บทที่ 169: สายตาที่จ้องมองผ่านสนามรบ
เช้าวันรุ่งขึ้นโรเอลตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงระฆังเตือนยามเช้า
ทันทีที่เด็กชายลืมตาขึ้น โรเอลก็เห็นอัญมณีที่ฝังอยู่ในผนังกลายเป็นสีแดงเข้ม มันทำให้หัวใจของเขาบีบตัวแน่น อัญมณีสีแดงเข้มเป็นสัญญาณว่ามีอันตรายเกิดขึ้นกับกองเรือทองคำ การที่มันสว่างขึ้นจึงหมายความว่าศัตรูได้ปรากฏตัวขึ้นมาแล้วนั่นเอง
โรเอลได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งผ่านทางเดิน เด็กชายจึงรีบลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมแล้ววิ่งออกไป ทันทีที่เขาก้าวออกมา เขาก็เห็นชาร์ล็อตออกมาจากห้องตรงข้ามกับเขา
“โรเอล ศัตรูมาแล้ว”
ชาร์ล็อตกล่าวด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
โรเอลพยักหน้าโดยไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ แต่ในใจเขานั้นถอนหายใจออกมา
แม้ว่าโรเอลจะพยายามทำทุกวิถีทางแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายได้
【เวลานับถอยหลังสู่จุดสิ้นสุดของสถานะผู้เฝ้ามอง : 24 ชั่วโมง 47 นาที】
เมื่อมองไปที่เวลาการนับถอยหลังของระบบ โรเอลรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนี้ เหลือเวลาอีกหนึ่งวัน มันจึงไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะสามารถชะลอศัตรู แล้วหนีไปจนกว่าจะถึงท่าเรือ พวกเขาต้องชนะการต่อสู้ครั้งนี้ให้ได้ หรือไม่ก็ตายลงในท้องทะเลแห่งนี้
ดังนั้นโรเอลจึงจับมือของชาร์ล็อตและรีบวิ่งไปที่ดาดฟ้าพร้อมกับเธอ ระหว่างทางนั้นเต็มไปด้วยความโกลาหล ผู้คนต่างเร่งรีบตะโกนสั่งหรือบอกเล่าสถานการณ์ให้คนอื่น ๆ ฟัง
เมื่อพวกเขามาถึงบนดาดฟ้า ทั้งคู่ก็ตระหนักได้ว่าลูกเรือทุกคนกำลังมองไปทางทิศตะวันออก ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่กำลังจะขึ้น ได้มีเงาของกองเรือปรากฏขึ้นบนขอบฟ้า
มันคือกองเรือที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกองเรือทองคำ แต่ตราสัญลักษณ์บนธงที่พวกเขามีนั้นกลับแตกต่างออกไป รูปสมอเรือถูกแทนที่ด้วยแสงสีทองหกจุดล้อมรอบดอกกุหลาบสีทอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจุดสีทองทั้งหกจุดเป็นตัวแทนของหกภัยพิบัติที่ฝ่ายของกอร์ดอนบูชาในฐานะทูตของพระเจ้า
ในไม่ช้าโรเอลก็เข้าใจเหตุผลว่าทำไมกองเรือนี้ถึงสามารถไล่ตามกองเรือทองคำได้ ทั้ง ๆ ที่ความเร็วของพวกเขานั้นเหนือกว่า มันเป็นเพราะการรบกวนของชนเผ่าทะเลนั่นเอง
ภายใต้แสงอาทิตย์ทางทิศตะวันออกที่กำลังส่องแสงจ้า สัตว์ประหลาดทะเลขนาดมหึมาที่มีหนวดยาวค่อย ๆ กลับลงไปในน้ำ เผ่าพันธุ์ของพวกมันมักจะเกลียดชังแสงจ้า และจะปรากฏตัวขึ้นเฉพาะในความมืดเท่านั้น อย่างไรก็ตามพวกมันได้เดินทางมาพร้อมกับกองเรือของกอร์ดอน แสดงให้เห็นว่าพวกเขาได้จัดตั้งพันธมิตรร่วมกันเพื่อชิงไข่
“กอร์ดอนไม่น่าจะมีความสามารถในการสื่อสารกับชนเผ่าทะเลได้นี่ แล้วทำไมไอ้พวกสัตว์ประหลาดนั่นถึงช่วยพวกเขากัน?”
