บทที่ 195: พวกเจ้าสองคนไปถึงไหนกันแล้ว?
ภายในป่าของสวนร้อยปักษา โรเอลกำลังถือไม้เท้าสีดำเรียบ ๆ ที่มีรอยสลักสีทองอยู่บนสนามหญ้า ล้อมรอบด้วยสายตาของเหล่านกสัตว์อสูรที่อยู่ใกล้ ๆ แสงอาทิตย์สาดทะลุผ่านรอยแยกต้นไม้ด้านบนส่องลงมาบนร่างกายของเด็กชาย ทำให้รูปลักษณ์ที่อ่อนโยนของเขาดูอบอุ่นยิ่งขึ้น
บรรยากาศอันเงียบสงบและเด็กชายรูปงามทำให้ฉากนี้ค่อนข้างงดงามราวกับภาพวาด อย่างไรก็ตามโรเอลนั้นกำลังตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นสุด ๆ
“เปตรา? นั่นเธอเหรอ?”
“ใช่ นี่ข้าเอง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเจ้าหนู สบายดีรึเปล่าล่ะ?”
“ก็นะ… คงพูดได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่ว่าฉันสบายดี”
เมื่อได้ยินคำถามของเปตรา โรเอลก็มองไปที่ร่างกายของตนอย่างทำอะไรไม่ถูก ผ่านไปแล้วหนึ่งสัปดาห์นับตั้งแต่ที่เขาออกมาจากสถานะผู้เฝ้ามอง แต่อาการของเขากลับไม่ดีขึ้นเท่าไหร่เลย ถึงโรเอลจะไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขากังวลเกี่ยวกับมันเป็นอย่างมาก
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่โรเอลกังวลมากที่สุดในขณะนี้
“เปตรา ไม่ค่อยเห็นเธอออกมาเท่าไหร่เลย มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นงั้นเหรอ?”
“อืม ข้าสัมผัสได้ถึงพลังเวทที่คุ้นเคยจากบริเวณใกล้เคียง ข้าก็เลยออกมาดู แต่ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นอะไรเช่นนี้”
เสียงของเปตราแฝงไปด้วยความทรงจำและหวนคิดถึง ทำให้โรเอลสัมผัสได้ว่าสายตาของเธอกำลังมุ่งมาที่ไม้เท้าในมือของเขา ไม่แน่อาจจะมีความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างอสรพิษเก้าเศียรกับอสรพิษแห่งผืนปฐพี เขาจึงรีบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
“หากให้อธิบายสั้น ๆ แล้วล่ะก็ อสรพิษเก้าเศียรถือได้ว่าเป็นลูกหลานของข้า งูทั้งหมดในโลกนี้ถือเป็นลูกหลานของข้า แต่ต่างจากพวกเราสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ พวกมันเป็นสัตว์อสูรที่ไม่มีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด อสรพิษเก้าเศียรอาจจะทรงพลัง แต่มันก็ไม่มีจิตวิญญาณหรือความรู้สึก ทำได้เพียงแค่เชื่อฟังสัญชาตญาณดั้งเดิมของมัน… และข้าก็เป็นคนที่ฆ่ามันลงด้วยตัวเอง”
“หา?”
