บทที่ 154: ความสัมพันธ์ของบรรพบุรุษทั้งสอง
ไม่ว่าจะอยู่ในโลกไหนหรือยุคไหน สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้นำก็คือการสร้างอัตลักษณ์ และการสนองความต้องการของประชาชน ซึ่งตระกูลแอสคาร์ดก็ได้ปฏิบัติทั้งสองสิ่งนี้เป็นอย่างดีมาตลอดพันปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามการสร้างอัตลักษณ์จะต้องเริ่มต้นจากภายใน ผู้นำตระกูลส่วนใหญ่มักจะทิ้งมรดกบางอย่างไว้ให้ลูกหลานของตน เพื่อเป็นหลักฐานการดำรงอยู่และเป็นการส่งต่อมรดกของพวกเขา และหลักฐานที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือภาพเหมือนของพวกเขา
แม้ลูกชายของข้าจะรู้ว่าหน้าตาของข้าเป็นอย่างไร หลานชายของข้ารู้ว่าหน้าตาของข้าเป็นอย่างไร แล้วหลานชายและเหลนของข้าล่ะพวกเขาจะรู้ได้ยังไง?
แม้แต่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่มีอายุยืนยาวที่สุดก็ไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป เพื่อที่จะคงไว้ซึ่งความยิ่งใหญ่ของตน เพื่อให้คนรุ่นหลังได้มองดูเขาด้วยความคารวะ (?) ผู้นำตระกูลของตระกูลแอสคาร์ดมักจะจ้างศิลปินให้วาดภาพเหมือนพวกเขาในช่วงวัยเจริญพันธุ์ ช่วงอายุประมาณ 20 ถึง 30 ปี และเก็บภาพเหล่านั้นไว้ในห้องนิรภัย
โรเอลเคยได้เห็นภาพพวกเขาเหล่านั้นบ่อยครั้งในช่วงวัยเด็กของเขา ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้มีความเคารพอะไรเป็นพิเศษ เด็กเหลือขอจะไปรู้จักความเคารพอะไรได้กันล่ะ?
เช่นเดียวกับพวกเด็กเหลือขอคนอื่น ๆ โรเอลในสมัยเด็ก มีสายตาเฉียบแหลมในการตัดสินผู้คนจากรูปลักษณ์ของพวกเขา โดยครั้งหนึ่งเด็กชายได้เคยจัด ‘การประกวดความงาม’ ให้กับภาพวาดของเหล่าผู้นำตระกูล ซึ่งในภาพเหล่านั้นมีภาพเหมือนภาพหนึ่งที่ทำให้เขาประทับใจมากเป็นพิเศษ
นั่นก็คือภาพวาดเหมือนของบรรพบุรุษผู้โด่งดังในหลายศตวรรษก่อนของเขา วินสเตอร์ แอสคาร์ด
การผจญภัยของวินสเตอร์ คือชื่อของหนังสือที่โรเอลมักอ่านในวัยเด็ก ต่อมาเมื่อเขาปลุกพลังสายเลือดของตนขึ้นมา ความอยากรู้เกี่ยวกับบรรพบุรุษผู้นี้ ซึ่งปลุกสายเลือดแบบเดียวกันขึ้นมาด้วยก็เพิ่มมากขึ้นไปอีก
นับตั้งแต่ยุคของวินสเตอร์ ก็ผ่านมาเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว ดังนั้นมันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่บันทึกมากมายเกี่ยวกับเขาจะหายสาบสูญไป ทว่าโรเอลยังคงจำใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน นั่นเป็นเหตุผลที่เขาจำอีกฝ่ายได้ทันทีที่เห็นในนิมิต
“ฉันคิดเลยว่า ‘ผู้ปกครองเขตการปกครอง’ จะเป็นเขาจริง ๆ”
โรเอลหมุนแก้วไวน์ผลไม้ในมือโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ก้อนน้ำแข็งส่งเสียงกระทบกันเบา ๆ ตอนนี้จิตใจของเขากำลังล่องลอยไปที่อื่นด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก แต่ลางสังหรณ์ใจไม่ดีก็ได้เข้าเกาะกุมจิตใจของเขาเอาไว้
หาก ‘ผู้ปกครองเขตการปกครอง’ เป็นผู้นำตระกูลคนอื่น ๆ ของตระกูลแอสคาร์ดล่ะก็ โรเอลคงไม่ต้องคิดมากเกี่ยวกับการที่เขาเข้าร่วมองค์กรผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ทว่าเมื่อเป็นวินสเตอร์ แอสคาร์ด สถานการณ์ดังกล่าวจึงน่าจะมีความสำคัญมากกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้ในตอนแรก
วินสเตอร์ แอสคาร์ด เป็นหนึ่งในผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอันดับต้น ๆ ของมนุษยชาติในยุคของเขา ดังนั้นองค์กรผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยจะต้องไม่ใช่อะไรที่ธรรมดา ๆ แน่ ยิ่งไปกว่านั้น จากรายละเอียดปลีกย่อยที่โรเอลสังเกตเห็น ดูเหมือนว่าวินสเตอร์จะไม่ใช่ผู้นำขององค์กรดังกล่าวเสียด้วย
