บทที่ 173: ในนามของความรัก
มีบางอย่างกำลังมา
นี่คือความคิดที่ผุดขึ้นอย่างกะทันหันท่ามกลางจิตสำนึกอันพร่ามัวของโรเอล ความคิดนี้ปรากฏโดยที่เขาไม่สามารถอธิบายได้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขากลับไม่สงสัยถึงมันเลย
มันเป็นแรงกดดันอันคลุมเครือแต่ชัดเจน น่าตกใจชวนสะดุ้ง ราวกับมีก้อนน้ำแข็งมากดลงไปที่ท้ายทอยท่ามกลางฤดูร้อนอันร้อนระอุโดยกะทันหัน แต่ในขณะเดียวกันก็น่ากลัวเหมือนพายุร้ายที่ก่อตัวขึ้น
ภายใต้ความรู้สึกเหล่านี้ สติอันพร่ามัวของโรเอลก็ได้ฟื้นกลับมา ทำให้เขากลับมารู้สึกตัวได้อีกครั้ง ดวงตาสีทองหรี่ลงในขณะที่เด็กชายกระชับแขนที่โอบรอบชาร์ล็อตเอาไว้แน่น ทำให้เธอตกตะลึง
“โรเอล? มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ? เจ็บรึเปล่า?”
ชาร์ล็อตรีบปาดน้ำตาของเธอก่อนจะถามอย่างกังวลใจ แต่โรเอลก็ไม่สามารถหาคำอธิบายที่แน่ชัดมาตอบคำถามของเธอได้ เด็กชายจ้องมองไปที่ขอบฟ้าของทะเลด้วยสายตาอันงุนงง
ทันใดนั้นที่สุดขอบฟ้า พระอาทิตย์สีทองก็เลือนหายไป
ทิศทางที่ดวงอาทิตย์ควรจะลอยขึ้นมา ความมืดมิดได้แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว จนเป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะว่ามันคืออะไร อาจเป็นกลุ่มควันหรือไม่ก็เงาที่เคลื่อนไหว ต่อหน้าต่อตาของโรเอล ความมืดนั้นก็ได้เริ่มกลืนกินทุกสิ่ง แสงสว่างของดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ถูกบังหายไป ทำให้ทั้งพันธมิตรและศัตรูต่างตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“เฮ้ ตรงเส้นขอบฟ้านั่นมันอะไรน่ะ?”
“มันดูเหมือนรอยเปื้อนสีดำเลย มันคืออะไรกัน?”
ลูกเรือที่ตรวจตราเฝ้าระวังจากด้านบนเสากระโดงเรือ แจ้งความผิดปกตินี้ให้กับลูกเรือคนอื่น ๆ ทุกคนต่างร้องตะโกนอย่างกังวล จนเหล่าลูกเรือที่ปกป้องโรเอลและชาร์ล็อตเริ่มขมวดคิ้วอย่างประหม่า
สัญชาตญาณที่พวกเขาได้รับจากประสบการณ์มาตลอดหลายปีในสนามรบกำลังบอกพวกเขาว่ามีภัยพิบัติกำลังใกล้เข้ามา
ชาร์ล็อตหยุดการเคลื่อนไหวเพื่อมองไปยังขอบฟ้าด้านตะวันออก ที่ดวงตาของโรเอลจับจ้องอยู่
เหมือนกับดั่งปรากฏการณ์ลูกโซ่ ผู้คนจำนวนมากต่างหยุดสิ่งที่พวกเขาทำลงเพื่อจ้องมองไปทางทิศตะวันออก ท้องฟ้าอันมืดมิดค่อย ๆ ชักนำให้เรือรบเปิดไฟของพวกเขาอย่างรวดเร็ว การยิงปืนใหญ่หยุดลง ฝูงชนที่ต่อสู้กันแยกตัวออกจากกันอย่างรวดเร็ว สร้างเป็นสองฝั่งที่แตกต่างกันพร้อมมองกันและกันอย่างระมัดระวัง
“นั่นมันอะไรกัน? บอกมาเดี๋ยวนี้!”