คำพูดสุดท้ายของเปตรา ทำให้โรเอลไม่ทันได้ตั้งตัว แต่เธอก็ยังคงเล่าเรื่องต่อ ย้อนกลับไปถึงยุคสมัยโบราณ
มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามระหว่างสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองฝ่าย ความขัดแย้งเรื่องคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของมนุษยชาติกลุ่มแรกบนโลกที่เทพีเซียสร้างขึ้น แม้แต่ตัวตนที่เก่าแก่และได้รับการยกย่องอย่างเปตราก็ยังต้องเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้ง ในฐานะเป็นตัวแทนของฝ่ายคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดสามประการ
ซึ่งเป็นศัตรูกับฝ่ายที่ต้องการยึดมั่นในสัญชาตญาณดั้งเดิมของตัวเอง ไล่ตามความแข็งแกร่งและความดุร้ายที่มากขึ้น โดยตัวแทนของเหล่าอสรพิษในกลุ่มนั้นก็คืออสรพิษเก้าเศียร
มันเป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่และตึงเครียด ที่สามารถอธิบายได้ด้วยคำสั้น ๆ เพียงแค่ว่า ‘เข้ากันไม่ได้’ เพราะนี่เกี่ยวข้องถึงความภักดีของพวกเขาที่มีต่อเทพีเซีย
เช่นเดียวกับการที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูง มีอำนาจเหนือกว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับต่ำกว่าที่ใช้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดเดียวกัน กฎเดียวกันนี้เองได้ถูกใช้มาตั้งแต่ในยุคโบราณ มีความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดทั้งหมดนั้นสามารถสืบย้อนเชื่อมโยงไปถึงเทพีเซียได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ตราบใดที่ใช้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของยุคโบราณ ไม่มีทางเลยที่จะหลีกเลี่ยงการเคารพบูชาเทพีเซีย
อย่างไรก็ตาม เทพธิดาผู้สร้างเซีย ต่างจากเทพเจ้าโบราณที่ชั่วร้ายองค์อื่น ๆ เธอไม่ได้ใช้พลังของตนเพื่อควบคุมลูก ๆ แต่เลือกที่จะให้พรแก่พวกเขาแทน
ให้กับเหล่าผู้ที่โง่เขลา เพื่อตีความโลกรอบตัวพวกเขา และมอบความแข็งแกร่งให้กับผู้อ่อนแอเพื่อเปลี่ยนชะตากรรมของตนเอง ด้วยวิธีการที่เรียกว่าคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด เทพีเซียได้มอบพรให้แก่สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน เธอเป็นมารดาที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา พวกเราจึงเรียกเธอว่าเทพธิดาแห่งปฐมกาลด้วยความเคารพ
โรเอลพยักหน้ารับคำพูดของเปตรา
นี่คือเหตุผลที่ทำให้เทพีเซียได้รับการยอมรับและเคารพจากทุกเชื้อชาติ นั่นก็เพราะ สิ่งที่ได้รับจากเธอมักจะจับต้องหรือพิสูจน์ได้เสมอ
ในยุคโบราณกาล ก่อนการถือกำเนิดของอารยธรรม ทุกเชื้อชาติต่างเชื่อมโยงกับธรรมชาติ เพียงแค่คำพูดปากเปล่าจึงไม่พอที่จะเอาชนะใจพวกเขาได้ มีเพียงผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น คำพูดถึงความหวังและความฝันไม่อาจโน้มน้าวใจใครได้ แม้แต่กับเหล่ายักษ์ที่ไม่ได้ฉลาดเท่าไหร่ก็ตาม
ยกตัวอย่างเช่น กรันด้า แม้ว่าบางครั้งเขาจะดูงี่เง่า แต่มันก็เป็นเพียงเพราะเขาพูดไม่เก่ง หากใครพยายามที่จะหลอกเขาล่ะก็ โครงกระดูกยักษ์คงจะไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะใช้หมัดของเขาแสดงให้เห็นว่ายักษ์จัดการกับคนที่พยายามหลอกลวงพวกเขาอย่างไร
สงครามแบ่งแยกสองฝ่ายระหว่างสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ นั้นเกิดขึ้นเพราะมีสัตว์อสูรกลุ่มหนึ่งที่ไม่อยากจะทำตามกฎเกณฑ์ของเทพีเซียอีกต่อไป ด้วยการวิวัฒนาการจากสัญชาตญาณดั้งเดิม พวกเขาค่อย ๆ หลุดพ้นจากการควบคุมของเทพีเซีย ทว่าน่าเสียดายที่พวกเขาไม่มีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมาควบคุมพลังเวทที่คุ้มคลั่ง ทำให้พวกเขากลายเป็นสัตว์อสูรที่รุนแรงและดุร้าย สร้างความหายนะไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
ท้ายที่สุด ทุก ๆ อย่างก็ได้ทวีความรุนแรงขึ้น จนกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ ระหว่างมารดาแห่งเทพธิดาและราชินีแห่งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเปตราเองก็ได้เข้าร่วมในสงครามนั้น ต่อสู้กับอสรพิษเก้าเศียรและสังหารมัน
“… สงครามเป็นเรื่องน่าเศร้า มันไม่ใช่ความทรงจำที่น่าจดจำ”
“ขอโทษที ฉันไม่ทันได้ระวัง…”
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของเปตรา โรเอลก็มองไปยังไม้เท้าในมือด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจถามอย่างระมัดระวัง
“เปตรา ไม้เท้านี้ทำจากซากของอสรพิษเก้าเศียร เธอ… โกรธรึเปล่า?”
