บทที่ 188: โอ้… ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา!
เมืองหลวงของสมาคมพ่อค้าโซโรฟยา เมืองโรซ่าเป็นสถานที่ที่น่าสนใจทีเดียว
ทุก ๆ อาณาจักรที่เป็นศูนย์กลางการค้า ย่อมเปิดอาณาจักรเพื่อทำการค้าขายกับภายนอก เพราะหากปราศจากสิ่งนี้ ความหลากหลายของสินค้าและการทำธุรกิจก็จะถูกจำกัดลง
กลับกันแล้ว อาณาจักรที่ตั้งตัวสันโดษและปิดอาณาจักร ก็มักจะต้องเผชิญกับความยากจนและการลักลอบขนสินค้า ทำให้หากอาณาจักรไหนปิดอาณาจักรนานเกินไป ก็จะต้องพบว่าตนเองล้าหลังอาณาจักรอื่น ๆ ในโลกไปมาก ส่งผลให้เสื่อมโทรม และถูกกำจัดออกไปในที่สุด
เมืองโรซ่านั้นไม่ใช่อาณาจักรที่ปิดอย่างแน่นอน แต่เมื่อเทียบกับอาณาจักรที่เป็นศูนย์กลางทางการค้าอื่น ๆ แล้ว กำแพงเมืองอันสูงตระหง่านของเมืองนี้กลับให้ความรู้สึกที่ตรงกันข้าม
มันเป็นป้อมปราการตั้งตระหง่านสูงราวกับเชิดชูชื่อเสียงอันโด่งดังในฐานะศูนย์กลางการค้าของโรซ่า ส่วนในแง่ของความสามารถในการป้องกันแล้ว มันเหนือกว่ากำแพงของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรนในจักรวรรดิเซนต์เมซิทเสียอีก ทว่านอกเหนือจากเกราะป้องกันที่หนาแล้ว ความมั่งคั่งที่อยู่ภายในนั้นไม่อาจมีใครเทียบได้ในทวีปเซีย
ช่างเป็นความแตกต่างย้อนแย้งที่แปลกประหลาด
ชาวโรซ่านั้นกลัวผู้บุกรุกเป็นอย่างมาก ซึ่งเหตุผลก็สืบเนื่องมาจากการที่เมืองโรซ่าถูกบุกรุกหลายสิบครั้งตลอดช่วงเวลาที่มันปรากฏขึ้นในประวัติศาสตร์ ความเจ็บปวดที่ผู้คนของเมืองนี้ได้รับ ส่งผลให้พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคทางจิตที่รักษาไม่หายหลายอย่าง ตั้งแต่ผลข้างเคียงที่ทำให้พวกเขาชอบสิ่งที่มีขนาดใหญ่และหนา
อะไรก็ตามที่ขยายได้ก็จะถูกขยายให้ใหญ่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกำแพงเมืองหรือคูเมือง อาวุธทั้งหมดในคลังอาวุธของพวกเขาจะต้องพร้อมสำหรับการใช้งานทุกเมื่อ ยุ้งฉางต้องเต็มตลอดเวลา ถึงขั้นที่ชาวเมืองโรซ่ามักจะมีนิสัยชอบกักตุนสะสมอาหารไว้ภายในบ้านของตนเอง
สถานที่แห่งนี้เป็นเมืองที่เกรงกลัวการถูกปล้นสะดมอย่างมาก แต่ท้ายที่สุดความระแวดระวังของพวกเขาก็ส่งผลดีต่อตัวของพวกเขาเอง ราว ๆ หนึ่งศตวรรษก่อนในตอนที่จักรวรรดิออสทีนสามารถฟื้นคืนกองกำลังของตนกลับมาได้อีกครั้ง และจักรวรรดิเซนต์เมซิทตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของเมืองโรซ่าอีก มีอาณาจักรเล็ก ๆ มากมายในบริเวณใกล้เคียงถูกล่อลวงให้เข้ามาโจมตีเมืองโรซ่า ทว่าพวกเขากลับทำได้เพียงแค่เดินทัพวนไปรอบ ๆ จนความทะเยอทะยานจางหายไป
บ้าที่สุด! สิ่งแรกที่พวกแกทำหลังจากสิ้นสุดสงครามคือการซ่อมแซมและเสริมสร้างกำแพงเมืองงั้นเหรอ? ชาวโรซ่าไม่เคยหลวมตัวรึไง!