บนพื้นผิวทะเล อิซาเบลลาชี้คลังกระสุนอัญมณีของเธอไปที่หัวของกอร์ดอน ร้องถามด้วยโทสะ ทว่าชายชราผู้สูงวัยดูเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไรแล้ว เขาจ้องไปที่ท้องฟ้าอันมืดมิด ด้วยสายตาที่สับสนในดวงตาของเขา แม้ว่าจะมีความกลัวเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเคารพปรากฏบนใบหน้าของเขา เป็นอารมณ์ที่ผู้ศรัทธามักจะแสดงต่อพระพักตร์ของเทพเจ้าที่ตนนับถือ
“ข้าบอกเจ้าแล้วไง อิซาเบลลา อย่าพยายามต่อต้านพวกเขา มันจะนำความตายมาสู่เจ้า พวกเขาอยู่ข้างหลังเรามาตลอด มันเป็นชะตากรรมของพวกเราที่จะต้องรับใช้มารดาแห่งเทพธิดา! การลงโทษอันศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าทวยเทพจะชำระล้างผู้ทรยศทั้งหมด…”
ปัง!
ด้วยการลั่นไกปืน ศีรษะของกอร์ดอนผู้ศรัทธาก็แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อิซาเบลลามองดูศพที่ขาดรุ่งริ่งของอดีตสหายจมลงไปในทะเลด้วยแววตาอันเยือกเย็น
“เจ้าเองก็เป็นจักรพรรดิ ถึงแม้ว่าจะเป็นจักรพรรดิของพวกกบฏก็ตาม มันเป็นทางเลือกของเจ้าที่จะคุกเข่าและบูชาสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้า แต่ก่อนหน้านั้น สิ่งหนึ่งที่จักรพรรดิควรให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือประชาชนของตัวเอง!”
อิซาเบลลากล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น ก่อนจะมองไปทางทิศตะวันออก เพื่อมองดูความมืดที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าเริ่มพร่ามัวลง ทะเลเองก็ไม่ได้สดใสอีกต่อไป เหตุการณ์ทั้งหมดเหล่านี้ทำให้อิซาเบลลาเริ่มเข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
ผู้ทำลายอารยธรรมได้เดินทางมาหาพวกเขาแล้ว มันเป็นหนึ่งในหกภัยพิบัติที่ทำให้อารยธรรมต้องสูญสลายครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดช่วงเวลาประวัติศาสตร์อันยาวนาน ความหวาดกลัวที่ยังคงระบาดไปทั่วโลก
ชื่อของมันคือ บิดาแห่งความมืด
มันคือตัวการที่ได้ทำลายล้างอารยธรรมของเทรนท์โบราณ พวกเขาเรียกมันว่าตัวตนที่ใกล้เคียงหกภัยพิบัติ มันมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับไข่ผู้สร้างธารน้ำแข็งที่เอสเอส เซนต์แมรี่คุ้มกันอยู่ แต่ต่างจากผู้สร้างธารน้ำแข็งที่ยังไม่ฟักตัว บิดาแห่งความมืดเป็นภัยพิบัติที่เติบโตเต็มที่แล้ว ความสามารถในการทำลายล้างของมันเป็นความจริงที่ไม่อาจต่อต้านได้
กล่าวกันว่าบิดาแห่งความมืดเป็นสัตว์ประหลาดโบราณที่สร้างขึ้นจากไฟและดิน ความมืดที่ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างนี้ไม่ใช่พลังเวท แต่เป็นบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น
เขม่า ขี้เถ้า ฝุ่น
มันคือหมอกแห่งความตายที่ก่อตัวขึ้น เมื่อโลกสั่นสะเทือนจากการระเบิดของภูเขาไฟ
พื้นดินที่เคลื่อนไหวไปพร้อมกับลมปราณของภูเขาไฟ สิ่งเหล่านี้คือปรากฏการณ์ทางกายภาพของบิดาแห่งความมืด เช่นเดียวกับเหตุผลที่ทำให้มันไม่สามารถเอาชนะได้ มันไม่จำเป็นต้องโจมตีด้วยซ้ำ เพราะทุกสิ่งที่ขวางหน้ามันจะต้องพังพินาศ
ไม่มีใครสามารถเอาชีวิตรอดจากการโจมตีของสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้ การยอมจำนนและความภักดีของกอร์ดอนเองก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย และผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนที่ติดตามเขามาก็คงจะต้องตายในหายนะครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
“โง่เขลาจริง ๆ มีอารยธรรมมากมายที่ถูกทำลายล้างไปตั้งแต่สมัยโบราณ? พวกเจ้าคิดว่าไม่มีใครเคยพยายามยอมจำนนต่อพวกมันรึไง? บรรดาผู้ที่ต่อต้านพวกมันอาจไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว แต่มีสักกี่คนล่ะที่ศรัทธายอมจำนนแล้วยังมีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้?”
