บทที่ 187: จะยกโทษให้ฉันได้ไหม
ถนนบนภูเขาของเขตการปกครองแอสคาร์ด ไม่ใช่ทางที่จะเดินทางผ่านไปได้ง่าย ๆ เลยจริง ๆ
นี่คือความคิดในใจของโรเอลระหว่างที่เขากำลังนั่งอยู่ในรถม้าที่สั่นคลอนตลอดเวลา พลางหันหน้าออกไปมองพระอาทิตย์ตกดิน
นี่ก็ผ่านมาสองชั่วโมงแล้ว นับจากที่พวกเขาเดินทางออกมาจากหมู่บ้านแหล่งผลิตไวน์พาเมล่า
เขตการปกครองแอสคาร์ดมีเส้นทางสองสายทอดยาวจากหมู่บ้านแห่งนี้ไปสู่เทือกเขาโวรุน ทางหนึ่งมุ่งไปทางทิศตะวันออก และอีกสายไปทางทิศตะวันตก เส้นทางด้านทิศตะวันออกนั้นมีความลาดชันมากกว่า ในขณะที่ถนนทางทิศตะวันตกนั้นเรียบกว่า และแน่นอนว่าพวกเขาต้องเลือกเส้นทางทิศตะวันตกที่นุ่มนวลกว่าอยู่แล้ว
การเดินทางหลังพระอาทิตย์ตกดินเป็นอะไรที่ท้าทายสามัญสำนึกสำหรับโลกนี้ ทว่าเนื่องจากเป้าหมายของชาร์ล็อตคือการแสดงให้โรเอลได้เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนอันเต็มไปด้วยดวงดาวบนยอดเขา มันจึงไม่แปลกอะไรที่พวกเขาจะเดินทางกันตอนนี้ อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่คอยกระตุ้นความสงสัยในใจของโรเอลขึ้นมา
“พวกเราจำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนี้เลยหรือ? อีกอย่างเธอจ้างให้ชาวบ้านไปล่าสัตว์ทางตะวันออกด้วยไม่ใช่เหรอ? ถ้าเราเดินทางตอนนี้ที่จ้างไปก็เสียเงินเปล่า ๆ น่ะสิ”
“ทีแรกข้าวางแผนจะจัดงานเลี้ยงรอบกองไฟ แต่ในหมู่บ้านมีฟืนไม่มากเท่าไหร่ในฤดูหนาว ข้าเลยต้องยกเลิกแผนนั้นไป”
“อืม ที่เธอพูดมามันก็จริงอยู่”
โรเอลเหลือบมองชาร์ล็อตด้วยความแปลกใจ เขาไม่คิดว่าคนที่เติบโตมาในครอบครัวที่หรูหราฟุ่มเฟือยอย่างเธอจะเข้าใจความลำบากของสามัญชน และพิจารณาถึงแง่มุมนี้
“ฉันคิดว่าเธอจะเป็นพวกนิสัยเสียเพราะสภาพแวดล้อมหรูหราเสียอีก แต่ดูเหมือนว่าฉันจะเข้าใจเธอผิดไปสินะ”
“ไม่หรอก ตอนเด็ก ๆ ข้าก็ค่อนข้างนิสัยเสียจริง ๆ นั่นแหละ แต่พอพ่อของข้าได้ตะเกียงน้ำมันแปลก ๆ มา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป”
ชาร์ล็อตนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามปีก่อนด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น โรเอลจิบชาพลางไตร่ตรองอย่างเงียบ ๆ ด้วยเหตุผลบางอย่าง คำพูดของเธอทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ ถึงเรื่องในอดีต
“ตะเกียงน้ำมัน?”
“ใช่ มันเกิดขึ้นเมื่อประมาณสามปีที่แล้ว มันเป็นตะเกียงน้ำมันลึกลับที่เรียกว่าตะเกียงสงบวิญญาณ”
“พรู่ด! แค่ก แค่ก แค่ก!”
ทันทีที่ชาร์ล็อตพูดออกมาว่า ‘ตะเกียงสงบวิญญาณ’ โรเอลก็เริ่มไออย่างรุนแรง ชาร์ล็อตจึงรีบตบหลังของโรเอลอย่างรวดเร็วเพื่อบรรเทาอาการสำลักของเขา
“ที่รัก เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ฉ..ฉันสบายดี ฮ่า ๆๆๆ เล่าต่อไปเถอะ หลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้นกับตะเกียง?”