นี่เป็นความคิดร่วมกันของเหล่าผู้ปกครองของอาณาจักรเล็ก ๆ บริเวณใกล้เคียงในสมัยนั้น
เห็นได้ชัดว่าการบุกรุกเมืองโรซ่ายากกว่าที่พวกเขาคาดไว้หลายขุม ด้วยกำแพงขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นพวกเขาอยู่นี้ ทำให้การพิชิตป้อมปราการที่รู้จักกันในชื่อเมืองโรซ่าให้สำเร็จนั้นพวกเขาจะต้องลงทุนทรัพยากรและกองกำลังทหารจำนวนมาก และถ้าหากมันล้มเหลวขึ้นมา พวกเขาก็อาจจะต้องประสบความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
แน่นอนว่าโอกาสล้มเหลวเองก็มีสูงมากเลยทีเดียว เพราะในสมัยนั้นเมืองโรซ่ามีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับเขตการปกครองแอสคาร์ดอันทรงพลังที่อยู่ใกล้ ๆ
บลังก์ แอสคาร์ด ปู่ของโรเอลได้เซ็นสัญญาหมั้นกับตระกูลโซโรฟยาในตอนนั้น เพื่อยืนยันความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างสองตระกูลด้วยสายใยแห่งการแต่งงาน ตระกูลแอสคาร์ดและตระกูลโซโรฟยาจึงถือเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลเดียวกัน เป็นการแสดงให้เห็นว่า ถ้าหากตระกูลโซโรฟยามีปัญหาขึ้นมา ตระกูลแอสคาร์ดก็พร้อมที่จะยืนหยัดเพื่อพวกเขาในทันที
ด้วยที่ว่าเขตการปกครองแอสคาร์ด ไม่มีอะไรนอกจากความสามารถทางการทหาร ราวกับว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนป่าเถื่อนที่หมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้ ทำให้ผู้ปกครองของอาณาจักรเล็ก ๆ เหล่านั้นต่างประเมินสถานการณ์ว่า ต่อให้พวกเขาทั้งหมดร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน ก็ยังมีโอกาสสูงที่จะแพ้ในสงครามครั้งนี้
ดังนั้นพวกเขาจึงตบต้นขา เดินทางกลับอาณาจักรของตนเองไป เหตุการณ์นี้ได้ตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างเขตการปกครองแอสคาร์ดและสมาคมพ่อค้าโซโรฟยา สร้างรากฐานอันแข็งแกร่งให้กับความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างดินแดนทั้งสอง
ประวัติศาสตร์นี้ส่งผลให้ตระกูลแอสคาร์ดมีอิทธิพลสำคัญในเมืองโรซ่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกองทัพ กองทัพของทั้งสองดินแดนมักมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกและดำเนินการฝึกอบรมร่วมกัน
ในสงครามครั้งนั้น เขตการปกครองแอสคาร์ดสามารถคว้าชัยชนะเหนือกองทัพอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิออสทีน และขับไล่พวกเขาออกจากเมืองโรซ่าได้สำเร็จ จักรวรรดิออสทีนในตอนนั้นเองก็ไม่ได้อ่อนแอแต่อย่างใด แม้จะถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว แต่พวกเขาก็ยังสามารถสร้างความเสียหายมหาศาลให้กับศัตรูของตน เป็นผลให้ทหารจำนวนมากที่รับใช้ภายใต้ธงของตระกูลแอสคาร์ด เสียชีวิตบนผืนแผ่นดินนี้
ช่วงเวลาอันวุ่นวายนั้น พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องฝังผู้ตายเท่าที่จะทำได้ เมื่อความสงบสุขกลับมา พลเมืองของเขตการปกครองแอสคาร์ดหลายคนจึงได้เดินทางมาที่เมืองโรซ่า เพื่อนำร่างของคนรักกลับบ้านหรือเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้วายชนม์