“ความต่อเนื่องของสายเลือดไฮเอลฟ์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมารดาแห่งเทพธิดาหรือสัตว์ประหลาดที่น่ารังเกียจเหล่านี้ แต่เป็นเลือดมนุษย์ในตัวเราที่พวกเจ้าเคยดูถูกเหยียดหยาม”
อิซาเบลลาพึมพำเบา ๆ ขณะจ้องไปที่ศัตรูที่กำลังเข้าใกล้พวกเขาอย่างรวดเร็ว ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าผู้ทรยศมักประสบชะตากรรมอันน่าสลดใจ นับประสาอะไรกับคนที่ทรยศต่อเผ่าพันธุ์ของตัวเอง
เมื่อหายนะเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงการคาดเดาของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ
“ไม่นึกเลยว่าพวกเราจะถูกมันจับตามอง ดูเหมือนว่าการคาดเดาของนักวิชาการจะถูกต้อง ให้ตายสิ สติปัญญาของเขาช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ”
อิซาเบลลาหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ แต่หลังจากที่รอยยิ้มหายไป สิ่งที่เหลือมีเพียงความสงบและความมุ่งมั่น
“บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตา แม้ว่าตราชั่งแห่งโชคชะตาจะเลือกข้างแล้ว แต่ข้า อิซาเบลลา โซเฟีย ขอปฏิเสธที่จะยอมจำนนต่อมัน!”
พลังเวทสีทองเริ่มหลั่งไหลออกมาจากอิซาเบลลา ทะยานพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ขณะเดียวกันอุปกรณ์สื่อสารของเรือรบก็เริ่มส่งเสียง
“นักรบทั้งหลาย! ในเมื่อสิ่งต่าง ๆ ได้มาถึงจุดนี้แล้ว ไม่มีเหตุผลที่พวกเจ้าจะต้องตื่นตระหนกอีกต่อไป อย่างที่ข้าบอกพวกเจ้าไปก่อนหน้านี้ หายนะแห่งความวุ่นวายตามมาถึงพวกเราแล้ว และตอนนี้การทำลายล้างก็ได้เริ่มรุกล้ำเข้ามาในอารยธรรมของพวกเรา ความหวังอันไร้สาระของกอร์ดอนได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามันไร้สาระ สัตว์ประหลาดโบราณพวกนี้พยายามที่จะโค่นล้มมนุษยชาติโดยไม่มีการยกเว้นใด ๆ”
“มันง่ายมากหากพวกเราจะยอมจำนนเฉกเช่นเดียวกันกับพวกคลั่งศาสนา แต่ในฐานะมนุษย์ผู้ภาคภูมิที่สามารถเอาชนะพวกชนเผ่าทะเลและพิชิตท้องทะเลได้ พวกเราจะแสดงความขี้ขลาดต่อศัตรูได้อย่างไรกัน? เทพีเซียสร้างโลกใบนี้ขึ้นมาด้วยแนวคิดเรื่องชีวิตและความตาย แม้แต่ความชั่วร้ายอันมืดมิดเบื้องหน้าเราก็ไม่มีข้อยกเว้น แน่นอนว่าข้าคงไม่จำเป็นต้องบอกพวกเจ้าว่าเราต้องทำอะไรกันในตอนนี้ใช่ไหม?!”