“กลุ่มอนุรักษ์นิยมของกอร์ดอนไม่มีทางทำแบบนั้นได้ก็จริง แต่ศัตรูของพวกเราไม่ได้มีแค่พวกนั้น”
อิซาเบลลาประเมินกองเรือศัตรูที่กำลังเข้ามาใกล้จากเส้นขอบฟ้า พร้อมกับเหล่าลูกเรือของเธอด้วยใบหน้าอันเคร่งขรึม
“น่าจะเป็นการแทรกแซงของพวกภาคีนักบุญ”
หลังจากนั้นอิซาเบลลาก็ออกคำสั่ง ทำให้เรือรบหลายสิบลำเข้าสู่รูปแบบการต่อสู้อย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบ เหยี่ยวเงินกว่าร้อยตัวพุ่งขึ้นไปในอากาศ เพื่อค้นหาข่าวกรองของศัตรู ขยายรัศมีการตรวจสอบลงไปใต้น้ำเพื่อตรวจหาชนเผ่าทะเลที่เข้ามาใกล้
ทางด้านกองเรือของกอร์ดอน พวกเขาก็ได้ควบคุมหางเสือบังคับเรือของตนไปในทิศทางขนานกับกองเรือทองคำ พยายามหลีกเลี่ยงการถูกปืนใหญ่ที่ติดตั้งบนหัวเรือของข้าศึก
สถานการณ์ตึงเครียดนี้ดำเนินไปเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง ขณะที่ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายค่อย ๆ เข้าใกล้กันเรื่อย ๆ ทั้งสองฝ่ายต่างคุ้นเคยกับกลวิธีของกันและกัน ดังนั้นไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะให้โอกาสอีกฝ่ายในการใช้ปืนใหญ่หลักอันทรงพลังได้ ผลก็คือการสู้รบส่วนใหญ่มีเพียงการยิงปืนใหญ่ในระยะใกล้และการต่อสู้ระยะประชิด
ลูกเรือขึ้นไปบนเสากระโดงเรือ เตรียมลูกศรสำหรับการสู้รบที่จะมาถึง ขณะเดียวกันนักรบก็ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ถือโล่ให้เข้าที่ ในช่วงเวลาอันล่อแหลมก่อนการสู้รบจะเริ่มขึ้นนี้ จู่ ๆ ก็เกิดแสงสว่างวาบบนเรือเอสเอส เซนต์แมรี่ ซึ่งเป็นสัญญาณคำร้องขอติดต่อสื่อสารที่มาจากเรือธงฝั่งศัตรู เอสเอส เซนต์มาร์ติน
อิซาเบลลามองข้ามทะเลอันกว้างใหญ่ เพื่อสังเกตหาชายชราผมขาวในเรือธงของฝ่ายตรงข้าม และหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ตัดสินใจยอมรับคำขอติดต่อสื่อสาร
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ อิซาเบลลา”
เสียงอันแหบแห้ง ทักทายอิซาเบลลาผ่านอุปกรณ์เวทที่ใช้ในการสื่อสาร
“อิซาเบลลา เจ้าควรรู้ไว้ว่าตระกูลของพวกเราสืบเชื้อสายมาจากตระกูลไฮเอลฟ์อันน่าภาคภูมิใจ สายเลือดไฮเอลฟ์ได้มอบเกียรติให้กับเรา พลังของเราเกิดจากคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งความภักดี ตั้งแต่ในตอนที่เราเกิดมา มารดาแห่งเทพธิดาคือตัวตนอันยิ่งใหญ่ที่บรรพบุรุษของพวกเราได้ให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดี เธอคือผู้ที่จะนำตระกูลของเราไปสู่จุดสูงสุดของความเจริญรุ่งเรือง เราต้องยึดมั่นศรัทธาของเราขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อกลับไปสู่ความรุ่งโรจน์ในอดีตที่พวกเราเคยมีความสุข!”
