บทที่ 159: เมื่อสายฟ้าฟาดผ่าลงมา การระเบิด เสียงร้องของสัตว์ทะเล ความร้อนจากการหายใจของเด็กชายผมดำที่นอนอยู่ข้าง ๆ ความรู้สึกทั้งหมดนี้ครอบงำประสาทสัมผัสของชาร์ล็อต แม้จะอยู่ท่ามกลางสงคราม แต่การได้ใกล้ชิดกับโรเอลเช่นนี้ ก็ทำให้หัวใจของเด็กสาวเต้นระรัว อย่างไรก็ตามเธอก็รีบส่ายหน้าเพื่อตั้งสติให้จดจ่ออยู่กับการต่อสู้อีกครั้ง การระเบิดครั้งใหญ่นี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องหยุดการต่อสู้ลงชั่วคราว เพื่อพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ชาร์ล็อตที่ตอนนี้อยู่ในอ้อมกอดของโรเอล ลืมตาขึ้นและสังเกตเห็นได้ว่าการไหลเวียนของพลังเวทมากมายในพื้นที่หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ในคราวเดียว เมื่อตระหนักว่านี่เป็นโอกาสอันดีสำหรับตน ชาร์ล็อตจึงยกปืนขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เด็กสาวไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ใครอื่นนอกเสียจากเด็กชายผมดำที่กำลังโอบกอดเธออยู่ “ช…ชาร์ล็อต?” “เชื่อในตัวข้า!” แม้ว่าโรเอลจะตกใจในทีแรก แต่เมื่อได้ยินคำพูดของชาร์ล็อต เขาก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างลังเล ไกปืนถูกดึงออกมาจากนั้นแสงสีขาวเจิดจ้าก็แผ่ขยายอย่างรวดเร็วเบื้องหน้าเขา จนเติมเต็มขอบเขตการมองเห็นทั้งหมด เมื่อแสงดับลงโรเอลก็ตระหนักได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เด็กชายมองไปรอบ ๆ ตัว ก่อนจะพบว่าเขาถูกรายล้อมไปด้วยเหล่าลูกเรือที่กำลังตกตะลึงและจ้องมองมาที่เขา “น…นี่มันเด็กคนนี้ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เหรอ? จู่ ๆ เขามาปรากฏตัวที่นี่ได้ยังไงกัน?” ก่อนที่พวกเขาจะเข้าใจถึงปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดนี้ เสียงของไกปืนก็ดังก้องกังวานมาจากระยะไกลอีกครั้ง ทันใดนั้นภาพเงาอันพร่ามัวก็ปรากฏขึ้นเหนือพวกเขา ซึ่งก็คือชาร์ล็อตนั่นเอง เด็กสาวตกลงมาบนตัวโรเอลที่กำลังพยายามลุกขึ้นมา ทับเขาจนต้องกลับลงไปนอนอีกครั้ง “โอ๊ย! แค่ก แค่ก!” โชคดีที่รูปร่างบอบบางของชาร์ล็อตทำให้แรงกระแทกลดลง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง แต่โรเอลก็สามารถฟื้นตัวได้ด้วยการไอเพียงไม่กี่ครั้ง ก่อนที่ทั้งสองจะฉลองความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพวกเขาได้ จู่ ๆ เหล่าลูกเรือก็พากันพุ่งเข้าหาทั้งสองในทันที จนเด็กทั้งสองต้องหวาดกลัวเล็กน้อย “เดี๋ยวก่อน พวกเรา…” “พวกเธอไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรทั้งนั้นแหละ พวกเราเข้าใจดี!” ??? หา? เข้าใจอะไรกัน? เด็กชายที่ตอนนี้กำลังสับสน เขาได้เตรียมคำอธิบายเอาไว้ล่วงหน้าอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าเขาสามารถโน้มน้าวเหล่าลูกเรือได้ว่าพวกเขาเป็นพันธมิตร แต่สุดท้ายทั้งหมดนั้นก็ต้องสูญเปล่า ปราศจากความลังเล เหล่าลูกเรือต่างพากันรวมตัวรอบ ๆ โรเอลและชาร์ล็อต พวกเขาหันร่าง ชี้อาวุธออกไปด้านนอกรอบทิศทาง พร้อมที่จะปัดเป่าศัตรูทุกตัวที่กล้าเข้าใกล้เด็ก ๆ ทั้งสอง “เด็กน้อย เจ้าพอจะรู้วิธีควบคุมเรือหรือไม่?” “หา?” กัปตันเจฟฟ์เดินเข้ามาหาชาร์ล็อต ซึ่งกำลังถูกปกป้องอยู่ข้างหลังโรเอลด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้มแสดงความเป็นมิตรระหว่างที่เขาถามคำถามกับเธอ อย่างไรก็ตามชาร์ล็อตนั้นดูสับสนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในทางปฏิบัตินั่นก็พอจะเป็นคำตอบได้แล้วว่า ‘ไม่’ กัปตันวัยชราจึงรีบหันไปหาแพทย์ประจำทันที “ทำยังไงก็ได้ ยื้อชีวิตของลอรีเอาไว้! อย่างน้อย ๆ ก็ซื้อเวลาให้มากพอที่เขาจะสอนวิธีการควบคุมตาข่ายไฟฟ้าให้กับเด็กสาวคนนี้!” หลังจากนั้นเจฟฟ์ก็รีบอธิบายให้เด็กทั้งสองคนเข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินว่าพวกเขาตั้งใจจะระเบิดเรือทิ้งในคราแรก โรเอลก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ส่วนชาร์ล็อตก็รีบวิ่งไปที่รองกัปตันที่กำลังจะสิ้นใจ เริ่มเรียนรู้วิธีควบคุมเรือลำใหญ่นี้จากเขา พวกคุณคิดจะสอนเธอถึงวิธีการควบคุมเรือแบบฉุกเฉินอย่างนี้จริง ๆ หรือ? ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย? โรเอลยังคงมีปัญหาเกี่ยวกับการทำความเข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบัน แม้ว่าชาร์ล็อตจะเป็นอัจฉริยะ แต่เธอนั้นเป็นอัจฉริยะด้านธุรกิจ! ไม่ว่าเด็กสาวจะฉลาดแค่ไหน มันก็ไม่มีทางเลยที่เธอจะเข้าใจอะไรที่ซับซ้อนอย่างการบังคับควบคุมเรือลำนี้ได้ในทันทีทันใดโดยที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน! เด็กชายถึงกับพูดไม่ออกกับสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่โรเอลก็ไม่มีเวลามาบ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ สงครามได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เสียงโห่ร้องของการต่อสู้ดังทั่วดาดฟ้า ทุก ๆ วินาที ไม่ลูกเรือก็สัตว์ประหลาดจากใต้ท้องทะเลจะต้องล้มตายลงไปกับพื้นเรือ โรเอลเดาะลิ้นของเขาด้วยความรำคาญ ก่อนที่จะหยิบดาบขึ้นมาจากพื้นแล้วพุ่งกลับไปที่แนวหน้า “กัปตันเจฟฟ์ การให้ชาร์ล็อตเปิดใช้งานตาข่ายไฟฟ้าเป็นหนทางเดียวที่เราจะเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์นี้ได้อย่างนั้นเหรอครับ? ผมไม่คิดว่าการฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเธอจะได้ผล! ไม่มีหนทางอื่นนอกจากนี้แล้วจริง ๆ เหรอครับ?” “ก็พอจะมีวิธีอื่นอยู่หรอกนะเจ้าหนุ่ม แต่มันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว เว้นแต่จะมีใครสามารถไล่พวกมนุษย์เกล็ดเหล่านี้ทั้งหมดออกจากเรือได้ เพื่อที่เราจะได้ยึดส่วนหน้าของเรือกลับมา!” เจฟฟ์ยกมือขึ้นเบี่ยงลูกธนูน้ำแรงดันสูงสองสามลูกที่ลอยมาทางเขา ชายแก่เองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าชาร์ล็อตจะประสบความสำเร็จ แต่ถ้าหากเทียบกับการพยายามกอบกู้ส่วนหน้าของเรือแล้ว พวกเขาฝากความหวังไว้กับเธอเสียยังจะดีกว่า ประการแรก หากพวกเขามีกำลังพอที่จะขับไล่ศัตรูออกจากเรือได้ เอสเอส เซนต์พอลคงจะไม่ต้องตกอยู่ตรงนี้แน่ พวกเขาต่อสู้มาเป็นเวลานานแล้ว ทุกคนจึงไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะเอาชนะหรืออยู่ได้นานกว่าสัตว์ประหลาดทะเลพวกนี้อีกต่อไป “เป็นไปไม่ได้แล้ว? ผมว่าคุณควรคิดใหม่อีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ” โรเอลชักดาบในมือของเขาขึ้นมาพลางพึมพำกับตัวเอง แสงสีแดงเริ่มฉายแสงจากม่านตาสีทองของเด็กชายในขณะที่เขารวบรวมรีดเร้นพลังเวทที่เหลือออกมา พลังเวทสีแดงเข้มขดอยู่รอบตัวเขาราวกับงูหลามก่อนจะระเบิดออกไปโดยรอบ แปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีแดงเข้มคำรามดังสนั่นไปบนท้องฟ้า ตูม! เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องราวกับกลองสงครามอันเกรี้ยวกราดของนักรบนับไม่ถ้วน ดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที เจฟฟ์เบิกตากว้างด้วยความงุนงง ราวกับปาฏิหาริย์ครั้งที่สองได้ปรากฏต่อหน้าต่อตาพวกเขาในช่วงเวลาวิกฤตินี้ มันคือคาถาเวทเสริมพลังกองทัพ ความสามารถในตำนานที่ทุกอาณาจักรในทวีปเซียต่างโหยหา! ว่ากันว่าผู้ที่ครอบครองพวกมันคือผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์ให้กลายเป็นราชาในอนาคต! เด็กชายผมดำที่ปกคลุมไปด้วยสายฟ้านั้นให้ความรู้สึกที่ร้อนแรงราวกับเป็นร่างจำแลงแห่งความโกรธเกรี้ยวจากสวรรค์ ดวงตาของเขายังคงเฉียบขาดและสุขุม และมีมงกุฎสายฟ้าสีแดงปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขา เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ โรเอลคิดว่าตนได้เห็นร่างจำแลงขององค์ชายผู้มีความทะเยอทะยานในความทรงจำของเขายืนอยู่ข้าง ๆ อีกฝ่ายเอียงศีรษะให้กับเด็กชายเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มอันเย่อหยิ่งของผู้นำที่เป็นเอกลักษณ์ “ฮึ่ม ถึงจะตายไปแล้ว เขาก็ยังไม่หมดห่วงใช่ไหมเนี่ย?” ริมฝีปากของโรเอลม้วนงอขึ้น ตอบสนองต่อภาพอันเลือนลางที่เขาเห็น พลังอำนาจที่โรเอลแสดงออกมาได้กุมหัวใจของทุกคนที่อยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นเจฟฟ์ เหล่าลูกเรือ หรือสัตว์ประหลาดทะเล เมื่อเด็กชายยกดาบขึ้น ลมพายุและสายฟ้าก็เคลื่อนที่ไปตามคำสั่งของเขา แตกออกเป็นสายฟ้านับไม่ถ้วนที่ตกลงมาเหนือมนุษย์ทุกคน โอบกอดร่างของพวกเขาเอาไว้ในรูปแบบของรัศมีพลังเวทสีแดงเข้ม เมื่อรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งในร่างกายของตนเอง เหล่าลูกเรือก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงคำรามออกมาด้วยขวัญกำลังใจที่เพิ่มสูงขึ้น 【เปิดใช้งาน คาถาเวท ‘เสียงคำรามแห่งอัสนีสีชาด’ 】 【คำนวณพลังเวทที่เหลืออยู่ของผู้ใช้】 【นับถอยหลัง 273, 272, 271…】 “ตามฉันมา! กวาดล้างพวกมันให้สิ้น!” เสียงอันเฉียบคมน่าพึ่งพาดังสนั่นก้องอยู่ในหูของทุก ๆ คน ตั้งแต่เริ่มนับถอยหลังโรเอลก็พุ่งออกไปข้างหน้าขึ้นนำทัพในทันที โดยคนแรกที่ติดตามเขาไปก็คือเจฟฟ์ ซึ่งดูไม่ต่างอะไรไปจากปีศาจที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีพลังเวทสีแดงเข้ม “ฆ่าพวกมันซะ!” “นี่คือศึกสุดท้ายของพวกเรา!” เพียงสองวินาทีสั้น ๆ ลูกเรือที่รอดตายทั้งหมดก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาเป็นอย่างไรและพุ่งตามออกไปข้างหน้าด้วยเช่นกัน