บทที่ 161: ทำให้พี่สาวใจอ่อน
“วินสเตอร์? เขาส่งเจ้ามาที่นี่งั้นเหรอ?”
ด้านนอกห้องควบคุมของเอสเอส เซนต์พอล อิซาเบลลากำลังประเมินเด็กชายผมดำผู้มีนัยน์ตาสีทอง ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
เกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน? มันเป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิดงั้นเหรอ? เด็กสองคนนี้อยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเราจริง ๆ รึ? เดี๋ยวก่อนนะ มีบางอย่างผิดปกติ!
“เท่าที่ข้ารู้ วินสเตอร์ไม่มีน้องชาย นอกจากนี้หากเจ้ามาจากตระกูลแอสคาร์ด จริง ๆ ก็ยิ่งไม่มีเหตุผลที่เจ้าจะมาอยู่ที่นี่ ข้าได้ส่งจดหมายไปถึงวินสเตอร์แล้วว่าไม่จำเป็นต้องส่งใครมา”
“ฝ่าบาท ท่านกำลังพูดถึงจดหมายที่บอกว่ากำลังจะมาถึงท่าเรือทูฮอร์น ในช่วงกลางเดือนเมษายนใช่รึเปล่าขอรับ?”
“หืม? เจ้าได้อ่านจดหมายนั่นด้วยงั้นเหรอ?”
“แน่นอนขอรับ เพื่อที่จะมาช่วยเหลือฝ่าบาท กระหม่อมจำเป็นที่จะต้องรวบรวมข้อมูลให้มากที่สุด ซึ่งทางท่านผู้นำตระกูลก็ได้แสดงจดหมายให้กระหม่อมดูด้วยขอรับ”
ภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของอิซาเบลลา โรเอลได้ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตนอย่างใจเย็นแล้วหยิบซองจดหมายที่ประทับตราสีทองออกมา
“ฝ่าบาท นี่เป็นหลักฐานที่พี่ชายของกระหม่อมให้มาขณะส่งผมมาที่นี่ เนื่องจากความบิดเบี้ยวทางมิติและเวลาที่เกิดจากการเคลื่อนย้ายมวลสารของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ จดหมายจึงอยู่ในสภาพเปราะบาง โปรดตรวจดูด้วยความระมัดระวังขอรับ”
โรเอลยื่นซองจดหมายให้อิซาเบลลาด้วยมือทั้งสองข้าง มองไปทางจักรพรรดินีพร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่น ราวกับว่าเขารู้ถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของเธอกับ “พี่ชาย” ดี อิซาเบลลาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับซองจดหมายมาดู
ทำไมหมอนี่ถึงได้เก่งเรื่องการหลอกลวงคนอื่นถึงขนาดนี้กัน?
ด้านหลังโรเอล ชาร์ล็อตพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะควบคุมการแสดงออกทางสีหน้าของเธอเอาไว้ เด็กสาวพูดอะไรไม่ออกกับคำโกหกที่โรเอลพ่นออกมา ความสามารถของเขาในการรวบรวมคำโกหกทั้งหมดเข้าด้วยกันจนน่าเชื่อถือนั้น คู่ควรแก่การชื่นชมโดยแท้จริง
เจ้านี่มัน… ต้องขอขอบคุณเทพีเซียจริง ๆ ที่ช่วยให้ข้าป้องกันตัวตั้งแต่แรกที่แรกพบเจ้า ไม่อย่างนั้นบางทีข้าเองก็คงจะถูกเจ้าหลอกไปด้วยแล้ว!
ระหว่างที่ชาร์ล็อตบ่นพึมพำในใจด้วยความโล่งอก อิซาเบลลาก็ตรวจดูซองจดหมายอันคุ้นเคย มันเป็นจดหมายที่เธอเขียนขึ้นเองไม่ผิดแน่ ทว่าหญิงสาวก็สังเกตเห็นร่องรอยอายุที่มากกว่าปกติอย่างชัดเจนของกระดาษ ส่งผลให้ภายนอกของมันค่อนข้างเปราะ กระดาษบาร์กเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความคงทนและความยืดหยุ่น คงต้องใช้เวลาหลายศตวรรษกว่าจะทำให้มันอยู่ในสภาพเช่นนั้นได้
“… ข้าไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าอะไรแบบนี้จะเป็นไปได้ ‘นักวิชาการ’ เป็นคนส่งเจ้ามาที่นี่งั้นเหรอ?”