“ตะเกียงสงบวิญญาณเป็นอุปกรณ์เวทที่พ่อของข้าซื้อมาจากคนอื่น ข้าไม่แน่ใจว่าคนคนนั้นเป็นใคร แต่ดูเหมือนว่าเขาจะขายได้ในราคาที่ค่อนข้างถูกมากเลยทีเดียว ซึ่งอาจจะเป็นการแสดงความปรารถนาดีต่อพวกเรา อย่างไรก็ตามทันทีที่พ่อได้ตะเกียงนั้นมา จู่ ๆ เขาก็เข้มงวดกับข้ามากขึ้น…”
ราวกับชาร์ล็อตได้พบทางออกในการระบายความขมขื่นในวัยเด็กของตน เด็กสาวพูดความคับข้องใจทั้งหมดที่สะสมเอาไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางอันแสนยากลำบากไปยังดินแดนแห่งความโกลาหลแทนเซ่น หรือการพยายามสำรวจท่าเรือทูฮอร์น มันเป็นบททดสอบที่ยากมากสำหรับชาร์ล็อต แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต้องกัดฟันพยายามผ่านไป
เมื่อได้ฟังความยากลำบากทั้งหมดที่เธอเผชิญตลอดหลายปีที่ผ่านมา โรเอลก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด เขาคุ้นเคยกับตะเกียงนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ อันที่จริงมันน่าจะออกมาจากมือของเขา คงจะเป็นคนที่เขาขายให้พ่อค้าโซโรฟยากลับไปตอนที่เขาต้องการเงินอย่างหนัก
โรเอลไม่คิดมาก่อนเลยว่าคนที่ซื้อตะเกียงสงบวิญญาณไปจะเป็นบรูซ โซโรฟยา บิดาของชาร์ล็อต อีกทั้งมันยังส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อการเลี้ยงดูลูกสาวของบรูซอีกด้วย
ในแง่หนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าโรเอลนั้นคือผู้ที่เปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตของชาร์ล็อต ซึ่งทำให้เขาตระหนักได้ว่า การกระทำอันไร้ความคิดของตนนั้นสามารถกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นได้
ดูเหมือนว่าหลังจากนี้ เราจะต้องซื้อขายสินค้าในระบบอย่างระมัดระวังซะแล้วสิ แค่ตะเกียงสงบวิญญาณก็สามารถทำให้ชาร์ล็อตต้องพบกับความยากลำบากยาวนานหลายปี… จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสิ่งที่เราขายออกไปจบลงด้วยการทำลายชีวิตของคนอื่น
ชาร์ล็อตเห็นความกลัวในดวงตาของโรเอลและเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นกังวล เด็กสาวจึงเผยรอยยิ้มหวานออกมา ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
“ส่วนนี้ของถนนบนภูเขาค่อนข้างขรุขระและมักจะมีหลุมบ่อ ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“หืม? ฉันสบายดี สภาพของฉันยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ แต่ก็ยังพอทนแรงสั่นได้”
โรเอลตอบ
ตู้โดยสารของตระกูลโซโรฟยา ได้รับการออกแบบด้วยเทคโนโลยีและเวทมนตร์ เพื่อให้สามารถดูดซับแรงกระแทกได้ถึงระดับสูงสุด เพิ่มความสะดวกสบายของผู้โดยสารจนถึงจุดที่ไม่รู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังอยู่ในรถ ความสั่นสะเทือนที่พวกเขาประสบอยู่ในขณะนี้จึงแสดงให้เห็นว่าเส้นทางนั้นน่ากลัวเพียงใด ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะเปลี่ยนไปใช้รถม้าขนาดเล็กก็ตามที
สายธารแห่งอัญมณีนั้นใหญ่เกินกว่าจะผ่านถนนแคบ ๆ บนภูเขานี้ไปสู่ยอดเขาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเปลี่ยนไปใช้รถม้าที่เล็กกว่า ซึ่งจากมุมมองของโรเอล นี่น่าจะเป็นรถม้าสำหรับที่นั่งเดียว ทำให้พวกเขาทั้งสองคนต้องนั่งชิด ๆ กันเพราะขนาดที่ค่อนข้างเล็กของมัน ทั้งสองจึงไม่เหลือที่ว่างให้เคลื่อนไหว
สำหรับเหตุผลที่พวกเขานั่งเคียงข้างแทนที่จะนั่งตรงข้ามกัน นั่นเป็นเพราะคำยืนกรานของชาร์ล็อต เธอยืนกรานเรื่องนี้อย่างดื้อรั้นจนผิดปกติ ซึ่งโรเอลที่บาดเจ็บเองก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะปฏิเสธอะไรได้
ทันใดนั้นการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น ทำให้ร่างกายที่อ่อนล้าของโรเอลเอียงไปด้านข้าง ดวงตาของชาร์ล็อตเปล่งประกายด้วยความคาดหวัง เด็กสาวอ้าแขนรับอย่างใจเย็น ปล่อยให้ร่างของโรเอล ตกลงในอ้อมแขนของเธอ
“หืม? ที่รัก?”
