ทั้งคาถาเวท และวิธีการปลุกพลังหลายอย่างของพวกเขาได้เลือนหายไปในหายนะครั้งนั้น ส่งผลให้ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติของตระกูลโซโรฟยาลดลงไปมาก
แม้ตระกูลโซโรฟยาจะสามารถลุกขึ้นมาได้อีกครั้งโดยใช้ไหวพริบทางด้านธุรกิจ ทว่าการขาดผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่จะมาปกป้องรักษาตำแหน่งและความมั่งคั่งของพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจมาตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ถึงกระนั้นตระกูลโซโรฟยาก็ไม่ละทิ้งความพยายาม พวกเขาทั้งสรรหาผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทรงพลังและทหารรับจ้างลัทธินอกรีต ถึงขั้นยอมที่จะจัดการแต่งงานทางการเมืองกับตระกูลผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเลยทีเดียว
โดยรวมแล้วการกระทำของพวกเขาล้วนเป็นผลมาจากความไม่สบายใจนี้
อันที่จริงสัญญาหมั้นระหว่างตระกูลโซโรฟยาและตระกูลแอสคาร์ด ก็มาจากการที่ตระกูลโซโรฟยา สนใจในความสามารถทางด้านการทหารที่เหนือกว่าของตระกูลแอสคาร์ดนั่นเอง
ความมั่งคั่งและอำนาจทางเศรษฐกิจของตระกูลโซโรฟยาทำให้พวกเขาตกเป็นเป้าหมายของอาณาจักรทรงอิทธิพลต่าง ๆ ทำให้พวกเขาอยู่ในสถานะที่อันตรายมาก ความมั่งคั่งควรจะได้รับการปกป้องด้วยพลังที่เพียงพอ นั่นเป็นสาเหตุที่ตระกูลโซโรฟยา ได้ตรวจสอบเกี่ยวกับอาณาจักรโซเฟียและกองเรือทองคำอย่างแข็งขันโดยหวังว่ามันจะเป็นเบาะแสที่สามารถนำยุคทองของพวกเขากลับคืนมาได้
จนกระทั่งในวันนี้ ด้วยจดหมายซองนี้และความสามารถทางสายเลือดของโรเอล ชาร์ล็อตได้เห็นกองเรือทองคำในตำนานด้วยตาของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังมีข้อสงสัยว่าผู้หญิงที่พวกเขาสบตากันในนิมิตนั้นคือจักรพรรดินีคนสุดท้ายของอาณาจักรโซเฟีย อิซาเบลลา โซเฟีย
เธอถูกพรรณนาในตำนานว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์เหนือธรรมชาติ ในช่วงยุคของเธอนี่แหละที่กองเรือทองคำได้จัดการส่งคราเคนในตำนานหนีตายเอาชีวิตรอด อาณาจักรโซเฟียถูกชักนำขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดเท่าที่เคยมีมาภายใต้การปกครองของเธอ แต่แล้วทุกอย่างก็หายสาบสูญไปอย่างปริศนา ไม่เหลืออะไรนอกเสียจากตำนานความลึกลับอันยิ่งใหญ่สำหรับคนรุ่นหลัง
“โรเอล แอสคาร์ด ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า ไม่สิ ตระกูลโซโรฟยาของเราต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า ข้าได้ตรวจดูที่ซองจดหมายแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตราประทับขี้ผึ้งนี้เป็นตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของอาณาจักรโซเฟีย เป็นไปได้ว่าบรรพบุรุษของเรามีความผูกพันกับตระกูลแอสคาร์ด หากเจ้ามีบันทึกใด ๆ เกี่ยวกับสิ่งนั้น โปรดขายมันให้กับทางเรา ข้าพร้อมจะจ่ายในราคาที่เจ้าเห็นว่าเหมาะสม”
“…”
เมื่อต้องเผชิญกับสายตาจ้องมองอันร้อนแรงของชาร์ล็อต ผิวของโรเอลก็ซีดลงเล็กน้อย จากสถานการณ์ในปัจจุบัน ดูเหมือนว่า 500,000 เหรียญทอง ที่เด็กชายขูดรีดมาจากชาร์ล็อตผ่านทักษะการแสดงที่น่าทึ่งได้เลือนหายไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยข้อตกลงที่มีกำไรมากกว่า ปัญหาก็คือ…
เขาไม่มีสินค้าใดจะมาขายให้ชาร์ล็อต!
โรเอลมองดูซองจดหมายบนโต๊ะด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น เขาไม่รู้ว่าด้วยซ้ำว่าบันทึกทางประวัติศาสตร์เหล่านั้นได้หายสาบสูญไปแล้วโดยบังเอิญ หรือเป็นการกระทำโดยเจตนาของบรรพบุรุษ แต่จนถึงตอนนี้ เด็กชายไม่เคยเห็นบันทึกใด ๆ เกี่ยวกับอาณาจักรโซเฟีย หรือกองเรือทองคำเลย นอกจากซองจดหมายนี้ มันเป็นทั้งหมดที่เขามีอยู่จริง ๆ
“ขอโทษที่ต้องทำให้เธอผิดหวัง แต่จดหมายซองนี้เป็นเบาะแสเพียงอย่างเดียวที่ตระกูลแอสคาร์ด”
คำอธิบายอันเจ็บปวดของโรเอลทำให้แสงสว่างในดวงตาของชาร์ล็อตค่อย ๆ หรี่ลง เธอไม่สามารถปกปิดความผิดหวังบนใบหน้าของตนได้ อย่างไรก็ตามเธอกลับนึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง
“เดี๋ยวก่อน โรเอล นิมิตก่อนหน้านี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? มีร่องรอยของพลังเหนือธรรมชาติหลงเหลืออยู่บนซองจดหมายงั้นเหรอ?”
“อา นั่นอาจเป็นเพราะความสามารถทางสายเลือดของฉัน”
โรเอลตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“บางครั้งพลังทางสายเลือดของตระกูลแอสคาร์ด จะสร้างนิมิตขึ้นเมื่อฉันได้สัมผัสกับวัตถุโบราณทางประวัติศาสตร์ คล้ายกับที่นักพยากรณ์แห่งดวงดาวที่จะได้รับนิมิตเมื่อเงื่อนไขบางอย่างบรรลุผล ฉันจะสามารถเห็นชิ้นส่วนความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับอดีตได้ แต่ซองจดหมายนี้ดูเหมือนจะไม่สำคัญพอที่จะกระตุ้นพลังสายเลือดของฉันได้ มันเป็นไปได้ว่าตอนที่พวกเราสัมผัสกันก่อนหน้านี้ พลังสายเลือดของเราได้สั่นพ้องประสานกัน ส่งผลให้…”
คำพูดของโรเอลเริ่มนุ่มนวลขึ้นเรื่อย ๆ แต่แล้วเด็กชายก็สังเกตได้ว่าเด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงตรงหน้าเริ่มมองมาที่เขาด้วยสายตาอันเร่าร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับผู้ล่าที่กำลังจับตามองเหยื่อ
ทันใดนั้นชาร์ล็อตก็พยักหน้าก่อนจะพุ่งตรงเข้าประเด็น
“เข้าใจแล้ว โรเอล ดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องสนิทสนมกันให้มากขึ้นสินะ”
Related