ภายใต้ผลกระทบของคาถาเวทเสริมกองทัพ ความสามารถในการโจมตีและการป้องกันของพวกเขาได้รับการยกระดับขึ้นไปมาก สำหรับพวกเขา นี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดอีกต่อไปแล้ว มันเป็นการต่อสู้เพื่อล้างแค้นด้วยเช่นกัน ความทรงจำของเหล่าเพื่อนฝูงและญาติที่ถูกสังหารกลายเป็นความโกรธแค้น ผลักดันพวกเขาด้วยแรงจูงใจที่ไม่เคยมีมาก่อน อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นทั่วร่างกายของเจฟฟ์เริ่มหายเป็นปกติในอย่างรวดเร็วภายใต้ผลกระทบของพลังเวทสีแดง ขวานของเขาเหวี่ยงไปมาด้วยแรงโทสะจัดการศัตรูที่ขวางทางการโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ไม่นานนักเขาก็ไปถึงแนวหลังของเหล่าสัตว์ประหลาดทะเล ร่างของเหล่ามนุษย์เกล็ดทั้งหมดถูกสะบั้นหัวกระเด็นไปมาระหว่างทางจนหมดสิ้น ล้มลงไปที่ดาดฟ้าพร้อมกับเสียง ‘ตึก ตึก ตึก’ แต่เจฟฟ์ไม่ใช่เพียงคนเดียวที่อาละวาดที่นี่ ลูกเรือคนอื่น ๆ ก็พุ่งออกไปที่แนวหน้า ทะยานออกไปราวกับกระทิงที่กำลังอาละวาด จอมเวท และนักธนูที่อยู่ด้านหลังต่างระดมยิงใส่ศัตรูอย่างไม่ลดละด้วยกระสุนเวทมนตร์และลูกธนู อย่างไรก็ตามคนที่โดดเด่นที่สุดไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโรเอล ร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยสายฟ้าสีแดงเข้ม ราวกับว่าเทพเจ้าได้จุติลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อนำผลกรรมจากสวรรค์มาสู่ทุกชีวิต โรเอลมีพลังเวทที่สามารถเอาชนะเหล่าสัตว์ทะเลได้ ดังนั้นบรรดาพวกมนุษย์เกล็ดที่เข้าใกล้เขาจะถูกแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านในทันที คาถาเวทเสริมกองทัพของเขาได้เปลี่ยนกระแสของสงครามในทันที ภายใต้การสนับสนุนของคาถาเสริมพลังอันทรงพลังนี้ เหล่าลูกเรือจึงสามารถยึดส่วนหน้าเรือกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ง่ายขึ้นมากสำหรับการรับมือเหล่ามนุษย์เกล็ดที่พุ่งเข้ามา เพียงสองนาที ศัตรูเกือบทั้งหมดบนดาดฟ้าก็ถูกกำจัดลงในคราวเดียว โรเอลพร้อมด้วยเหล่าลูกเรือสามารถกู้คืนพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ถูกยึดครองกลับมาได้แล้ว ทำให้พวกเขามีพื้นที่มากขึ้นในการต่อสู่มากกว่าเมื่อก่อน ขณะเดียวกัน รองกัปตันลอรีที่กำลังจะตายก็ได้จ้องมองไปยังชาร์ล็อตด้วยความอิจฉาในแววตาของเขา ไม่คิดเลยว่าบนโลกนี้จะมีผู้มีพรสวรรค์ระดับนี้อยู่ด้วย ไม่สิ ต้องเป็นอัจฉริยะในตระกูลของพวกเราเท่านั้นที่จะมีความสามารถระดับนี้ได้! ลอรีมีรอยยิ้มที่ผ่อนคลายลงแต่ยังคงความขมขื่นบนใบหน้า เรือของกองเรือทองคำมีสื่อกลางคาถาเวทที่มักถูกอธิบายว่าเป็น ‘เลือดของเรือ’ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ จิตวิญญาณแห่งทองคำ อยู่ เช่นเดียวกับอุปกรณ์เวทที่ทรงพลัง มันสามารถเลือกผู้ใช้งานของตัวเองได้ จิตวิญญาณแห่งทองคำมีเจตจำนงเป็นของตัวเอง เป็นเหตุผลให้มีเพียงแค่ผู้ที่มีสายเลือดของตระกูลโซเฟียเท่านั้นที่สามารถควบคุมมันได้ อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่ จิตวิญญาณแห่งทองคำ ยอมรับใครมากขนาดนี้มาก่อน ด้วยความพึงพอใจที่มันมีต่อชาร์ล็อต เรือลำนี้พร้อมที่จะเคลื่อนไหวด้วยตัวของมันเองเพื่อปกป้องเธอ! อันที่จริงแล้ว ชาร์ล็อตไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อะไรเลยก็ได้ เด็กสาวนั้นเป็นดั่งผู้ปกครองของกองเรือทองคำโดยกำเนิด คำสั่งของเธอจะถูกดำเนินการโดยเรือทองคำในทันที! “ผมไม่เคยคิดเลยว่าคนอื่นนอกจากฝ่าบาทจะสามารถเข้าถึงพลังของมันในระดับนี้… หนูน้อย สิ่งที่เธอต้องทำมีเพียงแค่ฟังเสียงหัวใจของตัวเอง ขอให้เทพีเซียอวยพร” ลอรีทิ้งคำพูดเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง อย่างไรก็ตามสีหน้าของเขาไม่ได้แสดงถึงความสิ้นหวัง แต่เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยพึงพอใจ “หลับให้สบายนะ รองกัปตัน” ชาร์ล็อตโค้งคำนับพร้อมพึมพำอำลาสหายที่เป็นสมาชิกครอบครัวของเธออย่างเงียบ ๆ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเด็กสาวก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร “เอสเอส เซนต์พอล ใช้ตาข่ายไฟฟ้าความถี่สูง” ภายใต้คำสั่งอันเคร่งขรึมของชาร์ล็อต เรือเอสเอส เซนต์พอล ได้ปล่อยตาข่ายไฟฟ้าสีทองที่ห่อหุ้มภายนอกของเรืออย่างรวดเร็ว เพียงชั่วอึดใจของมนุษย์เกล็ดเกือบพันตัวที่เกาะอยู่บนเรือก็ถูกเผาจนไหม้เกรียมจมดิ่งลงสู่ห้วงทะเลลึก พร้อมเสียงร้องของเหล่าสัตว์ประหลาดที่ดังก้องมาจากด้านล่าง “มันสำเร็จแล้ว! รองกัปตันทำสำเร็จ!” “เทพีเซียโปรดอวยพร เทพีเซียโปรดอวยพร!” การสั่นสะเทือนอันแสนคุ้นเคยบนเรือแจ้งให้ลูกเรือทุกคนได้ทราบว่า