“เอ่อ ฉ…ฉันขอโทษ”
โรเอลรู้สึกเสียวซ่านด้วยความรู้สึกอันอ่อนโยนที่สัมผัสได้อย่างฉับพลันบนร่างกาย เขาพยายามจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่แล้วชาร์ล็อตก็โอบแขนรอบตัวเขาไว้จับให้อยู่กับที่
“ในเมื่อเจ้านั่งเองไม่ได้ ก็มานั่งพิงข้าแทนดีกว่า”
“เธอ… เฮ้อ ช่างเถอะ”
รอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ของสาวงามทำให้โรเอลถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ความพยายามในการต่อต้านตลอดช่วงสองสามวันที่ผ่านมาของเขาล้มเหลวทั้งหมด ส่งผลให้เด็กชายล้มเลิกที่จะต่อสู้กลับ
ยิ่งต่อต้านมากเท่าไหร่ ชาร์ล็อตก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น เขาจึงคิดว่าตนเองอยู่เฉย ๆ น่าจะดีกว่า
โรเอลนิ่งราวกับศพ ปล่อยให้ชาร์ล็อตจิ้มแก้มเขาอย่างมีความสุข ดูเหมือนว่าเธอจะสนุกกับมันมาก รถม้ายังคงเคลื่อนตัวขึ้นไปบนภูเขาเรื่อย ๆ และในไม่ช้า พวกเขาก็มาถึงยอดเขา
“นายหญิง ที่นี่เป็นยังไงบ้างขอรับ?”
“ไม่เลวเลย หยุดรถที่นี่เถอะ”
ชาร์ล็อตมองออกไปข้างนอกก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย คนรับใช้ตั้งค่าอุปกรณ์เวทควบคุมอุณหภูมิและป้องกันลมรอบ ๆ บริเวณใกล้เคียงในทันที เตรียมการเพื่อค่ำคืนใต้แสงดาวอันโรแมนติก
ระหว่างรอ ชาร์ล็อตสังเกตมองไปยังภูเขาที่อยู่ข้างหน้าเธอพร้อมประมาณเวลาที่พวกเขามีอย่างเงียบ ๆ
หากแค่คืนนี้ล่ะก็ พวกเราน่าจะมีเวลามากเพียงพอ
เด็กสาวลูบผมสีดำของโรเอล พลางทบทวนแผนการของตนอีกครั้ง เมื่อการเตรียมการพร้อมแล้ว คนรับใช้ก็เปิดประตูรถและเชิญพวกเขาออกไป
ทั้งสองค่อย ๆ เดินไปที่โต๊ะและเก้าอี้ที่วางอยู่บนยอดเขา
ตอนนี้ดวงอาทิตย์ตกดินแล้ว ถนนบนภูเขาและป่าไม้ต่างปกคลุมไปด้วยความมืด ไม่มีมลพิษทางแสงหรืออะไรแบบนั้นบนโลกนี้ สิ่งที่อยู่ต่อหน้าต่อตาของโรเอลมีเพียงทิวทัศน์ยามค่ำคืนตามธรรมชาติของเทือกเขาโวรุน
นี่เป็นครั้งแรกที่โรเอลได้มาอยู่ท่ามกลางถิ่นทุรกันดารเช่นนี้
ย้อนกลับไปในอดีตชาติ โรเอลเคยได้ออกเที่ยวทัวร์รอบประเทศบ้านเกิดของตน ซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาและแม่น้ำ แต่ทั้งหมดที่เขาจำได้จริง ๆ มีเพียงฝูงชนจำนวนมหาศาลอัดแน่นอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน
แม้กระทั่งหลังจากที่มายังโลกนี้ โรเอลก็ได้แต่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในเขตการปกครองแอสคาร์ด ซึ่งค่อนข้างเจริญรุ่งเรือง เฉพาะระหว่างทางที่นั่งรถม้าไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรนเท่านั้นที่เขาได้ออกไปตั้งค่ายอยู่ข้างนอกเป็นครั้งคราว ครั้งสุดท้ายที่เด็กชายได้เห็นทิวทัศน์ยามค่ำคืนจริง ๆ คือตอนที่เขากำลังดูผีเสื้อกลางคืนในป่าลูว์มันกับชาร์ล็อต ซึ่งตอนนั้นเองก็มีฝูงชนจำนวนมากอยู่รอบ ๆ และจุดเด่นของที่นั่นก็ไม่ใช่ทิวทัศน์เช่นกัน