ความสงสัยส่วนใหญ่ในใจอิซาเบลลาจางหายไปด้วยหลักฐาน แต่เธอก็ยังไม่ได้ลดการป้องกันลงโดยสมบูรณ์ เมื่อเผชิญกับคำถามนี้ โรเอลก็ใช้เวลาคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว
“ขออภัยด้วยฝ่าบาท แม้ว่ากระหม่อมจะรู้ว่าคนที่ส่งพวกเรามาเป็นสมาชิกของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ แต่กระหม่อมก็ไม่ได้เห็นใบหน้าหรือทราบตัวตนของเขา เพราะผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่ประชุม เพียงแต่เคยได้ยินพี่ชายถึงเรื่องนี้”
“แล้วเขามีลักษณะเป็นอย่างไร?”
“… กระหม่อมก็ไม่ทราบเช่นกัน ทั้งหมดที่เห็นมีเพียงร่างอันพร่ามัว”
เมื่อต้องเผชิญกับคำถามอย่างต่อเนื่องของอิซาเบลลา โรเอลจึงทำได้เพียงแค่ตอบพร้อมคิ้วที่ขมวดลงเล็กน้อย น่าแปลกที่ความไม่รู้ของเด็กชายไม่ได้จุดประกายความสงสัยเพิ่มเติมจากอิซาเบลลาแต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันกลับทำให้เธอวางใจในตัวเขามากขึ้น
สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ เป็นองค์กรที่ก่อตั้งโดยผู้มีพลังเหนือธรรมชาติของมวลมนุษยชาติจากทั่วทั้งทวีปเซียที่มารวมตัวกันเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน สมาชิกประกอบไปด้วยบุคคลผู้มีความสามารถโดดเด่นในด้านต่าง ๆ รวมถึงผู้มีอำนาจ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สมาชิกบางคนของสมัชชาจะมีความขัดแย้งต่อกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ความขุ่นเคืองเข้ามารบกวนงานของพวกเขา จึงไม่ได้มีการเปิดเผยตัวตนของสมาชิกต่อกันและกัน อีกทั้งพวกเขายังได้เปลี่ยนเสียงของตนเองในระหว่างการสื่อสารอีกด้วย
‘นักวิชาการ’ เป็นหนึ่งในสมาชิกระดับสูงของสมัชชา เขามีความสามารถทางพลังเหนือธรรมชาติอันทรงพลัง เป็นที่รู้จักโดยเหล่าสมาชิกว่าเป็นคนรอบคอบและเข้าใจได้ยาก หากโรเอลพยายามอธิบายรูปลักษณ์ของเขาออกมาล่ะก็ อิซาเบลลาคงจะกำจัดเขาในทันที
หลังจากที่ได้ขจัดความสงสัยในตัวโรเอลออกไปแล้ว อิซาเบลลาก็หันไปมองชาร์ล็อต ซึ่งดูคล้ายกับเธอในแง่ของสีผม หัวใจของโรเอลเต้นไม่เป็นจังหวะ ด้วยความกังวลว่าชาร์ล็อตจะถูกจับได้ ทว่าเด็กสาวก็ต้องทำให้เขาประหลาดใจ… เพราะชาร์ล็อตนั้นเป็นนักแสดงที่มีฝีมือยิ่งกว่าเขาเสียอีก
ทันทีที่ชาร์ล็อตสบตากับอิซาเบลลา น้ำตาของเด็กสาวก็เริ่มพรั่งพรูออกมา ร่างกายของเธอสั่นเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเปิดฝ่ามือออกเผยให้เห็นคลังกระสุนอัญมณีที่เปล่งประกายอยู่ในมือ
“นี่คือหลักฐานประจำตัวของดิฉันค่ะ ฝ่าบาทอิซาเบลลา ได้โปรดเมตตาด้วย พวกเราสืบเชื้อสายมาจากเชื้อสายเดียวกัน ได้โปรดช่วยกอบกู้ตระกูลโซโรฟยาของพวกเราด้วยเถอะค่ะ!”
“หา? อะ…อะไรนะ?”