ฝั่งของชาวโรซ่าเองก็พิถีพิถันเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาสร้างสุสานสำหรับเหล่าพันธมิตรผู้เสียสละตัวเองเพื่อเสรีภาพของประชาชนที่พวกเขาแทบจะไม่ได้รู้จัก ทุก ๆ ปีเขตการปกครองแอสคาร์ดจะส่งคนมาเพื่อไว้อาลัยให้แก่ผู้เสียชีวิต จนช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาพวกเขาจึงได้ลดความถี่ลงเหลือเพียงทุก ๆ ห้าปี
ผลก็คือผู้บังคับบัญชาระดับสูงส่วนใหญ่ในกองทัพของโรซ่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารผ่านศึกอาวุโสที่มีอำนาจทางการทหารส่วนใหญ่ ต่างก็เป็นพวกสนับสนุนตระกูลแอสคาร์ด และต่อต้านจักรวรรดิออสทีนเป็นอย่างมาก คนกลุ่มนี้เองคือกลุ่มหลักที่แสดงการคัดค้านอย่างรุนแรงต่อการหมั้นหมายของบรูซในตอนนั้น
ในมุมมองของพวกเขา การแต่งงานทางการเมืองกับขุนนางของจักรวรรดิออสทีน แม้ว่าจะเป็นหนึ่งในตระกูลดยุกที่เป็นกลาง แต่ก็ยังถือเป็นการยอมจำนนต่ออดีตผู้ปกครองที่กดขี่พวกเขา เป็นการดูถูกความกล้าหาญและการเสียสละของเหล่าทหารในอดีตที่รบกับจักรวรรดิออสทีน พวกเขารู้สึกว่าการแต่งงานทางการเมืองกำลังเหยียบย่ำสิ่งที่เมืองโรซ่ายืนหยัดมาโดยตลอด
ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้ผิดไปเสียทั้งหมด เพราะภรรยาของบรูซคือ อเดลิเซีย หญิงสาวผู้คลั่งไคล้ในแนวคิดสายเลือดบริสุทธิ์
การหมั้นหมายทำให้เกิดพายุลูกใหญ่ในชนชั้นปกครองของเมืองโรซ่า หลายคนไม่สามารถยอมรับอเดลิเซียได้ และแสดงการคัดค้านอย่างรุนแรง ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นนี้ เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เธอต้องกลับไปยังบ้านเกิด
อย่างไรก็ตามทุกอย่างก็ยังไม่ได้จบลงไปซะทีเดียว แม้ว่าลูกหลานของผู้รุกรานอันน่าเกลียดชังจะออกจากเมืองโรซ่าไปแล้ว แต่ทัศนคติที่มีต่ออเดลิเซีย ก็ยังทิ้งผลกระทบตกค้างเอาไว้ภายในโรซ่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชาร์ล็อต
ถึงชาร์ล็อต โซโรฟยา จะเป็นสมาชิกของตระกูลโซโรฟยา แต่เธอก็มีสายเลือดของจักรวรรดิออสทีนอยู่ครึ่งหนึ่งด้วยเช่นกัน นอกจากนี้มารดาของเธอยังเป็นคนโง่ที่ถูกล้างสมองโดยทฤษฎีสายเลือดบริสุทธิ์ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องอัปยศเป็นอย่างมากในสายตาของเหล่าผู้อาวุโส นั่นจึงเป็นเหตุผลที่บรูซมอบหมายงานต่าง ๆ ให้ชาร์ล็อตรับผิดชอบ เพื่อสร้างฐานการสนับสนุนให้ตัวเองในตระกูลโซโรฟยา
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่มีความสำคัญอีกต่อไปแล้ว
…
ณ ห้องประชุมของตระกูลโซโรฟยา ทุกคนในที่นั้นต่างจ้องเขม็งไปยังของเหลวสีทองที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ภายใต้คำสั่งของชาร์ล็อต ราวกับเป็นการเพิ่มพูนขอบเขตพลังเวทของเธอออกไป แม้แต่บรูซที่มักจะทำหน้านิ่งในทุก ๆ สถานการณ์ ก็ยังต้องหน้าแดงซ่านไปด้วยความตื่นเต้น
“น…นี่คือ ‘จิตวิญญาณแห่งทองคำ’ ในบันทึกโบราณของอาณาจักรโซเฟียงั้นเหรอ? ช่างอัศจรรย์จริง ๆ! ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็นมันกับตาในช่วงชีวิตของตัวเอง!”