การสร้างตาข่ายไฟฟ้าขึ้นมาใหม่ประสบความสำเร็จแล้ว เสียงแห่งความยินดีดังขึ้นในอากาศ ขณะเดียวกันโรเอลก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน เด็กชายควบคุมสายฟ้าสีแดงเข้มที่กระจัดกระจายกันไปก่อนหน้านี้ โดยเหลือเวลาเพียงหนึ่งนาทีบนตัวจับเวลาของคาถาเวท ‘เสียงคำรามแห่งอัสนีสีชาด’ เพื่อความปลอดภัย ทั้งโรเอลและชาร์ล็อต ต่างมุ่งมั่นในภารกิจของตนเองเพื่อช่วยเหลือเรือลำนี้ ซึ่งผลลัพธ์ก็ไม่ทำให้ทั้งคู่ต้องผิดหวัง เหตุการณ์นี้ได้จุดประกายขวัญกำลังใจของเหล่าลูกเรือขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าตอนนั้นเอง คำประกาศก็ดังขึ้นมา ประกาศไปยังเหล่าเรือภายในกองเรือทองคำทั้งหมด “เรือธงจบรายงาน เป้าหมาย 112 จุดเคลื่อนที่ 20 กำลังจะทิ้งระเบิดในอีก 60 วินาที” โรเอลรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับคำประกาศ แต่เหล่าลูกเรือกลับตื่นเต้นขึ้นเมื่อได้ยินมัน “เป้าหมายที่ 112 มันคือสัตว์ทะเลตัวนั้น!” “ถึงเวลาตัดสินผลของการต่อสู้แล้วสินะ” เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเหล่าลูกเรือ โรเอลก็หันไปมองที่ใจกลางกองเรือที่ซึ่งสัตว์ทะเลขนาดมหึมากำลังดิ้นทุรนทุรายอย่างโกรธเกรี้ยวหลังจากโดนตัดหนวดออกไป ก่อนที่โรเอลจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน เรือที่เขาอยู่ได้เริ่มปรับตำแหน่งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทิ้งระเบิด เดี๋ยวนะ เรามีส่วนร่วมในการทิ้งระเบิดด้วยงั้นเหรอ? ชาร์ล็อตเรียนรู้วิธีการควบคุมได้ถึงขนาดนั้นในช่วงเวลาไม่กี่นาทีจริง ๆ เหรอเนี่ย? เหล่าลูกเรือเองก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจเช่นกัน เรือที่แล่นไปอย่างรวดเร็วทำให้เกิดแรงดันอันทรงพลัง บังคับให้ทุกคนบนเรือต้องรีบคว้าอะไรบางอย่างยึดตัวเอาไว้ ไม่งั้นจะกระเด็นหลุดโผออกไป เจฟฟ์ดึงโรเอลเข้ามาที่ด้านข้างของเขาและตะโกนด้วยเสียงดังกึกก้อง “จับแน่น ๆ ล่ะเจ้าหนู! เทศกาลดอกไม้ไฟกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!” “ดอกไม้ไฟ?” โรเอลกะพริบตาด้วยคำที่ไม่คุ้นเคย พยายามจะเข้าใจสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ทว่าเจฟฟ์ก็ยังคงยิ้มต่อไปโดยไม่อธิบายอะไร พร้อมกับการนับถอยหลังบนระบบสื่อสาร “นับถอยหลังสู่การทิ้งระเบิด 3, 2, 1… ยิงได้!” ในตอนท้ายของการนับถอยหลัง พลังเวททำลายล้างจำนวนมหาศาลได้หลั่งไหลเข้าไปในปืนใหญ่ขนาดมหึมาที่ติดตั้งอยู่ที่หัวเรือ โรเอลรู้สึกได้ถึงพลังเวทที่กำลังสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่งใต้ฝ่าเท้าของเขา ราวกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกราด จากนั้นลำแสงอันน่าสะพรึงกลัวก็ถูกเปล่งออกมาพุ่งไปยังเส้นขอบฟ้า ตูม! ราวกับว่าทะเลทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นสีทอง สัตว์ประหลาดทะเลที่แลดูจะไร้เทียมทานในสายตาของโรเอล ได้ถูกลำแสงพลังเวทเข้มข้นที่ยิงมาจากเรือหลายสิบลำกลืนลงไป มันส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาก่อนจะระเหยกลายเป็นไอไปพร้อมกับทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณใกล้เคียง เท่านี้สัตว์ทะเลในตำนานที่ข่มขู่ลูกเรือนับไม่ถ้วนมาตลอดก็ถูกกำจัดหายไปจากโลก ภาพอันน่าประหลาดใจนี้ ทำให้จิตวิญญาณของโรเอลสั่นคลอนไปครู่หนึ่ง “นี่น่ะเหรอพลัง… ของกองเรือทองคำ” โรเอลพึมพำอย่างตกตะลึง ก่อนจะเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับฝูงชนที่กำลังเฉลิมฉลองชัยชนะของพวกเขาอย่างมีความสุข
บทที่ 159: เมื่อสายฟ้าฟาดผ่าลงมา
การระเบิด เสียงร้องของสัตว์ทะเล ความร้อนจากการหายใจของเด็กชายผมดำที่นอนอยู่ข้าง ๆ ความรู้สึกทั้งหมดนี้ครอบงำประสาทสัมผัสของชาร์ล็อต
แม้จะอยู่ท่ามกลางสงคราม แต่การได้ใกล้ชิดกับโรเอลเช่นนี้ ก็ทำให้หัวใจของเด็กสาวเต้นระรัว อย่างไรก็ตามเธอก็รีบส่ายหน้าเพื่อตั้งสติให้จดจ่ออยู่กับการต่อสู้อีกครั้ง
การระเบิดครั้งใหญ่นี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องหยุดการต่อสู้ลงชั่วคราว เพื่อพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ชาร์ล็อตที่ตอนนี้อยู่ในอ้อมกอดของโรเอล ลืมตาขึ้นและสังเกตเห็นได้ว่าการไหลเวียนของพลังเวทมากมายในพื้นที่หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ในคราวเดียว
เมื่อตระหนักว่านี่เป็นโอกาสอันดีสำหรับตน ชาร์ล็อตจึงยกปืนขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เด็กสาวไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ใครอื่นนอกเสียจากเด็กชายผมดำที่กำลังโอบกอดเธออยู่
“ช…ชาร์ล็อต?”