น้ำตาที่ไหลนองใบหน้างามนั้นสร้างความน่าสงสารต่อผู้ที่พบเห็น และข้อมูลที่มาพร้อมกันมากเกินไป ทำให้อิซาเบลลาต้องงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง พยายามแยกแยะข้อมูลที่เพิ่งได้รับ ขณะเดียวกันชาร์ล็อตก็เริ่มเล่าเรื่องราวอันน่าเศร้าของตนด้วยเสียงสั่นเครือ
200 ปีที่แล้ว ในตอนที่ตระกูลโซเฟียแยกตัวออกมาจากกองทัพผู้อพยพ เพื่อมุ่งหน้าไปทางใต้ มีสมาชิกกลุ่มที่อ่อนแอกว่าบางส่วนที่ไม่สามารถตามพวกเขาได้ทัน จบลงด้วยการถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ท้ายที่สุดคนกลุ่มนี้ก็ถูกจับได้โดยกองทัพผู้อพยพและถูกบังคับให้เข้าร่วมกับจักรวรรดิออสทีนที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ภายใต้อำนาจของตระกูลมิลตัน
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่สืบสายเลือดของไฮเอลฟ์ มีพรสวรรค์ทางด้านธุรกิจโดยธรรมชาติ ทำให้เมื่อตระกูลมิลตันทราบข้อเท็จจริงนี้ พวกเขาจึงบังคับให้สมาชิกของกลุ่มที่ถูกจับได้ต้องทำงานให้กับพวกเขา อย่างไรก็ตามเนื่องจากตระกูลโซเฟียถูกตราหน้าว่าเป็น “ผู้ทรยศ” พวกเขาจึงถูกเลือกปฏิบัติและต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก
ตลอด 200 ปีที่ผ่านมา สมาชิกกลุ่มเหล่านั้น ซึ่งต่อมากลายเป็นที่รู้จักในนามตระกูลโซโรฟยาได้สูญเสียคาถาเวทและมรดกของพวกเขาไป ทำให้พวกเขาไม่สามารถต่อต้านผู้ที่กำลังกดขี่พวกเขาได้ บรูซ ผู้นำสูงสุดของตระกูลโซโรฟยา ต้องการจะปลดปล่อยพวกเขาออกจากชะตากรรมนี้ โชคดีที่เขาบังเอิญได้ยินเกี่ยวกับอาณาจักรโซเฟียมาจากตระกูลแอสคาร์ด ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ชาร์ล็อต บุตรสาวของตนนำคลังกระสุนอัญมณี ซึ่งเป็นสมบัติประจำตระกูลติดตัวมาด้วยเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันความสัมพันธ์ทางเชื้อสายของพวกเขา ในการขอความช่วยเหลือจากราชวงศ์โซเฟีย
จังหวะนั้นเองที่ชาร์ล็อตบังเอิญได้พบเข้ากับสมาชิกคนหนึ่งของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ ที่กำลังยุ่งอยู่กับการหาตัวใครบางคนที่ครอบครองสายเลือดไฮเอลฟ์เพื่อภารกิจนี้ ซึ่งเด็กสาวก็ได้อาสาตัวจะทำหน้าที่นั้นโดยไม่ลังเล เป็นเหตุให้เธอถูกส่งมาที่นี่พร้อมกับโรเอล เกิดเป็นสถานการณ์ในปัจจุบัน
ชาร์ล็อตถ่ายทอดเรื่องราวของเธอด้วยอารมณ์ร่วมอันทรงพลัง ทำให้เธอได้รับความปรารถนาดีและความเห็นอกเห็นใจจากฝูงชนอย่างรวดเร็ว แม้แต่โรเอลก็อาจจะเชื่อเรื่องราวอันน่าเศร้าของชาร์ล็อต หากเขาไม่รู้เบื้องหลังที่แท้จริงของเธอมากก่อน!
ยัยนี่หลอกลวงคนเก่งขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?