บรูซรู้สึกประทับใจมาก เมื่อเห็นผลงานอันรุ่งโรจน์ของบรรพบุรุษ ถูกสร้างขึ้นใหม่ในยุคปัจจุบัน แต่เขาไม่รู้เลยว่านี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
ชาร์ล็อตได้แสดงคาถาเวทใหม่ ๆ มากมาย โดยอธิบายว่าหากไปถึงระดับสูงสุด พลังทางสายเลือดของพวกเขาสามารถสร้างอิทธิพลต่อสมดุลแห่งโชคชะตาได้ จากนั้นเด็กสาวก็ได้แสดงแบบพิมพ์เขียวของกองเรือทองคำ เล่าถึงการล่มสลายของมันที่เธอได้ประสบในการผจญภัย สิ่งเหล่านี้ทำให้บรูซตกใจมากจนสมองของเขาว่างเปล่าไปเลยทีเดียว
สิ่งที่ชาร์ล็อตพูดออกมานั้นน่าตกใจมาก จนบรูซไม่สามารถประมวลผลได้ในเวลาเพียงครู่เดียว เขารีบให้แอนดรูว์คนสนิทของเขาตรวจสอบความถูกต้องของพวกมัน แม้ว่าเขาจะค่อนข้างมั่นใจว่าพวกนี้เป็นของจริง เพราะสิ่งของทุกรายการเหล่านี้ล้วนมีสายสัมพันธ์ลาง ๆ กับพลังทางสายเลือดของเขา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชาร์ล็อตมีส่วนสนับสนุนเป็นอย่างมากต่อผลประโยชน์ของตระกูลในครั้งนี้ จุดอ่อนของตระกูลโซโรฟยาที่เกิดจากมรดกที่หายสาบสูญไปของพวกเขา เป็นความเจ็บปวดสำหรับพวกเขามาหลายศตวรรษแล้ว แต่เด็กสาวกลับสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ทั้งหมด ในแง่ของความดีความชอบ มันเหนือกว่าการพัฒนาดินแดนแห่งความโกลาหลหรือท่าเรือทูฮอร์นอย่างไม่ต้องสงสัย
ตระกูลโซโรฟยา อาจจะยังไม่สามารถขึ้นสู่การเป็นมหาอำนาจได้ทันทีหลังจากได้รับมรดกนี้ แต่ในทศวรรษข้างหน้าที่จะมาถึง พวกเขาอาจจะกลายเป็นขุมพลังที่เทียบเคียงกับตระกูลเซไซต์ก็เป็นได้
การสนับสนุนในครั้งนี้จะกลายเป็นรากฐานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาร์ล็อตภายในตระกูลโซโรฟยา จนไม่มีใครสามารถเขย่าตำแหน่งของเธอในฐานะผู้ปกครองคนต่อไปของตระกูลได้อีก
ไม่ว่าในกรณีใด ความรู้ที่ชาร์ล็อตนำกลับมาจากมิติของสถานะผู้เฝ้ามอง ได้สร้างความยินดีให้กับเหล่าผู้บริหารของตระกูลโซโรฟยาที่มารวมตัวกันในห้องประชุมอย่างไม่สิ้นสุด ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยกเว้นอูกิน โซโรฟยา ชายชราที่นั่งอยู่ข้าง ๆ บรูซ
…
อูกินเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูล เขาเคยได้มีส่วนร่วมในสงครามช่วงการก่อตั้งสมาคมพ่อค้าโรซ่า และมีบทบาทสำคัญอย่างมาก ส่วนสาเหตุที่ชายชราอยู่ในกลุ่มต่อต้านจักรวรรดิออสทีนสุดโต่ง นั่นก็เพราะเขาเชื่อว่าในท้ายที่สุดทั้งสองอาณาจักรจะต้องสู้กันอีก ด้วยเหตุผลเดียวกัน เขาจึงไม่ชอบชาร์ล็อตผู้มีสายเลือดของจักรวรรดิออสทีนมาตลอด นอกจากนี้เธอยังเป็นผู้หญิงอีกต่างหาก
ชายชราเชื่อว่าการปล่อยให้ผู้หญิงอย่างชาร์ล็อตเข้ามาเป็นผู้นำตระกูลโซโรฟยานั้นถือเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าชาร์ล็อตเชื่อในทฤษฎีสายเลือดบริสุทธิ์อันไร้สาระแบบมารดาของเธอ แต่งงานเข้ากับสายเลือดอีกฝั่งของตนเอง พาเมืองโรซ่ากลับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสทีน? นั่นมันเป็นหายนะครั้งใหญ่ชัด ๆ เลยไม่ใช่เหรอ?