ลมแรงที่พัดไปมาบนยอดเขาถูกทำให้เบาบางลงโดยอุปกรณ์เวทที่คนรับใช้ของชาร์ล็อตได้จัดเตรียมไว้ ดังนั้นเมื่อมันพัดมาถึงโรเอล พวกมันก็กลายเป็นเพียงแค่ลมเย็น ๆ เด็กชายเหลือบมองไปยังจุดแสงเล็ก ๆ ที่เป็นหมู่บ้านด้านล่างก่อนจะแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ว้าว! มีดวงดาวบนท้องฟ้ามากมายขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?”
โรเอลเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ทันทีที่ได้เห็นกลุ่มดาวอันสว่างไสวบนทิวทัศน์ยามค่ำคืน ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นดวงดาวที่เขตการปกครองแอสคาร์ด แต่การได้เห็นมันบนยอดเขาอันห่างไกลเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างออกไปมาก
ที่ระดับความสูงนี้ ทำให้รูสึกว่าดวงดาวนั้นใกล้เข้ามามากขึ้น และแสงระยิบระยับจาง ๆ ของพวกมันเองก็ดูสว่างกว่าปกติเล็กน้อยเช่นกัน ความกว้างใหญ่ของจักรวาลแผ่ออกไปตรงหน้าของโรเอลพร้อมกับสายลมเบา ๆ ทำให้เขารู้สึกเป็นอิสระจากสรรพสิ่ง ราวกับว่าสิ่งที่ฉุดรั้งเขามาตลอดได้รับการปลดปล่อยออกมา
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้คนถึงมักจะมองหาสภาพแวดล้อมที่มีความงดงามตามธรรมชาติเพื่อไปพักผ่อนในช่วงที่กำลังพักฟื้น มันมีประโยชน์มากจริง ๆ
เมื่อร่างกายและจิตใจอยู่ในสภาพที่ผ่อนคลาย รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติบนใบหน้าของ โรเอล แม้ว่าการเดินทางมาที่นี่จะลำบาก แต่เขารู้สึกว่ามันคุ้มค่าสำหรับทิวทัศน์นี้
“รู้สึกดีจริง ๆ ที่ได้มานั่งอยู่ใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันสวยงามแห่งนี้”
“ใช่ไหมล่ะ? ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการมัน ที่รัก”
“ความอัศจรรย์ของธรรมชาตินี่มันน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่มีผีเสื้อประกายแสงราตรี แต่ ท้องฟ้ายามค่ำคืนก็งดงามไม่น้อยไปกว่ากันเลย”
โรเอลกล่าว
การที่ได้รู้ว่าสถานที่อันน่าอัศจรรย์แห่งนี้อยู่ภายใต้อาณาเขตของเขตการปกครองแอสคาร์ด ทำให้เขาภาคภูมิใจมาก น่าเสียดายที่ทัศนียภาพอันสวยงามดังกล่าว ยังไม่น่าจะได้รับการพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในยุคนี้ เนื่องจากฉากความงดงามตามธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ตรงหน้าเขา ไม่ได้น่าตื่นตาเท่าไหร่สำหรับคนอื่น ๆ ในทวีปเซีย
ผู้คนอยากเห็นของหายากที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ๆ ในโลกใบนี้ที่มนุษย์ยังไม่ได้รุกล้ำเข้าไปใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างเต็มที่ ฉากกลางแจ้งอันยิ่งใหญ่จึงเป็นอะไรที่หาดูได้ง่ายและไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไร กลับกันแล้ว สถาปัตยกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้นสามารถดึงดูดผู้คนให้เข้ามามีส่วนร่วมได้มากกว่าเสียอีก น่าแปลกที่ค่านิยมบนโลกนี้ตรงข้ามกับโลกในชาติก่อนของโรเอลโดยสิ้นเชิง
