บทที่ 166: การเกลี้ยกล่อมของอิซาเบลลา
ภายในห้องรับรองบนเรือ ร่างของชาร์ล็อตแข็งทื่อไปในทันทีด้วยคำพูดของอิซาเบลลา
“พี่สาวอิซาเบลลา เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะคะ?”
“หืม? เจ้าไม่ได้ยินเหรอ? ยุ่งยากชะมัด ตอนนี้ไม่มีเวลามาอธิบายแล้ว”
อิซาเบลลามองโรเอลที่กำลังหมดสติด้วยคิ้วที่ขมวดลง ก่อนจะผลักชาร์ล็อตไปทางที่เขานอนอย่างเด็ดขาด พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะรักษาใบหน้าอันนิ่งเฉยเอาไว้ เธอชี้ไปที่ริมฝีปากของโรเอลและพูดคำสั่งอันชัดเจนออกมาอีกครั้ง
“จูบเขาเดี๋ยวนี้!”
“หา? ไม่สิ ดิฉันหมายถึงว่า ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะคะ…”
ชาร์ล็อตเหลือบมองไปทางโรเอลที่นอนหมดสติในขณะที่หน้าของเธอแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย ภายในใจของเธอเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม พลางมองไปที่ ‘พี่สาว’ ด้านหลังเธอด้วยสีหน้าอันงุนงง
เมื่อเห็นว่าชาร์ล็อตไร้เดียงสาเพียงใด อิซาเบลลาก็ถอนหายใจอย่างกังวล ชาร์ล็อตเป็นบุคคลที่โดดเด่นมากอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ที่สวยงาม หรือจิตใจอันอ่อนโยนและใจดีของเธอ รวมถึงพรสวรรค์ความสามารถอันน่าทึ่ง แม้แต่อิซาเบลลาก็ไม่กล้าพูดว่าตนเองเหนือกว่าชาร์ล็อต
อย่างไรก็ตามข้อบกพร่องข้อเดียวเกี่ยวกับเด็กสาวคนนี้ก็คือความไร้เดียงสาของเธอ ในเรื่องความสัมพันธ์ เธอไร้เดียงสา อีกทั้งยังเขินอายง่ายเกินไปด้วย
อิซาเบลลารุ่นเก๋าอดไม่ได้ที่จะระลึกถึงประสบการณ์ความรักของตนเอง ย้อนกลับไปในตอนที่เธอยังเด็ก และออกเดินทางผจญภัยไปรอบ ๆ โลก เธอได้พบกับวินสเตอร์เป็นครั้งแรกในซากปรักหักพังโบราณ ทั้งสองมีความขัดแย้งเล็กน้อย ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นการต่อสู้ ตอนนั้นอิซาเบลลายังค่อนข้างใจร้อน ดังนั้นหญิงสาวจึงชกวินสเตอร์อย่างไร้ความปราณีด้วยคาถาเวทอัญมณีที่เธอเชี่ยวชาญ ทว่าการกระทำนั้นได้ไปกระตุ้นกลไกกับดักจับทั้งสองคนเอาไว้ใต้ดินโดยไม่ได้ตั้งใจ
จากนั้น สถานการณ์ก็กลับตาลปัตร
อิซาเบลลาอาจจะทรงพลัง แต่เธอสนใจเพียงแค่สมบัติและความมั่งคั่งที่ซ่อนอยู่ภายในซากปรักหักพังโบราณเท่านั้น เธอไม่ได้มีความสนใจในวิชาการโบราณคดีเลยสักนิด ดังนั้นความรู้ของหญิงสาวเกี่ยวกับซากปรักหักพังโบราณจึงมีจำกัดมาก วินสเตอร์ที่อายุน้อยกว่าและอ่อนแอกว่าจึงได้ตัดสินใจยืนขึ้นมาในสถานการณ์นี้ เป็นผู้นำด้วยความรู้ที่หลากหลายของเขา ทั้งสองสร้างสัญญาสันติภาพต่อกัน ทำงานด้วยกันอย่างใกล้ชิด เพื่อสำรวจซากปรักหักพังโบราณ จนในที่สุดพวกเขาก็พบทางออก
ประสบการณ์เสี่ยงชีวิตที่พวกเขาแบ่งปันร่วมกันได้กลายมาเป็นรากฐานความสัมพันธ์ของพวกเขา ถึงแม้ว่าอิซาเบลลาจะรู้สึกผิดหวังในภายหลัง เมื่อได้รู้ว่าแท้จริงแล้ววินสเตอร์หลงรักเธอตั้งแต่แรกพบ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เขาตกหลุมรักเธอหลังจากที่โดนเธอซัดกระเด็นไปนั่นเอง