ในภาพนิมิตที่โรเอลเห็นภาพหนึ่ง มีภาพของคนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา พวกเขานั่งรวมกันที่โต๊ะสี่เหลี่ยมยาว ๆ ที่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งขณะกำลังจัดประชุม โดยวินสเตอร์นั้นไม่ได้นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะแต่อย่างใด กลับกันแล้วเขาอยู่ห่างไกลออกไปจนสุดทางเลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม วินสเตอร์ในนิมิตนั้น ยังเด็กมาก เขาน่าจะมีอายุประมาณ 18 ปีเท่านั้น ซึ่งตามในบันทึกทางประวัติศาสตร์ เขาได้ไปถึงระดับแก่นแท้ 3 แล้วในตอนนั้น
ปัจจุบันในทวีปเซียแทบจะไม่มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 1 เหลืออยู่อีกแล้ว หมายความว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 2 ถือเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ทรงพลังที่สุดในขณะนี้
องค์ชายเวต ที่โรเอลได้พบก่อนหน้าในสถานะผู้เฝ้ามอง เป็นตัวอย่างของการก้าวข้ามขีดจำกัดของระดับแก่นแท้ 2 อันทรงพลัง แม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส และเกือบหมดแรง แต่เขาก็ยังมีพลังมากพอที่จะพลิกสถานการณ์ของสงครามได้ด้วยตัวคนเดียว ด้วยพลังระดับนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงจะสามารถนำกองทัพออกไปขยายอาณาเขตของมนุษยชาติได้อย่างง่ายดาย!
แม้ว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 จะน่าประทับใจน้อยกว่า แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็มากเกินพอที่จะเป็นถึงผู้บัญชาการของอาณาจักรมหาอำนาจ
ถึงแม้ว่าวินสเตอร์จะมีพลังมหาศาล แต่เขาก็ยังไม่ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับต้น ๆ ของโต๊ะยาวนั้น นอกจากนี้ดูเหมือนว่าจักรพรรดินีของอาณาจักรโซเฟียผู้ทรงอำนาจในขณะนั้นเองก็เป็นสมาชิกขององค์กรดังกล่าวด้วยเช่นกัน นั่นทำให้มันยากที่จะเข้าใจถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวของพวกเขา
“องค์กรผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแบบไหนกันที่ วินสเตอร์ แอสคาร์ดยอมเข้าร่วม”
โรเอลพึมพำอย่างสงสัย
แม้ว่าในตอนแรกเด็กชายเลือกที่จะช่วยชาร์ล็อตเพราะเรื่องเงิน และความต้องการที่จะความสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลโซโรฟยา แต่ตอนนี้เขาได้มีแรงจูงใจเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างในการแก้ไขปริศนานี้เสียแล้ว
โรเอลมีลางสังหรณ์ว่าความจริงเบื้องหลังอายุขัยอันสั้นของผู้นำตระกูลตระกูลแอสคาร์ดนั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับมัน
ผู้นำตระกูลที่หายสาบสูญไปถูกศัตรูลอบสังหาร หรือมันเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ? หากพวกเขามีศัตรูจริง ๆ ล่ะก็ คนพวกนั้นเป็นใครกันแน่?
คำถามมากมายลอยอยู่ในใจของโรเอล ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดและกังวล ซึ่งท่าทางที่กำลังครุ่นคิดของเด็กชายก็ถูกชาร์ล็อตจับสังเกตได้อย่างรวดเร็ว
“โรเอล เจ้าเป็นอะไรไปงั้นเหรอ? สีหน้าของเจ้าดูแย่มาก”
“หืม? ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่นึกถึงนิมิตที่เราเห็น”
“เจ้ากำลังพูดถึงนิมิตของบรรพบุรุษของพวกเราที่เข้าร่วม สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ รึเปล่า?”