ความคิดนี้ทำให้โรเอลสั่นศีรษะด้วยความสงสาร จากนั้นก็หันไปทางเด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงที่อยู่ข้างหลังพร้อมรอยยิ้มแห่งความขอบคุณ
“ขอบคุณนะชาร์ล็อต ตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้วล่ะ”
“ดีแล้ว ถ้าเจ้าต้องการ ในอนาคตเราก็สามารถแวะมาที่นี่บ่อย ๆ ได้”
“แวะมาที่นี่บ่อย ๆ งั้นเหรอ… นั่นน่าจะยากเกินไปสำหรับฉัน หลังจากหยุดไปหลายวัน ฉันแน่ใจว่าต้องมีงานมากมายรอให้ฉันกลับไปจัดการแน่ ๆ”
โรเอลมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น ผ่านไปแล้วห้าวันนับตั้งแต่ที่เขาเดินทางออกมาจากตัวเมืองของเขตการปกครองแอสคาร์ด เนื่องจากเขาไม่ได้พาองครักษ์ติดตัวมาด้วย แอนนาและเหล่าคนรับใช้จึงน่าจะเป็นห่วงเขากันมาก ไม่แน่อีกไม่นานพวกเขาอาจจะส่งคนออกมาตามหาโรเอลก็เป็นได้ นอกจากนี้ อลิเซีย น้องสาวสุดที่รักของเขาเองก็กำลังจะกลับมาแล้วเช่นกัน
ครึ่งเดือนที่ไม่มีอลิเซียนั้นค่อนข้างอึดอัดสำหรับโรเอล พวกเขาแทบจะตัวติดกันตลอดเวลาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นี่จึงเป็นครั้งแรกที่พวกเขาถูกแยกจากกันเป็นเวลานาน
ขณะที่โรเอลกำลังคิดเกี่ยวกับตารางงาน และงานที่เขาจะต้องจัดการเมื่อกลับไป ชาร์ล็อตก็กำลังเตรียมการแผนของเธอเช่นกัน เด็กสาวจ้องไปที่ดวงดาวอันห่างไกลครู่หนึ่งก่อนที่จะถามคำถามกับคนรัก
“ที่รัก เจ้าจะยกโทษให้ข้าได้ไหม ถ้าข้าทำอะไรผิดไป?”
“ทำอะไรผิด? ทำอะไรผิดไปงั้นเหรอ?”
“…”
เมื่อเผชิญกับคำถามของโรเอล ชาร์ล็อตก็เงียบลงไปโดยสิ้นเชิง ไม่พูดอะไรอีก เมื่อเห็นสิ่งนี้ โรเอลจึงหยุดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างช้า ๆ
“ถ้าเป็นเธอล่ะก็ ฉันไม่คิดว่าเธอจะทำผิดพลาดร้ายแรงอะไรได้ แต่ต่อให้เธอจะทำผิดพลาด ตราบใดที่เธอเต็มใจที่จะแก้ไขมันอย่างจริงจัง ฉันก็น่าจะให้อภัยเธอได้”
“… แน่นอนที่รัก ข้าจะชดใช้ให้เจ้าเอง ”
ชาร์ล็อตจับมือโรเอลแน่น พร้อมตอบด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นราวกับคำปฏิญาณ หลังจากนั้น จู่ ๆ โรเอลก็รู้สึกมึนงง ด้วยความเหนื่อยล้าอย่างฉับพลันที่เข้ามากลืนกินจิตสำนึกของเขา
“เอ๋? เดี๋ยวนะ พลังเวทนี่มัน…”
โรเอลตระหนักได้ในทันทีว่าตัวเองกำลังตกอยู่ภายใต้ผลของคาถาเวท แต่ไม่ทันที่เขาจะพูดจบประโยค เด็กชายก็ผล็อยหลับไปเสียก่อน จากนั้นชาร์ล็อตก็ก้าวออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อพยุงร่างกายของเขา ก่อนจะพึมพำเบา ๆ
“ราตรีสวัสดิ์ที่รัก”