พูดตามตรง มันทำให้อิซาเบลลารู้สึกแปลก ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ จนเธอสงสัยว่าวินสเตอร์มีรสนิยมแปลก ๆ รึเปล่า อย่างไรก็ตามวินสเตอร์ก็ได้ดำเนินชีวิตตามปกติในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เธอวางใจได้ในที่สุด
ต่อมาทั้งสองก็ได้ร่วมมือกัน ออกผจญภัยไปยังสถานที่ต่าง ๆ พัฒนาความสามารถของพวกเขาให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วตลอดการเดินทาง
ถึงกระนั้นอิซาเบลลาก็ลังเลที่จะเปิดเผยตัวตนของเธอในฐานะผู้สืบทอดของอาณาจักรโซเฟีย เธอรู้ว่าวินสเตอร์สนใจเธอแค่ไหน แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยพูดกันออกมาตรง ๆ แต่หญิงสาวก็กลัวว่าการเปิดเผยตัวตนของเธอจะทำลายความผูกพันที่พวกเขามีร่วมกัน เมื่อไม่สามารถเอาชนะภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ได้ ในที่สุดเธอก็ทิ้งเขาไปด้วยการจุมพิตสั่งลาก่อนที่จะแยกทางกับเขาอย่างเงียบ ๆ
ผ่านไปราว 5 ปีหลังจากนั้น พวกเขาก็ได้พบกันอีกครั้งที่สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ พวกเขานั่งในที่ประชุม ปกปิดใบหน้าของตนเองและเปลี่ยนเสียง แต่วินสเตอร์กลับสามารถระบุตัวตนของอิซาเบลลาได้แม้ว่าจะไม่ชัดเจน ราวกับว่าการกลับมาพบกันของพวกเขาถูกกำหนดเอาไว้แล้วโดยโชคชะตา ความรู้สึกที่พวกเขามีต่อกันจึงปะทุกลับมาอีกครั้ง และในที่สุดพวกเขาก็ได้กลับมาครองคู่กัน
ความสัมพันธ์ของอิซาเบลลาและวินสเตอร์ ช่วยพวกเขาในการเอาชนะปัญหาต่าง ๆ หลายประการ มันไม่ใช่แค่สัญญาทางวาจาเท่านั้นที่เชื่อมโยงพวกเขาเข้าด้วยกัน ความผูกพันของพวกเขาแข็งแกร่งกว่านั้นมาก ถึงระดับที่ว่าสามารถฝ่าพายุไปก็ยังได้
นั่นคือเหตุผลที่อิซาเบลลาสังเกตเห็นความอ่อนแอในด้านความรักของชาร์ล็อต น้องสาวคนเล็กของเธอ
การแต่งงานทางการเมืองเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับตระกูลโซเฟีย เนื่องจากธรรมชาติของคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความภักดี หญิงสาวในตระกูลโซเฟียจึงมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการหมั้นหมายของพวกเธอได้แม้จะเป็นเพียงการตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียวก็ตาม ดังนั้นกรณีของชาร์ล็อตจึงเป็นอะไรที่ค่อนข้างหายาก
น่าเสียดายที่ตระกูลโซโรฟยาได้ลืมเกี่ยวกับประเพณีของพวกเขาไปแล้วในช่วงสองสามศตวรรษที่ผ่านมา
เมื่ออิซาเบลลาพบว่าจริง ๆ แล้วชาร์ล็อตเป็นอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์อันเหลือเชื่อ สิ่งแรกที่เธอคิดที่จะทำก็คือเพิกถอนการหมั้นหมายและคืนเสรีภาพให้กับชาร์ล็อต แต่สิ่งต่าง ๆ มีความซับซ้อนกว่าที่คิด ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าโรเอลนั้นเป็นน้องชายของวินสเตอร์ ซึ่งจะกลายเป็นพี่เขยในอนาคตของเธอ และชาร์ล็อตก็คงไม่อยากสูญเสียความสัมพันธ์กับเขา เพราะว่าในอนาคตพวกเขาจะต้องกลายเป็นครอบครัวใหญ่ครอบครัวเดียวในอนาคต
ที่สำคัญกว่านั้น แม้จะไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่าชาร์ล็อตเองก็กำลังปิดบังความรู้สึกที่ตนเองมีต่อโรเอลอยู่
“ชาร์ล็อต เขาเป็นคู่หมั้นของเจ้า เจ้าจะกลัวไปทำไม?”