ด้วยรอยยิ้มจาง ๆ แต่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญบนริมฝีปาก อิซาเบลลากระตุ้นพลังเวทของเธอไปสู่ระดับสูงสุดอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ข้างหลังเธอ เทพธิดาแห่งโชคชะตาได้ยกระดับตราชั่งในมือขึ้น เผยให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างท่วมท้นของอัตราต่อรองระหว่างทั้งสองฝ่าย อิซาเบลลาเดิมพันเศษทองคำทั้ง 10 อันของเธอที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์และเกียรติยศ โดยไม่ลังเลใจ ทำให้ตราชั่งสั่นเล็กน้อย
ขณะเดียวกันกองเรือทองคำทั้งหมดก็ส่งเสียงคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
“ลูกเรือของกองเรือทองคำ ข้าหวังว่าเมื่อเราระลึกถึงการต่อสู้ครั้งนี้ในหลายปีที่พวกเราต้องบาดเจ็บหลังจากนี้ พวกเราทุกคนจะสามารถพูดจาไร้สาระถึงมันได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเสียใจแม้แต่น้อย ข้าหวังว่าพวกเราทุกคนจะสามารถยืดอกให้สูงขึ้นได้ เมื่อเราพูดถึงการต่อสู้อันรุ่งโรจน์นี้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ ข้าก็จะขออยู่กับพวกเจ้าทุก ๆ คน ดังนั้นจงพุ่งออกไปอย่าได้เกรงกลัว!
“มาแสดงพลังของมนุษยชาติให้มันได้เห็นกันเถอะ!”
“โอ้วววววววว!”
เหล่าลูกเรือของกองเรือทองคำต่างยกดาบขึ้นสูง คำรามใส่ศัตรูอันทรงพลังอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเบื้องหน้าพวกเขา เสียงคำรามของเหล่านักรบสั่นพ้องกัน เขย่าภูเขาและท้องทะเล
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของสงคราม ทะเลสีทองปรากฏขึ้นใต้เท้าของอิซาเบลลา แสดงถึงภูมิปัญญาที่สร้างขึ้นโดยอารยธรรมมนุษย์ ตัวตนการดำรงอยู่ ซึ่งขัดแย้งกับสัตว์ประหลาดโบราณตรงหน้าพวกเขา มันส่องแสงสว่างเจิดจ้าท่ามกลางความมืดมิด ฉายแสงแห่งความกล้าหาญสะท้อนไปถึงหัวใจของทุก ๆ คน
เบื้องหน้าหายนะของอารยธรรม เรือรบของศัตรูต่างหยุดยิงปืนใหญ่ของพวกเขา ลูกเรือหันไปเหลือบมองกันและกันอย่างเงียบ ๆ กัปตันต่างสั่งพวกเขาให้ชักธงให้สูงขึ้นและเปลี่ยนทิศทางของเรือ
หลังจากการโจมตีของบิดาแห่งความมืด ทุกคนก็ได้ตระหนักถึงความจริง พวกเขาทั้งหมดเป็นมนุษย์ การยอมจำนนต่อภัยพิบัติที่น่าสะพรึงกลัวนั้นเป็นความผิดพลาด ภัยพิบัตินั้นไม่ได้สนใจคุณค่าของมนุษย์ พวกมันไม่รู้จักความเห็นอกเห็นใจ และก็ไม่ใช่ทูตของพระเจ้าด้วย พวกมันเป็นเพียงผู้นำมาซึ่งความพินาศ
โดยที่ไม่สนใจเสียงตะโกนของฝูงชน คลื่นสีดำขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายที่กระจัดกระจายค่อย ๆ บรรจบกันเป็นเงาสีดำอมเทาขนาดใหญ่ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด ขอบลำตัวของมันเบลอออกกลายเป็นรูปร่างที่คล้ายคลึงกับร่างของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ร่างกายของมันใหญ่มากจนดูเหมือนกำลังเชื่อมโลกเข้ากับท้องฟ้า บดบังสายตาของทุกคน
ลูกแก้วสีดำสองดวงสว่างไสวบนท้องฟ้า กลายเป็นดวงตาของเงาขนาดใหญ่ มันมองลงมายังเหล่ามนุษย์ที่กล้าโจมตีมัน ด้วยดวงตาที่เปล่งประกายเล็กน้อยราวกับกำลังตอบโต้
“ร่างจำแลงทองคำ!”