“อืม… หา?”
เมื่อคำพูดของชาร์ล็อตก็จมดิ่งลงไป โรเอลที่กำลังครุ่นคิดอยู่ก็หันไปทางเธอด้วยความประหลาดใจ ทำให้เด็กสาวตกใจเล็กน้อยกับการเคลื่อนไหวโดยกะทันหันของเขา
“เธอรู้จักองค์กรที่พวกเขาเกี่ยวข้องด้วยงั้นเหรอ?”
“ใช่ ข้าเห็นตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์บนหน้าอกของพวกเขาระหว่างภาพนิมิต มันเป็นตราสัญลักษณ์ที่สมาชิกสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำสวม”
“สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำคืออะไร?”
ชื่อขององค์กรดังกล่าวมีเค้าลางของลัทธิชั่วร้าย หากย้อนกลับไปในโลกอดีตชาติของโรเอล สิ่งที่เกี่ยวข้องกับคำว่า ‘พลบค่ำ’ มักจะไม่ใช่เรื่องดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นชื่อขององค์กรด้วยแล้ว องค์กรราว ๆ เก้าในสิบแห่งที่มีชื่อ ‘พลบค่ำ’ มักจะมีเป้าหมายเป็นการทำลายล้างโลก
บรรพบุรุษของเราไม่ใช่ผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายหรอกใช่ไหม? โรเอลสงสัยอย่างเป็นกังวล
ทางด้านชาร์ล็อตนั้นดูจะไม่ได้รับผลกระทบจากความจริงนี้เท่าไหร่ เด็กสาววางหมอนที่กอดลงเพื่อเผยให้เห็นใบหน้าของเธอ และหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อรวบรวมข้อมูลในหัว ก่อนจะเธอตอบอย่างลังเล
“ข้อมูลที่ข้ารู้เกี่ยวกับองค์กรนี้มีเพียง ชื่อและตราเท่านั้น ส่วนเหตุผลที่ข้ารู้จักมันก็… อย่างที่เจ้าน่าจะเคยได้ยินมานั่นแหละ เครือข่ายข่าวกรองของสมาคมพ่อค้าโซโรฟยา ไม่เป็นสองรองใครในทวีปเซีย เพื่อชดเชยความแข็งแกร่งในด้านกำลังรบของพวกเรา พวกเราจึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือตระกูลนักฆ่าที่มีชื่อเสียง ตระกูลคาราซ…”
ขณะที่ชาร์ล็อตพูด โรเอลก็หมุนแก้วไวน์ของเขาเบา ๆ ฟังเรื่องราวของชาร์ล็อตอย่างตั้งใจ ในไม่ช้าเด็กชายก็เข้าใจภาพรวมของสิ่งที่เกิดขึ้น โดยมีข้อมูลชิ้นหนึ่งที่ถือว่าโดดเด่นมากสำหรับเขา
ตระกูลคาราซ ไม่ใช่ตระกูลที่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ตระกูลคาราซ เคยเป็นที่รู้จักในฐานะตระกูลนักฆ่าที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ชื่อเสียงของพวกเขาเทียบได้กับ ฮาซัน ไอ ซับบาห์ ในโลกอดีตชาติของโรเอล อย่างไรก็ตามแทนที่พวกเขาจะเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ยึดมั่นในศาสนา การลอบสังหารสำหรับพวกเขาเปรียบได้กับศิลปะ ซึ่งถือเป็นมรดกของพวกเขา
มีข่าวลือว่าคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของตระกูลคาราซ เป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร ด้วยวิชาของพวกเขาที่สืบทอด ขัดเกลามานานหลายชั่วอายุคน ธุรกิจที่ก่อตั้งมายาวนานของพวกเขาจึงมักได้รับคำวิจารณ์ที่ดีจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตามมันเป็นเพราะบุคคลผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลคาราซ ที่สร้างชื่อเสียงให้กับพวกเขา
บุคคลผู้เป็นผู้นำตระกูลคาราซในยุคของเขา ในฐานะนักฆ่ามันเป็นเรื่องปกติที่เขาจะได้รับคำขอว่าจ้าง แต่คงไม่มีใครจินตนาการว่าเขาจะยอมรับคำว่าจ้างให้ไปลอบสังหารรัชทายาทแห่งราชวงศ์ออสทีน
และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือเขาทำมันได้สำเร็จ
ตามหลักแล้วมักไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่เท่าไหร่สำหรับจักรวรรดิออสทีน เพราะจักรพรรดิของพวกเขามักจะเก่งเรื่องการให้กำเนิดทายาท มันจึงไม่ยากอะไรที่จักรวรรดิออสทีนจะหาคนมาแทนที่เขา อย่างไรก็ตามสถานการณ์ครั้งนี้ค่อนข้างแปลก
หรือให้กล่าวก็คือ รัชทายาทที่ถูกลอบสังหารไม่ได้เป็นเพียงรัชทายาททั่วไป เขาดำรงตำแหน่งนั้นมากว่า 40 ปีแล้วในจังหวะที่จักรพรรดิเฒ่ากำลังป่วยหนักและใกล้จะสิ้นพระชนม์ ซึ่งหมายความว่ารัชทายาทได้สิ้นพระชนม์ก่อนที่เขาจะถูกสถาปนาเพียงไม่นาน จะมีโศกนาฏกรรมครั้งไหนที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกไหม?