“เชื่อในตัวข้า!”
แม้ว่าโรเอลจะตกใจในทีแรก แต่เมื่อได้ยินคำพูดของชาร์ล็อต เขาก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างลังเล ไกปืนถูกดึงออกมาจากนั้นแสงสีขาวเจิดจ้าก็แผ่ขยายอย่างรวดเร็วเบื้องหน้าเขา จนเติมเต็มขอบเขตการมองเห็นทั้งหมด
เมื่อแสงดับลงโรเอลก็ตระหนักได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เด็กชายมองไปรอบ ๆ ตัว ก่อนจะพบว่าเขาถูกรายล้อมไปด้วยเหล่าลูกเรือที่กำลังตกตะลึงและจ้องมองมาที่เขา
“น…นี่มันเด็กคนนี้ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เหรอ? จู่ ๆ เขามาปรากฏตัวที่นี่ได้ยังไงกัน?”
ก่อนที่พวกเขาจะเข้าใจถึงปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดนี้ เสียงของไกปืนก็ดังก้องกังวานมาจากระยะไกลอีกครั้ง ทันใดนั้นภาพเงาอันพร่ามัวก็ปรากฏขึ้นเหนือพวกเขา ซึ่งก็คือชาร์ล็อตนั่นเอง
เด็กสาวตกลงมาบนตัวโรเอลที่กำลังพยายามลุกขึ้นมา ทับเขาจนต้องกลับลงไปนอนอีกครั้ง
“โอ๊ย! แค่ก แค่ก!”
โชคดีที่รูปร่างบอบบางของชาร์ล็อตทำให้แรงกระแทกลดลง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง แต่โรเอลก็สามารถฟื้นตัวได้ด้วยการไอเพียงไม่กี่ครั้ง
ก่อนที่ทั้งสองจะฉลองความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพวกเขาได้ จู่ ๆ เหล่าลูกเรือก็พากันพุ่งเข้าหาทั้งสองในทันที จนเด็กทั้งสองต้องหวาดกลัวเล็กน้อย
“เดี๋ยวก่อน พวกเรา…”
“พวกเธอไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรทั้งนั้นแหละ พวกเราเข้าใจดี!”
???
หา? เข้าใจอะไรกัน?
เด็กชายที่ตอนนี้กำลังสับสน เขาได้เตรียมคำอธิบายเอาไว้ล่วงหน้าอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าเขาสามารถโน้มน้าวเหล่าลูกเรือได้ว่าพวกเขาเป็นพันธมิตร แต่สุดท้ายทั้งหมดนั้นก็ต้องสูญเปล่า
ปราศจากความลังเล เหล่าลูกเรือต่างพากันรวมตัวรอบ ๆ โรเอลและชาร์ล็อต พวกเขาหันร่าง ชี้อาวุธออกไปด้านนอกรอบทิศทาง พร้อมที่จะปัดเป่าศัตรูทุกตัวที่กล้าเข้าใกล้เด็ก ๆ ทั้งสอง
“เด็กน้อย เจ้าพอจะรู้วิธีควบคุมเรือหรือไม่?”
“หา?”
กัปตันเจฟฟ์เดินเข้ามาหาชาร์ล็อต ซึ่งกำลังถูกปกป้องอยู่ข้างหลังโรเอลด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้มแสดงความเป็นมิตรระหว่างที่เขาถามคำถามกับเธอ อย่างไรก็ตามชาร์ล็อตนั้นดูสับสนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในทางปฏิบัตินั่นก็พอจะเป็นคำตอบได้แล้วว่า ‘ไม่’ กัปตันวัยชราจึงรีบหันไปหาแพทย์ประจำทันที
“ทำยังไงก็ได้ ยื้อชีวิตของลอรีเอาไว้! อย่างน้อย ๆ ก็ซื้อเวลาให้มากพอที่เขาจะสอนวิธีการควบคุมตาข่ายไฟฟ้าให้กับเด็กสาวคนนี้!”
หลังจากนั้นเจฟฟ์ก็รีบอธิบายให้เด็กทั้งสองคนเข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินว่าพวกเขาตั้งใจจะระเบิดเรือทิ้งในคราแรก โรเอลก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ส่วนชาร์ล็อตก็รีบวิ่งไปที่รองกัปตันที่กำลังจะสิ้นใจ เริ่มเรียนรู้วิธีควบคุมเรือลำใหญ่นี้จากเขา
พวกคุณคิดจะสอนเธอถึงวิธีการควบคุมเรือแบบฉุกเฉินอย่างนี้จริง ๆ หรือ? ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย?
โรเอลยังคงมีปัญหาเกี่ยวกับการทำความเข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบัน แม้ว่าชาร์ล็อตจะเป็นอัจฉริยะ แต่เธอนั้นเป็นอัจฉริยะด้านธุรกิจ! ไม่ว่าเด็กสาวจะฉลาดแค่ไหน มันก็ไม่มีทางเลยที่เธอจะเข้าใจอะไรที่ซับซ้อนอย่างการบังคับควบคุมเรือลำนี้ได้ในทันทีทันใดโดยที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน!