ไม่น่าเชื่อว่ามันคือความคิดแบบเดียวกับที่อยู่ในใจของชาร์ล็อตเมื่อ 5 นาทีก่อน ได้ผุดขึ้นในจิตใจของโรเอลด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าจะในกรณีใด เรื่องราวที่สรรสร้างขึ้นมาโดยทั้งสองก็สามารถเอาชนะใจอิซาเบลลาได้สำเร็จ
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า สมาชิกตระกูลที่พรากจากกันไปในตอนนั้นจะยังเหลือรอดอยู่…”
อิซาเบลลาตั้งข้อสังเกตอย่างลึกซึ้ง ขณะนึกถึงบันทึกที่บรรพบุรุษของเธอได้ทิ้งเอาไว้
ไม่ใช่ว่าหญิงสาวเป็นคนใจง่ายแต่อย่างใด เพียงแต่ในอดีตนั้นมีผู้คนมากมายที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง หรือหายตัวไประหว่างการเดินขบวนอันยากลำบากไปทางใต้ที่นำโดยตระกูลโซเฟีย แค่เรื่องของแรงกายก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว ไหนจะมีเรื่องภูมิประเทศและสภาพอากาศอันเลวร้ายมากมายอีก พวกเขาไม่สามารถที่จะหยุดรอคนป่วยหรือคนที่อ่อนแอกว่าได้ ดังนั้นเมื่อพวกเขามาถึงชายฝั่ง จำนวนของพวกเขาจึงลดลงเหลือน้อยกว่าหนึ่งในสาม
บางทีผู้คนอีกสองในสามที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง อาจจะยังคงมีเหลือรอดมาบ้าง แต่ก็มีข้อสงสัยสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ในใจของอิซาเบลลา
“แล้วเจ้าควบคุมเรือได้อย่างไรกัน?”
“รองกัปตันลอรีสอนดิฉันถึงวิธีการควบคุมมันจวบจนวาระสุดท้ายของเขาค่ะ ดิฉันเรียนรู้มันระหว่างการต่อสู้…”
“อะไรนะ?”
นี่ทำให้อิซาเบลล่าถึงกับต้องตกตะลึง
กัปตันเจฟฟ์และลูกเรือคนอื่น ๆ ของเอสเอส เซนต์พอล ซึ่งมารวมตัวกันเพื่อฟังการสนทนาของพวกเขา ต่างก็ได้ก้าวออกมาข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อรับรองสิ่งที่ชาร์ล็อตพูด
“ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นพยานในเรื่องนี้ได้”
“กระหม่อมด้วยขอรับ! กระหม่อมเฝ้าดูพวกเขาตั้งแต่ต้นจนจบ”
“กระหม่อมก็เป็นพยานได้เหมือนกันขอรับ!”
ความปรารถนาดีของโรเอลและชาร์ล็อตที่ได้เข้าช่วยพวกเขาจากสถานการณ์อันสิ้นหวังนั้นไม่ได้สูญเปล่า ลูกเรือทุกคนที่เหลือรอดต่างก้าวไปข้างหน้าอย่างกระตือรือร้นเพื่ออธิบายสิ่งต่าง ๆ ด้วยนามของพวกเขาเป็นประกัน
อิซาเบลลาครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะส่งเหรียญให้กับชาร์ล็อต
“นี่เป็นเครื่องมือประเมินผลที่ตระกูลของพวกเรา ใช้เพื่อตรวจสอบพลังทางสายเลือด ข้าจำเป็นจะต้องตรวจสอบความถูกต้องในเรื่องที่เจ้าพูดออกมาก่อนหน้านี้”
อิซาเบลลากล่าวอย่างจริงจัง
ชาร์ล็อตลังเลเล็กน้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอเองก็ถือเป็นทายาทของตระกูลโซเฟีย แต่ด้วยเวลาหลายศตวรรษที่แตกต่างกันระหว่างพวกเขา เด็กสาวจึงไม่แน่ใจว่าเครื่องมือประเมินผลจะตรวจจับสายเลือดของเธอได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามเมื่อรู้ว่าตนเองไม่มีทางหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ได้ ในที่สุดเธอก็เอื้อมมือออกไปจับเหรียญทองที่อิซาเบลลามอบให้เธอ
ทันใดนั้นแสงสว่างจ้าก็เปล่งออกมาผ่านรอยแยกที่มือของชาร์ล็อต ทำให้ทุกคนในบริเวณใกล้เคียงต้องเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“เป็นพลังสายเลือดที่ทรงพลังอะไรเช่นนี้!”
“โอ้ เทพีเซียผู้ยิ่งใหญ่!”