“หืม? ฮะฮะ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ยังไงซะมันก็ตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ มันไม่มีความหมายอะไรที่จะต้องสนใจซากของมันอยู่แล้วนี่นา นอกจากนี้พวกมนุษย์เช่นเจ้าเองก็มักจะสร้างอุปกรณ์เวทจากกระดูกของบรรพบุรุษ พี่น้องร่วมสายพันธุ์ด้วยไม่ใช่รึ?”
“หา? มันก็…”
โรเอลถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง ในปัจจุบันการทำอุปกรณ์เวทจากซากมนุษย์ ถือเป็นการกระทำต้องห้าม ใครก็ตามที่พยายามเอาชิ้นส่วนซากมนุษย์มาทำอุปกรณ์เวทจะถูกจับกุมตัวในทันที และเผาทิ้ง
เนื่องจากอารยธรรมมนุษย์พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ วัสดุที่สามารถนำมาใช้สร้างอุปกรณ์เวทจึงถูกค้นพบมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้กระดูกมนุษย์อีกต่อไป แต่โรเอลเองก็ไม่ได้คิดที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดของเปตรา เพราะแค่การที่เธอไม่ขุ่นเคืองเกี่ยวกับไม้เท้านี้ก็ทำให้เขาดีใจมากแล้ว
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่โรเอลไม่ได้คาดคิดเอาไว้เกิดขึ้น
“มันค่อนข้างดีเลยทีเดียว อุปกรณ์เวทชิ้นนี้ ทำให้ข้าสนับสนุนเจ้าได้ง่ายขึ้นมาก”
“หา?”
“ร่างกายที่แท้จริงของข้านั้นใหญ่เกินไป หากเจ้าต้องการจะอัญเชิญข้ามาในโลกแห่งความเป็นจริงล่ะก็ อย่างน้อย ๆ ขั้นต่ำเจ้าก็ต้องมีระดับแก่นแท้ 3 แต่ตอนนี้เจ้ามีไม้เท้านี้แทนแล้ว”
เปตรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข
ทันใดนั้นร่างของโรเอลก็เปล่งแสงอันมืดครึ้มขึ้นมา พร้อมกับพลังเวทอันคุ้นเคย ทำให้ร่างกายของเขาอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นปลายด้านบนของไม้เท้าอสรพิษเก้าหัว ก็กลายเป็นเครื่องประดับรูปทรงเหมือนศีรษะของงูสีทองขนาดเล็ก
มันเป็นงูสีทองที่ดูสวยงามราวกับอัญมณีที่ถูกฝังลึกลงไปใต้พื้นดิน ขนาดดูไม่ใหญ่เท่าไหร่ หากเทียบกับร่างที่ใหญ่โตเหมือนภูเขาของเปตรา มันมีขนาดเล็กอย่างไม่น่าเชื่อ แต่โรเอลก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังเวทที่อยู่ในหัวงูทองคำนั้น มันเหมือนกับพลังเวทของอสรพิษแห่งปฐพี ดวงตาของมันเปี่ยมไปด้วยความลึกลับและอำนาจ
โรเอลรู้สึกทึ่งกับมันมาก ราวกับว่างูสีทองนั้นกำลังจ้องมาที่เขา จากนั้นเด็กชายก็หลุดจากภวังค์ด้วยการแจ้งเตือนของระบบ
【ไม้เท้าอสรพิษเก้าหัว (ขั้นสูงสุด)