ดังที่ประวัติศาสตร์เคยได้แสดงให้เห็น แน่นอนว่ามี
การสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันของรัชทายาททำให้เกิดช่องว่างอันไม่คาดคิดสู่บัลลังก์ ทำให้กลุ่มอำนาจที่มีความทะเยอทะยานจำนวนมากเคลื่อนไหวเพื่อแย่งชิงอำนาจกัน ด้วยเหตุนี้จักรวรรดิออสทีนจึงเข้าสู่ภาวะสงครามภายใน กินเวลานานถึงสิบปี ล้างคลังสมบัติของจักรวรรดิออสทีนออก และทำให้กำลังทหารโดยรวมอ่อนแอลง
หลายทศวรรษหลังจากนั้น พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่เลียแผลตัวเอง ไม่กล้าที่จะออกไปรุกรานผนวกอาณาจักรเพื่อนบ้านที่อ่อนแอในบริเวณใกล้เคียงอีกต่อไป นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางการเมืองของทวีปเซีย
ตระกูลคาราซมีชื่อเสียงโด่งดังจากการลอบสังหารครั้งนั้น กลายเป็นราชันไร้มงกุฎแห่งโลกนักฆ่า สำหรับคนรุ่นต่อ ๆ ไป ทว่าความยิ่งใหญ่ของพวกเขาก็ได้เดินทางมาถึงวาระสุดท้าย เมื่อจักรวรรดิออสทีนได้มุ่งเป้าหมายสังหารล้างบางไปที่ตระกูลคาราซ นำไปสู่การเสื่อมถอยของพวกเขาในที่สุด ทันทีที่เมืองโรซ่าแยกตัวออกจากจักรวรรดิออสทีนได้สำเร็จและก่อตั้งขึ้นเป็นสมาคมพ่อค้าโรซ่า พวกเขาก็พุ่งเข้าใส่อ้อมกอดของเมืองโรซ่าเพื่อขอลี้ภัยในทันที
ตระกูลคาราซ ณ จุดนั้น ไม่มีอะไรที่น่าจดจำอีกแล้ว เป็นเพียงเศษซากของผู้พ่ายแพ้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังพอจะสามารถให้ข้อมูลภายในเกี่ยวกับอดีตได้มากมาย หนึ่งในความรู้ที่แลกเปลี่ยนกัน ก็คือเหตุผลที่พวกเขาเลือกลอบสังหารรัชทายาทของจักรวรรดิออสทีนในตอนนั้น
“ตามบันทึกของตระกูลคาราซ บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นสมาชิกขององค์กรผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่รู้จักกันในชื่อ สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ การลอบสังหารนั้นเป็นภารกิจจากสมัชชา และตราสัญลักษณ์ของสมัชชาก็เหมือนกับที่ข้าได้เห็นในนิมิตก่อนหน้านี้”
“เข้าใจแล้ว สมัชชาที่ว่ายังมีตัวตนอยู่รึเปล่า?”