เด็กชายถึงกับพูดไม่ออกกับสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่โรเอลก็ไม่มีเวลามาบ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ สงครามได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เสียงโห่ร้องของการต่อสู้ดังทั่วดาดฟ้า ทุก ๆ วินาที ไม่ลูกเรือก็สัตว์ประหลาดจากใต้ท้องทะเลจะต้องล้มตายลงไปกับพื้นเรือ
โรเอลเดาะลิ้นของเขาด้วยความรำคาญ ก่อนที่จะหยิบดาบขึ้นมาจากพื้นแล้วพุ่งกลับไปที่แนวหน้า
“กัปตันเจฟฟ์ การให้ชาร์ล็อตเปิดใช้งานตาข่ายไฟฟ้าเป็นหนทางเดียวที่เราจะเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์นี้ได้อย่างนั้นเหรอครับ? ผมไม่คิดว่าการฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเธอจะได้ผล! ไม่มีหนทางอื่นนอกจากนี้แล้วจริง ๆ เหรอครับ?”
“ก็พอจะมีวิธีอื่นอยู่หรอกนะเจ้าหนุ่ม แต่มันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว เว้นแต่จะมีใครสามารถไล่พวกมนุษย์เกล็ดเหล่านี้ทั้งหมดออกจากเรือได้ เพื่อที่เราจะได้ยึดส่วนหน้าของเรือกลับมา!”
เจฟฟ์ยกมือขึ้นเบี่ยงลูกธนูน้ำแรงดันสูงสองสามลูกที่ลอยมาทางเขา ชายแก่เองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าชาร์ล็อตจะประสบความสำเร็จ แต่ถ้าหากเทียบกับการพยายามกอบกู้ส่วนหน้าของเรือแล้ว พวกเขาฝากความหวังไว้กับเธอเสียยังจะดีกว่า
ประการแรก หากพวกเขามีกำลังพอที่จะขับไล่ศัตรูออกจากเรือได้ เอสเอส เซนต์พอลคงจะไม่ต้องตกอยู่ตรงนี้แน่ พวกเขาต่อสู้มาเป็นเวลานานแล้ว ทุกคนจึงไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะเอาชนะหรืออยู่ได้นานกว่าสัตว์ประหลาดทะเลพวกนี้อีกต่อไป
“เป็นไปไม่ได้แล้ว? ผมว่าคุณควรคิดใหม่อีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ”
โรเอลชักดาบในมือของเขาขึ้นมาพลางพึมพำกับตัวเอง แสงสีแดงเริ่มฉายแสงจากม่านตาสีทองของเด็กชายในขณะที่เขารวบรวมรีดเร้นพลังเวทที่เหลือออกมา พลังเวทสีแดงเข้มขดอยู่รอบตัวเขาราวกับงูหลามก่อนจะระเบิดออกไปโดยรอบ แปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีแดงเข้มคำรามดังสนั่นไปบนท้องฟ้า
ตูม!
เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องราวกับกลองสงครามอันเกรี้ยวกราดของนักรบนับไม่ถ้วน ดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที เจฟฟ์เบิกตากว้างด้วยความงุนงง ราวกับปาฏิหาริย์ครั้งที่สองได้ปรากฏต่อหน้าต่อตาพวกเขาในช่วงเวลาวิกฤตินี้
มันคือคาถาเวทเสริมพลังกองทัพ ความสามารถในตำนานที่ทุกอาณาจักรในทวีปเซียต่างโหยหา! ว่ากันว่าผู้ที่ครอบครองพวกมันคือผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์ให้กลายเป็นราชาในอนาคต!
เด็กชายผมดำที่ปกคลุมไปด้วยสายฟ้านั้นให้ความรู้สึกที่ร้อนแรงราวกับเป็นร่างจำแลงแห่งความโกรธเกรี้ยวจากสวรรค์ ดวงตาของเขายังคงเฉียบขาดและสุขุม และมีมงกุฎสายฟ้าสีแดงปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขา
เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ โรเอลคิดว่าตนได้เห็นร่างจำแลงขององค์ชายผู้มีความทะเยอทะยานในความทรงจำของเขายืนอยู่ข้าง ๆ อีกฝ่ายเอียงศีรษะให้กับเด็กชายเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มอันเย่อหยิ่งของผู้นำที่เป็นเอกลักษณ์
“ฮึ่ม ถึงจะตายไปแล้ว เขาก็ยังไม่หมดห่วงใช่ไหมเนี่ย?”
ริมฝีปากของโรเอลม้วนงอขึ้น ตอบสนองต่อภาพอันเลือนลางที่เขาเห็น
พลังอำนาจที่โรเอลแสดงออกมาได้กุมหัวใจของทุกคนที่อยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นเจฟฟ์ เหล่าลูกเรือ หรือสัตว์ประหลาดทะเล เมื่อเด็กชายยกดาบขึ้น ลมพายุและสายฟ้าก็เคลื่อนที่ไปตามคำสั่งของเขา แตกออกเป็นสายฟ้านับไม่ถ้วนที่ตกลงมาเหนือมนุษย์ทุกคน โอบกอดร่างของพวกเขาเอาไว้ในรูปแบบของรัศมีพลังเวทสีแดงเข้ม
เมื่อรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งในร่างกายของตนเอง เหล่าลูกเรือก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงคำรามออกมาด้วยขวัญกำลังใจที่เพิ่มสูงขึ้น
【เปิดใช้งาน คาถาเวท ‘เสียงคำรามแห่งอัสนีสีชาด’ 】
【คำนวณพลังเวทที่เหลืออยู่ของผู้ใช้】
【นับถอยหลัง 273, 272, 271…】
“ตามฉันมา! กวาดล้างพวกมันให้สิ้น!”
เสียงอันเฉียบคมน่าพึ่งพาดังสนั่นก้องอยู่ในหูของทุก ๆ คน ตั้งแต่เริ่มนับถอยหลังโรเอลก็พุ่งออกไปข้างหน้าขึ้นนำทัพในทันที โดยคนแรกที่ติดตามเขาไปก็คือเจฟฟ์ ซึ่งดูไม่ต่างอะไรไปจากปีศาจที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีพลังเวทสีแดงเข้ม
“ฆ่าพวกมันซะ!”