ใบหน้าของกอร์ดอน โซเฟีย เปลี่ยนเป็นสีแดง ขณะที่เขาจ้องมองไปยังเรือหลายสิบลำที่แล่นอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วอุทานด้วยความโกรธ
“ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้พวกเราเห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าความมั่งคั่งนั้นเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วคราว การทำลายล้างโชคชะตาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง พวกเราไม่มีใครสามารถต่อต้านมารดาแห่งเทพธิดาและทูตของเธอได้ ในฐานะมนุษย์ พวกเราไม่มีความสำคัญสำหรับพวกเขา ทางเดียวที่พวกเราจะอยู่รอดได้ก็คือการยอมจำนนต่อตัวตนที่สูงส่งกว่า ยอมจำนนต่อชะตากรรมของพวกเรา มีเพียงการฟื้นความจงรักภักดีที่พวกเราเคยสูญเสียไปเท่านั้น พวกเราจึงจะเติบโตต่อไปได้ แม้ท่ามกลางความหายนะที่ซุ่มซ่อนอยู่!”
ชายชรามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความเคารพที่เต็มเปี่ยมในดวงตาของเขา ทะเลเงียบสงัดไปครู่หนึ่งขณะที่ลูกเรือของกองเรือทองคำต่างมองหน้ากัน ความเป็นจริงอันโหดร้ายได้พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของพวกเขา ทำให้เกิดความกลัวลดขวัญกำลังใจของพวกเขาลง
หากพวกเขาไม่มีอำนาจจริง ๆ ต่อหน้าเหล่าทวยเทพ การเลือกที่จะเข้าข้างพวกเขาย่อมเป็นการตัดสินใจที่สมเหตุสมผล คำพูดของกอร์ดอนสั่นคลอนการตัดสินใจเหล่าลูกเรือของอิซาเบลลาอย่างรุนแรง
ทว่าอิซาเบลลาก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไร ก่อนที่กอร์ดอนจะพูดต่อไปอย่างเร่าร้อน หญิงสาวได้ก้าวขึ้นไปบนจุดสูงสุดของเรือธงจ้องมองไปที่ชายชราจากระยะไกล
“กอร์ดอน ดวงตาของเจ้ามันช่างมืดบอดจากอดีตอันเลวร้าย ก็จริงอยู่ที่บรรพบุรุษของพวกเราเคยบูชามารดาแห่งเทพธิดา แต่อย่าลืมว่าเผ่าพันธุ์ทรงปัญญาทั้งหมดล้วนเป็นลูกหลานของเทพีเซีย ถ้าการทวงคืนศรัทธาของเราอีกครั้งจะทำให้พวกเราแข็งแกร่งขึ้น คนที่เราควรจะให้คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีก็ควรเป็นเทพีแห่งการสรรสร้าง เทพีเซีย!
“ส่วนคำกล่าวอ้างของเจ้า ว่าความพินาศของมวลมนุษย์ถูกกำหนดไว้โดยโชคชะตา อย่ามาพูดให้ข้าหัวเราะเลยน่า! หลายพันปีแล้วที่โลกได้เปลี่ยนผู้ปกครองไปมาหลายครั้ง แต่อารยธรรมก็ยังคงเติบโตเจริญรุ่งเรืองอยู่เสมอ แล้วมารดาแห่งเทพธิดาอันไร้เทียมทานที่เจ้าพูดถึงหายไปไหนกัน? แล้วหกภัยพิบัติอยู่ภายใต้การควบคุมของใคร? มนุษย์อาจยังอ่อนแอในตอนนี้ แต่ข้อสรุปนั้นยังห่างไกลจากวันตัดสิน คนที่เลือกก้มหัวให้ ก้มหน้าก้มตาก่อนที่จะมีอะไรมาตัดสิน ไม่มีสิทธิ์อะไรมาพูดถึงอนาคตของมวลมนุษยชาติ”
อิซาเบลลาหันกลับมามองลูกน้องของเธอบนเรือหลายสิบลำที่อยู่ข้างหลัง ด้วยแววตาที่ดูเหมือนจะสะท้อนถึงการสร้างประวัติศาสตร์ และการเริ่มต้นของยุคใหม่
“เจ้าคิดว่าพวกเราไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของศัตรูงั้นหรือ? ไม่เลย พวกเรารู้ดีว่ามันทรงพลังแค่ไหน พวกเรารู้ดีว่าภารกิจนี้อันตรายแค่ไหน ทว่าในฐานะผู้สืบทอดเทคโนโลยีกองทัพเรือที่ล้ำหน้าที่สุดของมนุษยชาติ พวกเราถือเป็นศูนย์รวมของอารยธรรมมนุษย์ เมื่อใดที่มนุษยชาติตกอยู่ในสถานะอันตราย และต้องเผชิญกับภัยคุกคามที่จะสูญสิ้น พวกเราจะต้องก้าวออกมาเพื่อปกป้องอารยธรรมของเรา หลายศตวรรษต่อจากนี้ เมื่อลูกหลานของเรามองย้อนกลับไป พวกเขาจะเฉลิมฉลองให้กับความกล้าหาญ และถือว่าเราเป็นความภาคภูมิใจของพวกเขา!”