ด้วยพลังของเทพธิดาแห่งผืนปฐพีจากโบราณกาล จิตวิญญาณอันชั่วช้าภายในไม้เท้าจึงได้รับการชำระล้าง เจตจำนงของมารดาคือคำสั่งเด็ดขาดสำหรับเหล่าอสรพิษ แสดงถึงความรุ่งโรจน์และเกียรติยศอันยิ่งใหญ่
เนตรศิลาต้องสาป
การสำแดงพลังอำนาจของเทพธิดาแห่งปฐพี ปาฏิหาริย์ที่ควรมีอยู่เพียงแค่ในยุคโบราณกาลเท่านั้น สามารถเปิดใช้งานได้โดยการใส่พลังเวทลงไป และร่ายคาถาเวทออกมาผ่านตาของงูบนไม้เท้า ความแรงของคาถาเวท ขึ้นอยู่กับพลังเวทที่ใช้ในการร่าย และระยะเวลาที่ร่าย
ข้อจำกัดการใช้ : 1 ครั้งในทุก ๆ 3 วัน】
“!”
เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดของอาวุธใหม่ โรเอลก็รู้สึกราวกับว่าเขาเพิ่งถูกล็อตเตอรี่ เดิมทีไม้เท้าอสรพิษเก้าหัวก็ทรงพลังมากอยู่แล้ว แต่เด็กชายนั้นยังไม่ค่อยพอใจกับความสามารถ ‘ผู้ปกครองแห่งอสรพิษ’ หรือ ‘การฟื้นฟูอนันตกาล’ เท่าไหร่
แน่นอนว่าพิษของอสรพิษเก้าเศียรเป็นอะไรที่ทรงพลังและน่ากลัวมาก แต่มันไม่ใช่ความเชี่ยวชาญของโรเอล นอกจากนี้หากพิจารณาถึงตัวตนของเขา มันก็ดูไม่เหมาะกันสักเท่าไหร่ด้วย
การใช้พิษเป็นเส้นทางที่ไม่ค่อยดีนัก เป็นสาเหตุให้มันถูกพลังเหนือธรรมชาติอื่น ๆ บดบัง และไม่ควรเป็นทักษะหลัก ๆ ของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ นอกจากนี้ ทายาทของตระกูลขุนนางที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าพันปีเองก็ไม่ควรที่จะใช้พิษเป็นการโจมตีหลัก หากมีทางเลือกเขาก็ควรจะเลือกวิธีอื่น
ส่วนการฟื้นฟูอนันตกาล แม้ว่ามันจะเป็นความสามารถที่มีทั้งการใช้งานเชิงรุกและการป้องกัน ทำให้โรเอลสามารถเปลี่ยนไม้เท้าเป็นอสรพิษเก้าเศียร เพื่อป้องกันการโจมตี หรือสั่งให้โจมตีศัตรูได้ อย่างไรก็ตามมันมีระยะโจมตีที่จำกัดมาก ยิ่งเขาพยายามโจมตีออกไปไกลมากเท่าไหร่ การโจมตีก็ยิ่งมีพลังน้อยลงไปเท่านั้น
ทว่า ปัญหาเหล่านี้ได้รับการแก้ไขแล้วด้วยการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน
เนตรศิลาต้องสาปเป็นความสามารถเฉพาะของเทพธิดาแห่งผืนปฐพี เป็นคาถาเวทที่มีตัวตนอยู่ในตำนานเท่านั้น และโรเอลเองก็เคยได้ใช้มันมาก่อน ในการจัดการกับผู้ใช้วิชาหุ่นเชิดดอยล์ ซึ่งเป็นถึงผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 2 มันเป็นหนึ่งในคาถาเวทที่โรเอลอยากได้ และในที่สุดตอนนี้ความปรารถนาของเขาก็เป็นจริงแล้ว