อิซาเบลลายกนิ้วขึ้นและชี้ไปที่ร่างขนาดใหญ่ที่สามารถกวาดล้างพวกเขาทุกคนได้อย่างง่ายดาย จากนั้นร่างจำแลงศักดิ์สิทธิ์ขนาดมหึมาที่ก่อตัวขึ้นจากจิตวิญญาณแห่งทองคำก็ผุดขึ้นมาจากทะเล เปล่งคลื่นสีทองพุ่งไปยืนต่อหน้าเงามหึมาบนท้องฟ้า ปล่อยแสงสีทองเป็นชั้น ๆ ที่ดักขี้เถ้าที่เป็นตัวการทำลายอารยธรรม
ผ่านไปสิบวินาที ดวงตาบนท้องฟ้าก็หรี่ลงอย่างเย้ยหยัน ต่อหน้าสายตาอันตกตะลึงของอิซาเบลลา ภาพเงาขนาดใหญ่ก็ได้พูดคำแรกของมันออกมา
“ช่างโง่เขลา”
ร่างกายของบิดาแห่งความมืดก้มลงอย่างกะทันหัน
“ยิง! ยิงได้!”
ภายใต้คำสั่งของกัปตัน ปืนใหญ่หลักบนเรือรบต่างยิงลำแสงพลังเวทสีทองอันทรงพลังออกมากว่าร้อยครั้ง เจาะเข้าไปในร่างของหมอกสีดำพร้อม ๆ กัน
กระนั้นแม้จะมีการสนับสนุนและการโจมตีทั้งหมดทั้งมวล ฝั่งมนุษย์ก็ยังเสียเปรียบ สัตว์ประหลาดบนท้องฟ้าไม่สะทกสะท้านกับการโจมตีทั้งหมด ตราชั่งที่เทพธิดาแห่งโชคชะตาถือไว้นั้นกำลังสั่นคลอน แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเอียงเลย
ข้ายังอ่อนแอเกินไป ถ้าข้ามีเวลาอีกสักสองสามปีล่ะก็…
อิซาเบลลาถอนหายใจกับตัวเอง ความแข็งแกร่งของเธออยู่ในระดับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 2 เมื่อรวมเข้ากับกองเรือทองคำแล้ว ก็มีพลังมากพอที่จะทำลายล้างอาณาจักรหนึ่งได้ ทว่าหากเทียบกับหกภัยพิบัติที่สามารถทำลายล้างอารยธรรมทั้งหมดได้แล้ว พวกเธอก็ยังอ่อนแอกว่า
อันที่จริงหญิงสาวได้เตรียมใจเอาไว้แล้วสำหรับความพ่ายแพ้
ขณะเดียวกันบนเรือรบลำใดลำหนึ่ง โรเอลก็พบว่าหัวใจของเขากำลังเต้นแรง ลุ้นไปกับการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ตรงหน้า จิตใจของเขาถูกครอบงำด้วยความประหม่า เขาลดสายตาลงมองผ่านรูจากดาดฟ้าและเห็นว่าไข่ของผู้สร้างธารน้ำแข็งยังคงปล่อยไอเย็นยะเยือก
เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งวันก่อนที่พวกเขาจะกลับออกจากมิติของสถานะผู้เฝ้ามอง แต่โรเอลก็รู้ดีว่าพวกเขาคงอยู่ได้อีกไม่นานภายใต้พลังอำนาจของบิดาแห่งความมืด สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้ก็คือเปิดใช้งานผนึกถาวรและทิ้งไข่ลงไปในท้องทะเลลึก
ขณะเดียวกัน ชาร์ล็อตที่กำลังมองดูการต่อสู้อยู่ก็ตระหนักรู้ได้ในทันที
พวกเขาไม่สามารถเอาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้