“นี่คือศึกสุดท้ายของพวกเรา!”
เพียงสองวินาทีสั้น ๆ ลูกเรือที่รอดตายทั้งหมดก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาเป็นอย่างไรและพุ่งตามออกไปข้างหน้าด้วยเช่นกัน
ภายใต้ผลกระทบของคาถาเวทเสริมกองทัพ ความสามารถในการโจมตีและการป้องกันของพวกเขาได้รับการยกระดับขึ้นไปมาก สำหรับพวกเขา นี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดอีกต่อไปแล้ว มันเป็นการต่อสู้เพื่อล้างแค้นด้วยเช่นกัน ความทรงจำของเหล่าเพื่อนฝูงและญาติที่ถูกสังหารกลายเป็นความโกรธแค้น ผลักดันพวกเขาด้วยแรงจูงใจที่ไม่เคยมีมาก่อน
อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นทั่วร่างกายของเจฟฟ์เริ่มหายเป็นปกติในอย่างรวดเร็วภายใต้ผลกระทบของพลังเวทสีแดง ขวานของเขาเหวี่ยงไปมาด้วยแรงโทสะจัดการศัตรูที่ขวางทางการโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ไม่นานนักเขาก็ไปถึงแนวหลังของเหล่าสัตว์ประหลาดทะเล ร่างของเหล่ามนุษย์เกล็ดทั้งหมดถูกสะบั้นหัวกระเด็นไปมาระหว่างทางจนหมดสิ้น ล้มลงไปที่ดาดฟ้าพร้อมกับเสียง ‘ตึก ตึก ตึก’
แต่เจฟฟ์ไม่ใช่เพียงคนเดียวที่อาละวาดที่นี่
ลูกเรือคนอื่น ๆ ก็พุ่งออกไปที่แนวหน้า ทะยานออกไปราวกับกระทิงที่กำลังอาละวาด จอมเวท และนักธนูที่อยู่ด้านหลังต่างระดมยิงใส่ศัตรูอย่างไม่ลดละด้วยกระสุนเวทมนตร์และลูกธนู
อย่างไรก็ตามคนที่โดดเด่นที่สุดไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโรเอล ร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยสายฟ้าสีแดงเข้ม ราวกับว่าเทพเจ้าได้จุติลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อนำผลกรรมจากสวรรค์มาสู่ทุกชีวิต
โรเอลมีพลังเวทที่สามารถเอาชนะเหล่าสัตว์ทะเลได้ ดังนั้นบรรดาพวกมนุษย์เกล็ดที่เข้าใกล้เขาจะถูกแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านในทันที
คาถาเวทเสริมกองทัพของเขาได้เปลี่ยนกระแสของสงครามในทันที ภายใต้การสนับสนุนของคาถาเสริมพลังอันทรงพลังนี้ เหล่าลูกเรือจึงสามารถยึดส่วนหน้าเรือกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ง่ายขึ้นมากสำหรับการรับมือเหล่ามนุษย์เกล็ดที่พุ่งเข้ามา
เพียงสองนาที ศัตรูเกือบทั้งหมดบนดาดฟ้าก็ถูกกำจัดลงในคราวเดียว โรเอลพร้อมด้วยเหล่าลูกเรือสามารถกู้คืนพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ถูกยึดครองกลับมาได้แล้ว ทำให้พวกเขามีพื้นที่มากขึ้นในการต่อสู่มากกว่าเมื่อก่อน
ขณะเดียวกัน รองกัปตันลอรีที่กำลังจะตายก็ได้จ้องมองไปยังชาร์ล็อตด้วยความอิจฉาในแววตาของเขา
ไม่คิดเลยว่าบนโลกนี้จะมีผู้มีพรสวรรค์ระดับนี้อยู่ด้วย ไม่สิ ต้องเป็นอัจฉริยะในตระกูลของพวกเราเท่านั้นที่จะมีความสามารถระดับนี้ได้!
ลอรีมีรอยยิ้มที่ผ่อนคลายลงแต่ยังคงความขมขื่นบนใบหน้า
เรือของกองเรือทองคำมีสื่อกลางคาถาเวทที่มักถูกอธิบายว่าเป็น ‘เลือดของเรือ’ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ จิตวิญญาณแห่งทองคำ อยู่ เช่นเดียวกับอุปกรณ์เวทที่ทรงพลัง มันสามารถเลือกผู้ใช้งานของตัวเองได้ จิตวิญญาณแห่งทองคำมีเจตจำนงเป็นของตัวเอง เป็นเหตุผลให้มีเพียงแค่ผู้ที่มีสายเลือดของตระกูลโซเฟียเท่านั้นที่สามารถควบคุมมันได้
อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่ จิตวิญญาณแห่งทองคำ ยอมรับใครมากขนาดนี้มาก่อน ด้วยความพึงพอใจที่มันมีต่อชาร์ล็อต เรือลำนี้พร้อมที่จะเคลื่อนไหวด้วยตัวของมันเองเพื่อปกป้องเธอ!
อันที่จริงแล้ว ชาร์ล็อตไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อะไรเลยก็ได้ เด็กสาวนั้นเป็นดั่งผู้ปกครองของกองเรือทองคำโดยกำเนิด คำสั่งของเธอจะถูกดำเนินการโดยเรือทองคำในทันที!