“ทุกคนเท่าเทียมกันภายใต้ตราชั่งแห่งโชคชะตา ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเทพเจ้า ดังนั้นเก็บคำพูดอวดดีเหล่านั้นไว้สำหรับตัวเจ้าเองเถอะกอร์ดอน!”
การตอบสนองอย่างมั่นใจของอิซาเบลลาดังก้องไปทั่วทั้งกองเรือ กระตุ้นให้ลูกเรือยกดาบขึ้นสูง ส่งเสียงเชียร์ดังสนั่น อีกด้านหนึ่งบนเอสเอส เซนต์มาร์ตินอันไกลโพ้น ใบหน้าของชายชราผมขาวก็เปลี่ยนเป็นสีซีด
“โง่เขลา โง่เขลาสิ้นดี ดูเหมือนว่าคงไม่มีประโยชน์ที่จะพูดคุยกับเจ้าอีกต่อไปแล้ว”
“ข้าเองก็คิดแบบนั้น ข้านึกอะไรไม่ออกเลยว่าจะพูดอะไรกับคนที่สามารถต่อต้านผู้คนของตัวเองได้หลังจากอยู่ร่วมกับพวกเขามาถึง 200 ปี ข้าจะจัดการส่งเจ้าด้วยดาบของข้าเอง!”
อิซาเบลลาเยาะเย้ยอย่างเย็นชาก่อนจะยกมือขึ้นสูง เพื่อถ่ายทอดคำสั่งของเธอ
“ทุกคน โจมตีได้ตามอิสระไปเลย!”
คำพูดเหล่านั้นบ่งบอกถึงการเริ่มต้นของสงคราม ความพยายามครั้งสุดท้ายในการประนีประนอมจบลงด้วยความล้มเหลว กองเรือทั้งสองฝั่งต่างก็ส่งเสียงคำรามออกมา ยิงพลังเวทลำแสงสีทองใส่กัน
มีการพยายามใช้ปืนใหญ่หลักที่หัวเรือ แต่ผลลัพธ์นั้นกลับไร้ประโยชน์ เพราะไม่มีกัปตันคนไหนโง่เขลาพอที่จะให้เรือของตนเองถูกยิงโดยปืนใหญ่หลัก อย่างไรก็ตามอาวุธอื่น ๆ นั้นยังคงทำงานได้ดี
ตูม!
ภายใต้การหลอกล่อของกองเรือทองคำ กองเรือของกอร์ดอนถูกล่อให้เข้าไปในพื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดอัญมณีเวทเตรียมไว้ล่วงหน้า ทุ่นระเบิดระเบิดออกมาด้วยพลังมหาศาล ทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่สูงหลายเมตร สั่นสะเทือนกองเรือของกอร์ดอนอย่างรุนแรง ลูกเรือบางส่วนของพวกเขาตกลงไปในทะเล และน้ำเองก็เริ่มท่วมเรือ ทำให้ความเร็วของพวกเขาลดลงอย่างมาก
กองเรือทองคำไม่ได้ยับยั้งการโจมตีของพวกเขานานกว่าหนึ่งชั่วโมงด้วยความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ อันที่จริงพวกเขาใช้เวลานั้นประเมินการไหลของกระแสน้ำและทิศทางลม
คนทั่วไปเช่นโรเอลมักจะคิดว่าทะเลนั้นเหมือน ๆ กันหมด แต่ในสายตาของทหารผ่านศึกเหล่านี้ กระแสน้ำที่ถูกต้องเปรียบเสมือนการได้ตำแหน่งอันได้เปรียบในการต่อสู้
พลังของทุ่นระเบิดอัญมณีถูกเสริมด้วยกระแสน้ำ ทำให้กองเรือทองคำอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบอย่างมาก ขณะเดียวกันกองเรือแนวหน้าก็เริ่มส่งต่อคำสั่งใหม่ออกไป
“นักประดาน้ำ เตรียมตัวได้!”