ความสามารถในการมองเข้าไปในแก่นแท้ของจิตวิญญาณแห่งทองคำ ทำให้ชาร์ล็อตล่วงรู้ถึงข้อสรุปนี้ เธอมองดูลูกเรือวิ่งไปรอบ ๆ ดาดฟ้า เช่นเดียวกับปืนใหญ่ที่ยิงอย่างไม่ลดละ ก่อนจะหันไปหาเด็กชายผมดำที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
ในช่วงเวลาอันสิ้นหวัง ชาร์ล็อตเหมือนจะมองเห็นอนาคตสำหรับทั้งสองคนในช่วงเวลาสั้น ๆ การได้มีชีวิตอันสงบสุขเป็นปกติ ที่พวกเขาจะเดินทางไปรอบ ๆ อย่างอิสระ โต้เถียงกันในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มีงานแต่งงานที่ได้รับการอวยพรจากผู้อาวุโส ดอกไม้อันสวยงามจะถูกโปรยปรายลงมาที่พวกเขา ในขณะที่ทั้งคู่ได้เป็นสามีภรรยากัน ชีวิตใหม่จะเกิดจากความรักของพวกเขา สร้างครอบครัวอันสมบูรณ์ตามที่เธอแสวงหามาโดยตลอด
น่าเสียดายที่อนาคตนี้จะเป็นเพียงแค่ความฝันตลอดไป ไม่เคยได้เป็นความจริง ด้วยความมืดที่รุกล้ำเข้ามาราวกับอ้อมกอดแห่งความตาย มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่พวกเขาจะต้องยอมจำนนและจมลงสู่ความตาย
ชาร์ล็อตจับอัญมณีเจ็ดสีในมือแน่น มันเป็นอุปกรณ์เวทที่สามารถช่วยให้เธอป้องกันตัวเองจากภัยพิบัติทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดโบราณบนท้องฟ้าหรืออันตรายที่ซุ่มซ่อนอยู่ในทะเล ไม่มีใครสามารถทำลายคาถาเวทป้องกันอันยิ่งใหญ่ที่สุดของอัญมณีเวทนี้ได้
“ชื่อของมันคือผู้พิทักษ์แห่งหัวใจ มันเป็นอุปกรณ์เวทที่ทำขึ้นจากการผสมอัญมณีชั้นดี 7 เม็ดเข้ากับเลือดของผู้ใช้ มันไม่ได้สร้างเกราะเวทขึ้นมาเหมือนอุปกรณ์เวทสายป้องกันส่วนใหญ่ มันเหมาะที่จะเรียกว่าคาถาป้องกันระดับสูงสุดเสียมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกยิงออกไปเป็นกระสุน”
“คาถาเวท?”
“ใช่แล้ว มันเป็นคาถาเวท เพื่อความอยู่รอด”
เมื่อหวนนึกถึงบทสนทนาที่เธอมีกับอิซาเบลลา ชาร์ล็อตก็สอดอัญมณีเจ็ดสีเข้าไปใน คลังกระสุนอัญมณี ก่อนจะพึมพำออกมาเบา ๆ
“ทำไมพวกเราไม่เจอกันให้เร็วกว่านี้นะ?”
มันเป็นคำถามที่ฟังดูเหมือนการบ่นพลางถอนหายใจเสียมากกว่า
ชาร์ล็อตมองไปที่คู่หมั้นของเธอด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือไปโอบกอดเขา เมื่อเผชิญกับการกระทำโดยกะทันหันนี้ โรเอลก็ตระหนักได้โดยสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“ชาร์ล็อต?”
“… ที่รัก คุณต้องรอดต่อไปนะ”
ปัง!
ไกปืนถูกยิง ส่งผลให้อัญมณีเจ็ดสีภายในรังเพลิงแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กระสุนเวทแห่งการป้องกันอันสมบูรณ์แบบ พุ่งเข้าใส่ร่างของโรเอลล้อมรอบตัวเขาด้วยแสงเจ็ดสี ในขณะที่แรงกระแทกส่งเขาร่วงลงไปในทะเล