“ดิฉันรู้ค่ะ ต…แต่ว่าการหมั้นของเรา มันถูกยกเลิกได้ทุกเมื่อ…”
“ช่างหัวเรื่องสัญญาหมั้น แล้วถามหัวใจของตัวเองสิ ว่าเจ้าชอบเขาไหม?”
“!”
อิซาเบลลาพูดจี้ใจดำตรงไปที่ใจของชาร์ล็อต ฉีกม่านที่คอยปิดบังความรู้สึกทั้งหมดของเธอ มันทำให้ดวงตาของเด็กสาวต้องเบิกกว้างด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนแอปเปิ้ล
“ฉัน… ฉันไม่…”
“หา? เจ้าไม่ได้อะไร?”
อิซาเบลลาเยาะเย้ยการโต้แย้งอันอ่อนแอของชาร์ล็อต เธอรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่น้องสาวปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง อิซาเบลลาจ้องไปที่ดวงตาของชาร์ล็อตก่อนจะพูดอีกครั้ง
“ดีมาก ในเมื่อเจ้าพูดความในใจออกมาแล้ว ข้าก็จะเสนอทางเลือกที่สองให้กับเจ้า”
“ถ้าเจ้าชอบเขา เจ้าก็ควรจูบเขาช่วยชีวิตเขาเอาไว้ นี่ถือเป็นโอกาสอันดีที่เจ้าจะได้กระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ความผูกพันระหว่างพวกเจ้าเกิดขึ้นจากคำสัญญาการหมั้นหมายอันบอบบาง แต่เจ้าก็สามารถเสริมสร้างความสัมพันธ์นี้ได้ด้วยบุญคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้ที่นี่”
“ไม่เช่นนั้น ถ้าเจ้าไม่ชอบเขา เจ้าก็ควรหันหลังและจากไป ข้าจะใช้วิธีการปกติเพื่อรักษาสภาพของเขา อย่างน้อย ๆ เจ้าก็มั่นใจได้เลยว่าชีวิตของเขาจะไม่ตกอยู่ในอันตราย”
คำพูดเหล่านั้นทำให้ชาร์ล็อตรู้สึกขัดแย้งกันในใจอย่างมาก ดวงตาของเธอกะพริบบ่อยครั้งด้วยความลังเล ร่างกายเริ่มสั่นเล็กน้อย เมื่อเห็นสิ่งนี้อิซาเบลลาก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เธอรู้สึกว่าหัวใจที่แข็งแกร่งของตัวเองกำลังอ่อนข้อลงให้กับชาร์ล็อตผู้ไร้ซึ่งประสบการณ์ หญิงสาวจึงปรับน้ำเสียงของเธอ และพูดกับน้องสาวตัวน้อยด้วยคำพูดที่จริงจัง
“ชาร์ล็อต คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของพวกเรา กำหนดชะตาให้พวกเราต้องแน่วแน่ในคู่ครองเพียงคนเดียว มีผู้หญิงหลายคนในตระกูลของเราที่เขินอายเกินกว่าจะพูดถึงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้ ส่งผลให้ชีวิตของพวกเธอต้องจบลงด้วยชะตากรรมอันน่าเศร้า เจ้าต้องการที่จะเดินตามรอยเท้าของพวกเธองั้นเหรอ?”