“พวกเขาได้แยกย้ายกันไปนานแล้ว ตั้งแต่ความหายนะของตระกูลคาราซ หากพิจารณาถึงการเสียสละครั้งใหญ่ที่พวกเขาทำในภารกิจนั้น สมัชชาควรจะออกมาปกป้องพวกเขาจากความโกรธแค้นของจักรวรรดิออสทีน ทว่าเมื่อหลายศตวรรษก่อน การสนับสนุนที่มอบให้กับตระกูลคาราซกลับหยุดชะงักไป นับตั้งแต่นั้นมาสมัชชาก็ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาอีกเลย”
คิ้วของโรเอลเลิกสูงขึ้นราวกับเป็นการตอบโต้
องค์กรของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติขนาดใหญ่ มักจะปกป้องสมาชิกของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่มีส่วนร่วม คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงชีวิตเพื่อองค์กรที่ไม่สามารถให้ความคุ้มครองกับพวกเขาหรอก
ด้วยที่พวกเขามีสมาชิกอันยอดเยี่ยมตั้งแต่ราชินีแห่งอาณาจักรโซเฟีย วินสเตอร์ แอสคาร์ด ไปจนถึงตระกูลคาราซ ราชันไร้มงกุฎแห่งโลกนักฆ่า สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำนั้นเป็นองค์กรที่มีพลังมหาศาลอย่างเห็นได้ชัด มันทรงพลังมากจนสามารถสั่งภารกิจลอบสังหารสมาชิกราชวงศ์ออสทีนได้ แล้วองค์กรดังกล่าวหายไปในอากาศอย่างรวดเร็วได้อย่างไรกัน?
องค์กรลับที่ทรงพลังเช่นนี้ คงไม่คิดที่จะแยกตัวกันง่าย ๆ แน่ มีผลประโยชน์เป็นเดิมพันมากเกินไปด้วยสถานะของเหล่าสมาชิกที่เกี่ยวข้องกับมัน นั่นทำให้เหลือความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
พวกเขาถูกกำจัด
“… รู้สึกว่ายิ่งสืบก็ยิ่งเจอปริศนามากขึ้นเรื่อย ๆ ‘ไข่’ ในจดหมายหมายถึงอะไรกันแน่? นอกจากนี้ เป้าหมายขององค์กรสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำที่ วินสเตอร์ และคนอื่น ๆ อยู่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอะไรกับมัน? มีคำถามมากมายที่เรายังไม่ได้คำตอบ”
“นั่นก็จริงอยู่… แต่ พวกเราก็ได้รับข้อมูลสำคัญบางอย่างมาด้วยเช่นกัน ใช่ไหมล่ะ?”
“หืม? อะไรงั้นเหรอ?”
“ข้ากำลังพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดินี อิซาเบลลา กับวินสเตอร์”
จู่ ๆ ชาร์ล็อตก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา เด็กสาวคว้าหมอนมากอดอีกครั้ง พลางมองไปที่โรเอลด้วยใบหน้าอันแดงก่ำ
“ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นคู่รักกัน”
“… ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น ฮ่าๆๆๆ บังเอิญจังเลยนะ”
“จ..จริงด้วย”
“…”
บรรยากาศแปลกประหลาดเข้าปกคลุมห้องพัก ทอดยาวไปถึงโรเอลและชาร์ล็อต บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นคู่รัก และพวกเขาเองก็เป็นคู่หมั้นกัน แม้ว่าจะต่างกันหลายศตวรรษ แต่ความบังเอิญดังกล่าวก็ถือเป็นเรื่องแปลกสำหรับโลกนี้
ราวกับว่าชะตากรรมได้คืบคลานเข้ามาหาพวกเขาจากอดีต เข้าปกคลุมพวกเขาทั้งสองเอาไว้อย่างเงียบ ๆ
ชาร์ล็อตรู้สึกว่าจิตใจของเธอเริ่มเลือนลาง หัวใจของเด็กสาวเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถึงจุดที่เริ่มรู้สึกเจ็บเล็กน้อย จนเธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง กลับกันแล้ว ทางด้านโรเอลก็เริ่มจิบไวน์บ่อยเกินไป โดยหวังว่าแอลกอฮอล์จะช่วยแช่แข็งจิตใจที่กำลังสับสนของเขาให้สงบลง
ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง ขณะที่บรรยากาศเริ่มแปลกประหลาดขึ้นเรื่อย ๆ เสียงตะโกนอันร้อนแรงที่ได้ยินจากงานฉลองข้างนอกนั้นฟังดูดังสนั่นขึ้นมา
“พวกเราเข้านอนกันก่อนเถอะ”
หลังจากลังเลอยู่นาน ในที่สุดชาร์ล็อตก็เอาชนะความกังวลในใจได้ พร้อมพูดออกมาอย่างเขินอาย