แสงสว่างจ้าส่องใบหน้าของทุกคนในบริเวณใกล้เคียง รวมถึงอิซาเบลลาด้วยเช่นกัน ในที่สุดเธอก็เข้าใจได้ว่าทำไมชาร์ล็อตถึงสามารถเรียนรู้วิธีควบคุมเรือได้อย่างรวดเร็ว
“เจ้าสามารถสั่งการ จิตวิญญาณแห่งทองคำ ได้โดยตรงเลยงั้นเหรอ?”
“ถ้าท่านหมายถึงแสงสีทองภายในเรือ ใช่แล้วค่ะ ดิฉันสามารถสั่งการมันได้”
คำพูดของชาร์ล็อตทำให้อิซาเบลลาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ความตื่นเต้นจะพุ่งเข้าใส่หัวใจของเธอ
ความจริงที่ว่า ชาร์ล็อต สามารถเรียนรู้วิธีการควบคุม จิตวิญญาณแห่งทองคำ ได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที หมายความว่าความสามารถของเธอเทียบเท่ากับอิซาเบลลา หรืออาจจะเหนือกว่าเธอด้วยซ้ำ หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าชาร์ล็อตนั้นยังไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมราชวงศ์โซเฟียเลยด้วยซ้ำ บางทีถ้าพวกเขาได้ทุ่มเทความพยายามและทรัพยากรในการเลี้ยงดูชาร์ล็อตล่ะก็…
“เด็กน้อย ข้าเข้าใจชะตากรรมของตระกูลของเจ้าแล้ว ตามข้ามาที่เรือธงด้วยกัน เพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้เถอะ”
อิซาเบลลาลูบหัวชาร์ล็อต ขณะที่ใจของเธอรู้สึกปวดร้าวเล็กน้อย เมื่อจินตนาการถึงความยากลำบากที่ชาร์ล็อตและครอบครัวต้องเผชิญ หญิงสาวเผยรอยยิ้มอันอบอุ่นชวนให้นึกถึงพี่สาว ก่อนจะเชื้อเชิญพวกเขาทั้งสองไปยังเรือธง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ โรเอลก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เยี่ยม!
…
ครึ่งชั่วโมงต่อมาบนเรือเรือธงของกองเรือทองคำ เอสเอส เซนต์แมรี่ โรเอลกำลังยืนนิ่งด้วยความตกตะลึงสุดขีด ท่ามกลางห้องพักกัปตันอันหรูหรา หากไม่ใช่เพราะพื้นโยกเยกด้านล่างเขา เด็กชายคงคิดว่าตนเองอยู่ภายในพระราชวังของอาณาจักรโซเฟีย
แม้จะอยู่บนเรือ แต่งานศิลปะอันวิจิตรงดงามมากมายก็มีให้เห็นทุกหนทุกแห่ง มีกล่องเหรียญทองวางอยู่ตรงมุมห้องเหมือนเงินสำรอง อัญมณีหลากสีถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะตามสีของมัน
ดูเหมือนว่าตระกูลโซโรฟยาในอดีตเองก็มีความมั่งคั่งจนน่าสะพรึงกลัว แม้จะเป็นเวลาเมื่อ 800 ปีก่อนก็ตามที
“พวกเจ้าทั้งสองคนหมั้นกันอยู่งั้นเหรอ?”
“ใช่แล้วค่ะ บิดาของดิฉันเชื่อว่ากำลังทหารของตระกูลแอสคาร์ดเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาของพวกเรา ดังนั้นพวกเราสองคนจึงถูกผูกพันไว้ด้วยสัญญาการหมั้นหมาย”
“เข้าใจแล้ว… คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะมีการหมั้นหมายอีกคู่ในเชื้อสายของพวกเราทั้งสอง… อา วินสเตอร์เคยบอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้รึเปล่า? ข้าเองก็กำลังหมั้นอยู่กับเขาเช่นกัน”
(แต้มความสนใจ +500)
อิซาเบลลามองไปยังเด็กทั้งสองตรงหน้า พลางรู้สึกทึ่งไปกับความบังเอิญอันลึกลับของโชคชะตา ขณะเดียวกัน เด็ก ๆ ทั้งสองคงก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้ยินข่าวอันน่าประหลาดใจนี้
???
วินสเตอร์และอิซาเบลลาเป็นคู่หมั้นกันงั้นเหรอ? นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?