ลูกเรือที่ถือฉมวกรีบวิ่งไปที่ด้านข้างของดาดฟ้าและร่ายคาถาเวทของตัวเอง โรเอลจ้องมองไปที่พวกเขาด้วยความประหลาดใจ มีช่องว่างเล็ก ๆ เริ่มปรากฏขึ้นที่คอของลูกเรือเหล่านั้นและเกล็ดก็เริ่มปกคลุมร่างกายของพวกเขา
คาถาสร้างเหงือก คาถาเกล็ดป้องกัน คาถาควบคุมความร้อน คาถาที่เกี่ยวข้องกับการดำน้ำเหล่านี้ถูกดำเนินการภายใต้คำสั่งของเรือกองหน้า พลังเสริมจากคาถาเหล่านี้ทำให้นักดำน้ำมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับนักรบเผ่าเกล็ดได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ และทำให้พวกเขาสามารถเคลื่อนตัวในน้ำได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนปลา
ลูกเรือหลายพันคนว่ายลงน้ำอย่างรวดเร็ว มุ่งไปยังกองเรือศัตรูเพื่อเตรียมโจมตีจากใต้น้ำ
โรเอลมองไปในระยะไกลและเห็นว่านักประดาน้ำบนกองเรือของศัตรูเองก็กำลังเตรียมตัวอย่างรวดเร็วและดำดิ่งลงไปในน้ำด้วยเช่นกัน
นี่เป็นผลให้นักประดาน้ำของกองเรือทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันใต้น้ำและเริ่มต่อสู้กันเพื่อควบคุมพื้นที่ใต้น้ำ
ขณะเดียวกันบนพื้นผิว กองเรือข้าศึกหลังจากรอดมาจากทุ่นระเบิด พวกเขาก็เริ่มเข้าใกล้กองเรือทองคำ ลูกเรือบนเรือเริ่มยิงปืนใหญ่ด้านข้าง ทำให้เศษไม้กระเด็นไปทั่วท่ามกลางการระเบิด นักธนูที่ยืนอยู่บนเสากระโดงเรือยิงธนูออกไป แม้แต่นักรบบนดาดฟ้าก็จับขวานและดาบไว้แน่น เตรียมพร้อมที่จะพุ่งเข้าสู่สนามรบได้ทุกเมื่อ
การระเบิดอันน่าสะพรึงกลัว คลื่นกรรโชก และเสียงโห่ร้องของสงครามที่ก้องกังวานในพื้นที่ ทำให้โรเอลกำหมัดแน่น เขาชำเลืองมองไปยังห้องควบคุมก่อนที่จะหันไปมองการนับถอยหลังในระบบของเขา และยืนยันเป้าหมายอีกครั้ง
เราจะต้องปกป้องชาร์ล็อตและออกจากมิตินี้อย่างปลอดภัยให้ได้
ด้วยความคิดดังกล่าว โรเอลจึงยืนดูด้วยความกังวลอย่างประหม่าที่ผนังด้านนอกห้องควบคุม แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง แม้ว่าจะไม่มีศัตรูอยู่ในบริเวณใกล้เคียง หัวใจของเขากลับกระวนกระวายใจด้วยความวิตกกังวลอันเปี่ยมล้น
ขณะเดียวกันในระยะไกลบนเรือศัตรูลำหนึ่ง ชายชุดขาวได้ลืมตาขึ้นเผยให้เห็นม่านตาสีขาวอันน่าขนลุกของเขา
“เจอตัวแล้ว”
ชายชุดขาวพึมพำเบา ๆ