ความเกลียดชังอย่างสุดซึ้งของอูกินที่มีต่อจักรวรรดิออสทีน ทำให้เขาเกลียดชาร์ล็อตที่สืบสายเลือดของจักรวรรดิออสทีนมาจากมารดาของเธอ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองดูทุกสิ่งที่เธอทำด้วยความสงสัย แม้ว่าชายชราจะตื่นเต้นกับการค้นพบต่าง ๆ ของชาร์ล็อต แต่เมื่อรู้ถึงนึกถึงเรื่องนี้ และความหมายในเชิงการเมืองภายใน เขาก็ไม่สามารถยิ้มออกมาได้
“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะสามารถกู้อารยธรรมโบราณของอาณาจักรโซเฟียได้ ทำได้ดีมาก”
อูกินพูดอย่างไม่ใส่ใจ
นี่เป็นคำชมสูงสุดที่เขาสามารถมอบให้กับชาร์ล็อตได้ ทว่าเด็กสาวกลับไม่ยอมรับคำชมของเขา
“ไม่หรอกค่ะ ดิฉันไม่ได้ทำมันคนเดียว”
ชาร์ล็อตโค้งคำนับให้กับฝูงชนในห้องประชุมก่อนจะเปิดเผย ‘ความจริง’ อย่างใจเย็น
“ท่านพ่อ ด้วยความช่วยเหลือจากผู้ปกครองเขตการปกครองแอสคาร์ด โรเอล แอสคาร์ด ดิฉันจึงสามารถนำสิ่งของเหล่านี้กลับมาได้ทั้งหมด โรเอลนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการสู้รบที่เราเผชิญในซากปรักหักพัง ดังนั้นดิฉันจึงพาเขากลับมายังเมืองโรซ่าแห่งนี้ด้วยโดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อรักษาเขา”
“อะไรนะ?”
คำพูดของชาร์ล็อตสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้นในห้องประชุม
ไม่ว่าเธอพยายามจะสื่อความหมายให้เบาบางแค่ไหน แต่ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมก็ตระหนักได้ทันทีว่านี่อาจกลายเป็นปัญหาทางการทูตครั้งใหญ่กับเพื่อนบ้านของพวกเขาในเขตการปกครองแอสคาร์ดได้ ผู้คนที่มีข้อมูลเริ่มเชื่อมโยงเรื่องนี้กับรายงานที่พวกเขาได้รับเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางทหารที่แปลกประหลาดของเขตการปกครองแอสคาร์ดตามแนวชายแดน ทันทีที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็เริ่มเกลี้ยกล่อมเธอ
“ชาร์ล็อต พวกเราเข้าใจความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อคู่หูดี ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุดของโรซ่าในอนาคตหลังจากสิ่งที่เขาทำเพื่อเรา แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ควรจัดการกับเรื่องนี้ด้วยวิธีนี้…”
“ไร้สาระที่สุด! เขตการปกครองแอสคาร์ดเป็นพันธมิตรทางทหารของเรามาหลายชั่วอายุคนแล้ว แต่เจ้ากลับเอาผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของพวกเขาออกมาจากดินแดนของพวกเขาตามอำเภอใจงั้นเหรอ? เจ้าได้พิจารณาถึงผลที่จะตามมาจากการกระทำของตัวเองรึเปล่า! การกระทำของเจ้าอาจจะบั่นทอนความสัมพันธ์อันใกล้ชิดที่พวกเรารักษามาอย่างยาวนาน…”
“พวกเราหมั้นกันแล้ว ดิฉันอยากแต่งงานกับเขาค่ะ”
“ไม่ว่าเจ้าจะหมั้นหมายกับเขาหรือไม่ก็ตาม เจ้าก็ยังไม่ควร… เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
ชายชราผู้ดื้อรั้นหาโอกาสที่จะเล่นงานชาร์ล็อต แต่เมื่อคำพูดของเธอจมลงไปในระบบความคิดของเขา อูกินก็มึนงงไปชั่วขณะ
“ดิฉันบอกว่าพวกเราหมั้นกันแล้วค่ะ”
ชาร์ล็อตทวนคำพูดของเธออย่างใจเย็น
ความเงียบสงัดเกิดขึ้นครู่หนึ่งท่ามกลางที่ประชุม เห็นได้ชัดว่าหลายคนไม่รู้เกี่ยวกับสัญญาหมั้นนี้ อูกินเริ่มเบิกตากว้างด้วยความตกใจ พลางจ้องไปที่เด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงผู้มุ่งมั่น จนอ้าปากค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างกายของเขาจะสั่นเทิ้ม นี่เป็นครั้งแรกตลอดการประชุม ที่การแสดงออกอันเคร่งขรึมของเขาพังทลายลงมาแสดงให้เห็นถึงรอยยิ้มแห่งความยินดี
“ยอดเยี่ยมที่สุด! ข้าว่าแล้วว่าเจ้าต้องรักอาณาจักรนี้โดยแท้จริง! ในเมื่อเจ้าหมั้นหมายกับโรเอล แอสคาร์ดแล้ว มันก็ไม่มีปัญหาใด ๆ อีก! ข้าคนนี้ขออวยพรให้กับการแต่งงานของเจ้า!”