เมื่อเห็นว่าโรเอลและชาร์ล็อตตกใจกันมาก อิซาเบลลาก็เริ่มหน้าแดงด้วยความเขินอาย
“อืม มันเป็นเพียงคำสัญญาทางวาจาของวินสเตอร์ ในขณะนี้พวกเรายังไม่มีเอกสารใด ๆ ที่จะทำให้มันเป็นทางการ ต้องบอกว่ามันค่อนข้างน่าแปลกใจเลยทีเดียว ที่คนสองคนที่มีสายเลือดเดียวกันกับพวกเราเองก็หมั้นกันอยู่ด้วย…”
ทันใดนั้นอิซาเบลลาก็ถอนใจออกมาเบา ๆ เมื่อมาถึงจุดนี้ หญิงสาวได้ตระหนักว่าเธอจะไม่สามารถทำท่าทางเย็นชาต่อหน้าเด็ก ๆ ทั้งสองคนนี้ได้อีกต่อไป หนึ่งในนั้นคือคนในวงศ์ตระกูลเดียวกันที่มีศักยภาพสูงและควรได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสม ส่วนอีกคนก็เป็นถึงน้องชายของคนรักของเธอ
ด้วยความผูกพันอันลึกซึ้งระหว่างอิซาเบลลากับเด็ก ๆ ทั้งสอง เธอจึงเริ่มใจดีกับพวกเขาโดยไม่รู้ตัว
… แม้ว่าเหตุผลหลัก ๆ เบื้องหลังการเปิดใจของอิซาเบลลาที่มีต่อพวกเขา เป็นเพราะเด็กสองคนนี้กำลังหมั้นหมายกันอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง ความบังเอิญอันแปลกประหลาดนี้ทำให้อิซาเบลลารู้สึกว่ามีโชคชะตาอันลึกซึ้งอยู่เบื้องหลังการเผชิญหน้าในครั้งนี้ ไฮเอลฟ์และทายาทของพวกเขาต่างก็ศรัทธาในโชคชะตามาโดยตลอด ซึ่งเธอเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน
“พี่สาวอิซาเบลลา ผมมักจะได้ยินพี่ชายพูดถึงพี่อยู่บ่อย ๆ…”
เมื่อตระหนักได้ถึงจุดอ่อนของอิซาเบลลา โรเอลจึงเริ่มใช้โอกาสนี้เก็บเกี่ยวแต้มความสนใจ โดยใช้คำเรียกที่สนิทสนมดั่งครอบครัวอย่าง ‘พี่สาว’ เสียงเรียกอันไพเราะของเขาทำให้หัวใจของอิซาเบลลาละลายลง จนเหนือศีรษะของเธอเริ่มเปล่งแสงสีเขียวออกมา
แน่นอนว่ามีหรือที่นักธุรกิจหญิงผู้มีไหวพริบอย่างชาร์ล็อตจะไม่ฉวยโอกาสนี้ด้วย เธอรีบกระโดดตามโรเอลไป เด็กสาวใช้เวลาไม่นานนักในการหว่านล้อม จนกลายเป็น ‘น้องสาวคนสนิท’ ของอิซาเบลลาได้สำเร็จ
หลังจากที่ทั้งสามคนใกล้ชิดกันมากขึ้นแล้ว น้ำเสียงที่อิซาเบลลาใช้กับพวกเขาก็กลายเป็นอะไรที่ฟังดูสบาย ๆ กว่าเมื่อก่อนมาก
“โรเอล ชาร์ล็อต ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับมอบหมายคืออะไรงั้นเหรอ?”
“พวกเรามาเพื่อช่วยสนับสนุนพี่สาวในการเดินทางไปยังท่าเรือทูฮอร์น ตามคำทำนายของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ มีโอกาสสูงที่พี่สาวจะต้องประสบกับปัญหาระหว่างทาง เนื่องจากระยะทางที่ไกล พวกเขาจึงไม่สามารถส่งผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงมาได้ ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งพวกเรามาแทน”
“เข้าใจแล้ว”
อิซาเบลลาพยักหน้าตอบสนองต่อคำพูดของโรเอล ก่อนที่แววตาอันหมดหนทางจะเข้าปกคลุมใบหน้าของเธอ หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาก่อนจะพูดด้วยความหงุดหงิด
“ข้าคิดไว้แล้วว่าการส่งมอบ หกภัยพิบัติ ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างราบรื่นแน่ ๆ”