“ฉัน…”
“คิดถึงคู่แข่งของเจ้าสิ ผู้ชายดี ๆ อย่างโรเอลจะต้องมีผู้หญิงคนอื่น ๆ อยู่รอบตัวแน่ หากเจ้าไม่สามารถสร้างสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับเขาได้ล่ะก็ เขาก็อาจจะย้ายไปหาคนอื่น แล้วเจ้าจะปกป้องครอบครัวของตัวเองไว้ได้อย่างไรกัน?”
“!”
คำพูดของอิซาเบลลาพุ่งเข้าใส่หัวใจของชาร์ล็อตด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ ทำให้ร่างกายของเธอสั่นสะท้านด้วยความกลัว ภาพของเด็กสาวสองคนปรากฏขึ้นมาในใจเธอ คนหนึ่งมีผมสีทองและอีกคนมีผมสีเงิน จากนั้นคำว่า ‘ครอบครัว’ ก็เข้าครอบงำความคิดของเธออย่างรวดเร็ว
ดวงตาอันขุ่นมัวของชาร์ล็อตค่อย ๆ สว่างขึ้นเผยให้เห็นความมุ่งมั่น ความสั่นเทาทั่วร่างกายของเธอเองก็หยุดลงไปด้วยเช่นกัน
เอาล่ะ ดูเหมือนว่าเราจะปลุกขวัญกำลังใจของเธอได้สำเร็จแล้วสินะ
อิซาเบลลากำหมัดแน่นด้วยความยินดี
“ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ พี่สาวอิซาเบลลา”
“ลุย รีบไปจัดการมันซะ!”
อิซาเบลลาตบไหล่ชาร์ล็อตด้วยท่าทางเคร่งขรึม ราวกับว่าเธอได้ส่งทหารออกไปรบ ชาร์ล็อตจับชายกระโปรงแน่นก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ๆ โรเอลอย่างช้า ๆ
หัวใจของชาร์ล็อตเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เธอรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังลุกไหม้ เด็กสาวมองไปยังโรเอลที่กำลังหมดสติ พยายามอย่างเต็มที่เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง
ทั้งหมดนี้เพื่อช่วยให้เขาสามารถหลุดพ้นจากอันตรายได้ เราทำสิ่งนี้เพราะไม่มีทางเลือกอื่น อีกอย่างตอนนี้เขาก็กำลังหมดสติ ถ้าไม่มีใครพูดถึงมันล่ะก็…
ด้วยความคิดเช่นนั้น ชาร์ล็อตจึงค่อย ๆ ตกอยู่ในภวังค์ เธอไม่รู้ว่ามันเป็นภาพหลอนรึเปล่า แต่เด็กสาวคิดว่าตนเองเห็นผีเสื้อที่มีลายดอกกุหลาบสีทองบินลงมาต่อหน้าต่อตาเธอ และเมื่อเสียงกระตุ้นของอิซาเบลลาดังขึ้นอีกครั้ง เด็กสาวก็หลุดพ้นจากภวังค์
ถ้าเพื่อโรเอลล่ะก็…
ชาร์ล็อตโน้มตัวไปข้างหน้าด้วยดวงตาอันอ่อนโยน เพื่อที่จะจุมพิตที่ริมฝีปากของโรเอล จังหวะเดียวกันนั้นเอง โรเอลที่เพิ่งถูกเปตราส่งกลับมายังความเป็นจริง ก็ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง สบเข้ากับดวงตาสีมรกตที่กำลังใกล้เข้ามา
“…”