“ผมไม่เคยคิดเลยว่าคนอื่นนอกจากฝ่าบาทจะสามารถเข้าถึงพลังของมันในระดับนี้… หนูน้อย สิ่งที่เธอต้องทำมีเพียงแค่ฟังเสียงหัวใจของตัวเอง ขอให้เทพีเซียอวยพร”
ลอรีทิ้งคำพูดเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง อย่างไรก็ตามสีหน้าของเขาไม่ได้แสดงถึงความสิ้นหวัง แต่เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยพึงพอใจ
“หลับให้สบายนะ รองกัปตัน”
ชาร์ล็อตโค้งคำนับพร้อมพึมพำอำลาสหายที่เป็นสมาชิกครอบครัวของเธออย่างเงียบ ๆ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเด็กสาวก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร
“เอสเอส เซนต์พอล ใช้ตาข่ายไฟฟ้าความถี่สูง”
ภายใต้คำสั่งอันเคร่งขรึมของชาร์ล็อต เรือเอสเอส เซนต์พอล ได้ปล่อยตาข่ายไฟฟ้าสีทองที่ห่อหุ้มภายนอกของเรืออย่างรวดเร็ว เพียงชั่วอึดใจของมนุษย์เกล็ดเกือบพันตัวที่เกาะอยู่บนเรือก็ถูกเผาจนไหม้เกรียมจมดิ่งลงสู่ห้วงทะเลลึก พร้อมเสียงร้องของเหล่าสัตว์ประหลาดที่ดังก้องมาจากด้านล่าง
“มันสำเร็จแล้ว! รองกัปตันทำสำเร็จ!”
“เทพีเซียโปรดอวยพร เทพีเซียโปรดอวยพร!”
การสั่นสะเทือนอันแสนคุ้นเคยบนเรือแจ้งให้ลูกเรือทุกคนได้ทราบว่า การสร้างตาข่ายไฟฟ้าขึ้นมาใหม่ประสบความสำเร็จแล้ว เสียงแห่งความยินดีดังขึ้นในอากาศ ขณะเดียวกันโรเอลก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน
เด็กชายควบคุมสายฟ้าสีแดงเข้มที่กระจัดกระจายกันไปก่อนหน้านี้ โดยเหลือเวลาเพียงหนึ่งนาทีบนตัวจับเวลาของคาถาเวท ‘เสียงคำรามแห่งอัสนีสีชาด’
เพื่อความปลอดภัย ทั้งโรเอลและชาร์ล็อต ต่างมุ่งมั่นในภารกิจของตนเองเพื่อช่วยเหลือเรือลำนี้ ซึ่งผลลัพธ์ก็ไม่ทำให้ทั้งคู่ต้องผิดหวัง เหตุการณ์นี้ได้จุดประกายขวัญกำลังใจของเหล่าลูกเรือขึ้นมาอีกครั้ง
ทว่าตอนนั้นเอง คำประกาศก็ดังขึ้นมา ประกาศไปยังเหล่าเรือภายในกองเรือทองคำทั้งหมด
“เรือธงจบรายงาน เป้าหมาย 112 จุดเคลื่อนที่ 20 กำลังจะทิ้งระเบิดในอีก 60 วินาที”
โรเอลรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับคำประกาศ แต่เหล่าลูกเรือกลับตื่นเต้นขึ้นเมื่อได้ยินมัน
“เป้าหมายที่ 112 มันคือสัตว์ทะเลตัวนั้น!”
“ถึงเวลาตัดสินผลของการต่อสู้แล้วสินะ”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเหล่าลูกเรือ โรเอลก็หันไปมองที่ใจกลางกองเรือที่ซึ่งสัตว์ทะเลขนาดมหึมากำลังดิ้นทุรนทุรายอย่างโกรธเกรี้ยวหลังจากโดนตัดหนวดออกไป ก่อนที่โรเอลจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน เรือที่เขาอยู่ได้เริ่มปรับตำแหน่งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทิ้งระเบิด
เดี๋ยวนะ เรามีส่วนร่วมในการทิ้งระเบิดด้วยงั้นเหรอ? ชาร์ล็อตเรียนรู้วิธีการควบคุมได้ถึงขนาดนั้นในช่วงเวลาไม่กี่นาทีจริง ๆ เหรอเนี่ย?
เหล่าลูกเรือเองก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
เรือที่แล่นไปอย่างรวดเร็วทำให้เกิดแรงดันอันทรงพลัง บังคับให้ทุกคนบนเรือต้องรีบคว้าอะไรบางอย่างยึดตัวเอาไว้ ไม่งั้นจะกระเด็นหลุดโผออกไป เจฟฟ์ดึงโรเอลเข้ามาที่ด้านข้างของเขาและตะโกนด้วยเสียงดังกึกก้อง
“จับแน่น ๆ ล่ะเจ้าหนู! เทศกาลดอกไม้ไฟกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!”
“ดอกไม้ไฟ?”
โรเอลกะพริบตาด้วยคำที่ไม่คุ้นเคย พยายามจะเข้าใจสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ทว่าเจฟฟ์ก็ยังคงยิ้มต่อไปโดยไม่อธิบายอะไร พร้อมกับการนับถอยหลังบนระบบสื่อสาร
“นับถอยหลังสู่การทิ้งระเบิด 3, 2, 1… ยิงได้!”
ในตอนท้ายของการนับถอยหลัง พลังเวททำลายล้างจำนวนมหาศาลได้หลั่งไหลเข้าไปในปืนใหญ่ขนาดมหึมาที่ติดตั้งอยู่ที่หัวเรือ โรเอลรู้สึกได้ถึงพลังเวทที่กำลังสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่งใต้ฝ่าเท้าของเขา ราวกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกราด จากนั้นลำแสงอันน่าสะพรึงกลัวก็ถูกเปล่งออกมาพุ่งไปยังเส้นขอบฟ้า
ตูม!
ราวกับว่าทะเลทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นสีทอง สัตว์ประหลาดทะเลที่แลดูจะไร้เทียมทานในสายตาของโรเอล ได้ถูกลำแสงพลังเวทเข้มข้นที่ยิงมาจากเรือหลายสิบลำกลืนลงไป มันส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาก่อนจะระเหยกลายเป็นไอไปพร้อมกับทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณใกล้เคียง
เท่านี้สัตว์ทะเลในตำนานที่ข่มขู่ลูกเรือนับไม่ถ้วนมาตลอดก็ถูกกำจัดหายไปจากโลก ภาพอันน่าประหลาดใจนี้ ทำให้จิตวิญญาณของโรเอลสั่นคลอนไปครู่หนึ่ง
“นี่น่ะเหรอพลัง… ของกองเรือทองคำ”
โรเอลพึมพำอย่างตกตะลึง ก่อนจะเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับฝูงชนที่กำลังเฉลิมฉลองชัยชนะของพวกเขาอย่างมีความสุข