แม้ว่ามันจะมีข้อจำกัดการใช้งานที่รุนแรง เช่นต้องเล็งทิศทางของศีรษะงูบนไม้เท้าอย่างระมัดระวัง และระยะเวลาทิ้งช่วงที่ยาวนานถึงสามวัน แต่หากพิจารณาถึงความรุนแรงของคาถาเวทอันน่าเหลือเชื่อนี้ และการที่มันไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ มันก็ยังถือว่าอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้ ไม่ว่าจะในกรณีใด โรเอลก็พึงพอใจกับผลลัพธ์นี้มาก
“เป็นยังไงบ้าง? ไม้เท้านั่นน่าจะได้รับคาถาเวท เนตรศิลาต้องสาป หลังจากที่ได้รับพรของข้าใช่ไหม? คิดว่าซะว่ามันเป็นของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้าก็แล้วกัน”
งูสีทองที่มีลวดลายสวยงาม นอนอย่างเกียจคร้านภายใต้ดวงอาทิตย์พลางพูดด้วยน้ำเสียงอันคุ้นเคยและไพเราะ หลังจากความปลื้มปิติที่ถาโถมเข้ามา โรเอลก็ควบคุมอารมณ์ให้สงบ และเริ่มสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของเปตรา
นี่เป็นครั้งแรกที่เปตราสื่อสารกับโรเอลตั้งแต่ออกมาจากสถานะผู้เฝ้ามอง แต่กรันด้าสหายคู่ใจของเขานั้นกลับยังไม่โผล่มาเลยสักครั้ง บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่าสภาพปัจจุบันของโรเอลยังไม่สามารถทนต่อการเชื่อมต่อกับกรันด้าได้ แต่ถึงกระนั้นเด็กชายก็ยังคิดถึงสหายของเขาอยู่ดี
“ข้าสามารถออกมาได้เนื่องจากอุปกรณ์เวทในมือเจ้าทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง แต่ยักษ์นั้นไม่ได้โชคดีเหมือนข้า บางทีตอนนี้เขาคงจะกำลังนั่งอย่างไม่สบายใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ในดินแดนของเขา”
“ถ้าฉันจำไม่ผิด พวกเธอสองคนก็ติดต่อกันได้ใช่ไหม? กรันด้าได้พูดอะไรบ้างรึเปล่า?”
เมื่อนึกถึงยักษ์ตัวนั้นที่ชอบกังวลไปซะทุกเรื่อง โรเอลก็ถามขึ้นมา ทันใดนั้นเปตราก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่
“… เขาพูดอะไรบางอย่าง แต่มันก็ไม่สำคัญหรอก มันสายเกินไปแล้ว”
“หมายความว่ายังไง?”
“ยักษ์นั่นพยายาม ห้ามไม่ให้เจ้าแตะต้องสัตว์ประหลาดน้ำแข็งตัวนั้น และดูดซับพลังของมันเข้ามา”
“…”
มันสายไปแล้วพี่ชาย…
โรเอลตบหน้าผากพลางถอนหายใจยาว จากนั้นเขาก็หันไปหาเปตราแล้วถามต่อ
“เปตรา เธอมีอะไรจะบอกฉันอีกรึเปล่า?”
“ข้าเหรอ? ไม่มีอะไรมากหรอก เรื่องส่วนใหญ่ที่อยากพูดข้าก็พูดไปแล้ว…จะว่าไปแล้วเรื่องของเจ้ากับเด็กสาวคนนั้นไปถึงไหนกันแล้วล่ะ?”
จู่ ๆ งูสีทองก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ มันยืดตัวตรงขึ้นมาพร้อมถามอย่างตื่นเต้น
“เจ้าต้องการพรสำหรับการให้กำเนิดด้วยไหม?”