บทที่ 197: คำเตือนครั้งสุดท้าย
“ยินดีที่ได้พบ คุณชาร์ล็อต นี่ก็ผ่านมานานแล้ว นับจากตอนที่พวกเราได้พบกันครั้งสุดท้ายที่คฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ด ดิฉันขอทราบได้ไหมว่าธุรกรรมระหว่างคุณกับท่านพี่ ดำเนินไปถึงไหนแล้วตอนนี้”
“ยินดีที่ได้พบเช่นกัน คุณอลิเซีย มันผ่านมานานมากแล้วจริง ๆ คุณยังคงดูดีเหมือนเดิมไม่มีผิด ดูเหมือนว่าคุณจะนอนหลับได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจะไม่มีโรเอลอยู่ด้วยกัน”
ในห้องจัดเลี้ยงสุดหรู เด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงในชุดลายดอกกุหลาบสีแดงเข้ม กำลังจ้องตาอยู่กับเด็กสาวผมสีเงินในชุดสีขาวพลิ้วไหว รอยยิ้มอันเป็นมิตรบนใบหน้าของพวกเธอขณะที่กำลังทักทายกันอย่างใกล้ชิด ท่วงทำนองอันไพเราะถูกบรรเลงอย่างแผ่วเบาอยู่เบื้องหลัง ล้อมรอบไปด้วยชายหญิงที่แต่งกายอย่างหรูหรา พูดคุยกันพร้อมแก้วไวน์ในมือของพวกเขา นอกจากนี้ยังมีแขกจำนวนมากเต้นรำกันอย่างเพลิดเพลินที่ใจกลางห้องจัดเลี้ยง เคลื่อนตัวไปตามท่วงทำนอง
มันเป็นฉากแห่งความปรองดองสามัคคี
วันนี้เป็นวันครบรอบรำลึกถึงวันสำคัญในอดีตเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว วันที่ตระกูลแอสคาร์ดได้กดดันให้จักรวรรดิออสทีนต้องลงนามข้อตกลงยุติสงครามกับ สมาคมพ่อค้าโรซ่า ยอมรับความเป็นอิสระเอกเทศของพวกเขาอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างอดีตศัตรูก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นวันแห่งการเฉลิมฉลอง เพื่อระลึกถึงการยืนหยัดอย่างไม่ย่อท้อของชาวโรซ่าเพื่อเสรีภาพนับร้อยปี ดังนั้นมันจึงได้รับการตั้งชื่ออย่างเหมาะสมว่าเป็น ‘วันประกาศอิสรภาพ’ และมีความสำคัญเป็นอันดับสองรองจากวันชาติของเมืองโรซ่า
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้การเฉลิมฉลองได้ครึกครื้นอลังการงานสร้างขึ้นไปอีก เนื่องจากการมาถึงของแขกผู้มีเกียรติ เกิดเป็นบรรยากาศที่รื่นเริงมากขึ้น
คาร์เตอร์ แอสคาร์ด ผู้ปกครองแห่งเขตการปกครองแอสคาร์ด ได้มาเยี่ยมที่นี่พร้อมกับลูกชายที่เป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของเขา โรเอล แอสคาร์ด พร้อมเหล่าทหารจากเขตการปกครองแอสคาร์ด รวมถึงเหล่าทหารที่เกษียณอายุไปแล้ว ผู้ที่เคยได้เข้าร่วมในพิธีการก่อตั้งสมาคมพ่อค้าโรซ่า เคยต่อสู้เคียงข้างกับชาวโรซ่าในอดีต เพื่อการเรียกร้องเอกราชระหว่างสงครามอันโหดร้าย ทำให้พวกเขาเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งที่สุดในวันนี้
ข่าวนี้ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ไปทั่วเมืองโรซ่า ทันทีที่ขบวนรถของตระกูลแอสคาร์ดเข้ามาถึงตัวเมืองในตอนเที่ยง ท้องถนนก็เต็มไปด้วยฝูงชนจำนวนมาก ทุกคนต่างต้องการพบผู้ปกครองแห่งเขตการปกครองพันธมิตรใกล้เคียง ที่มีส่วนร่วมในการก่อตั้งอาณาจักรของพวกเขาแต่อยู่อย่างถ่อมตัวมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้
ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย เพราะตระกูลแอสคาร์ดนั้นเป็นตระกูลที่ค่อนข้างลึกลับสำหรับพวกเขา ตระกูลแอสคาร์ดเป็นที่รู้จักกันในฐานะตระกูลขุนนางที่มีประวัติศาสตร์เบื้องหลังยาวนานกว่าพันปี เต็มไปด้วยผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่โดดเด่นในทุก ๆ ชั่วอายุคน นอกจากนั้นแล้ว ชาวโรซ่า ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพวกเขา แม้ว่าจะเป็นอาณาจักรเพื่อนบ้านกันก็ตาม
เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าตระกูลแอสคาร์ด นั้นค่อนข้างเก็บตัว อันที่จริงแล้ว ก่อนที่โรเอลจะเริ่มแผนการพัฒนาเขตการปกครองของเขา ตระกูลแอสคาร์ดแทบจะไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งใด ๆ เลยที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทหาร
ฝูงชนส่วนใหญ่มารวมตัวกันตามท้องถนน คาดหวังว่าจะได้เห็นอะไรที่สำคัญ พวกเขาตั้งใจที่จะเข้าร่วมความโกลาหลนี้ และเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศอันสนุกสนาน ไม่นานนักพวกเขาก็ได้รับสิ่งที่เฝ้ารอคาดหวัง
เด็กสาวผู้มีรูปลักษณ์สวยงามปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขา ชวนให้นึกถึงพระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า ผมสีเงินของเธอเปล่งประกายเป็นมันเงา และผิวเรียบเนียนไร้ที่ติ ราวกับงานศิลปะที่มีชีวิต นัยน์ตาของเธอมีสีแดงเข้มที่แม้แต่ทับทิมที่มีราคาแพงที่สุดก็ไม่อาจเทียบได้ ทันทีที่เด็กสาวปรากฏตัวขึ้น ดวงอาทิตย์ก็ดูเหมือนจะถูกบดบังด้วยแสงอันสว่างไสว ทำให้ฝูงชนทั้งหมดต้องตาพร่าไปตาม ๆ กัน
อลิเซีย แอสคาร์ด ชื่อนี้กำลังจะกระจายไปทั่วเมืองโรซ่าในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ในแง่ของความโดดเด่นเรียกได้ว่าเธอโดดเด่นยิ่งกว่าคาร์เตอร์เสียอีก การปรากฏตัวของเธอแม้จะเพียงชั่วอึดใจ แต่ก็ทรงพลัง กลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของตระกูลแอสคาร์ด
แน่นอนว่านี่เป็นปฏิกิริยาส่วนใหญ่ของประชาชนทั่วไป และเหล่าขุนนางหนุ่มผู้มีความรัก ผู้ทรงอิทธิพลที่มีอำนาจเองก็กำลังดูเหตุการณ์นี้ด้วยเช่นกัน แต่จุดสนใจของพวกเขานั้นอยู่ที่อื่น
สิ่งที่เหล่าผู้มีอำนาจสนใจมากกว่า คือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการมาเยือนอย่างกะทันหันของตระกูลแอสคาร์ด พวกเขาสงสัยว่า มันเป็นการบ่งบอกถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งยิ่งขึ้นระหว่างเมืองโรซ่า กับ เขตการปกครองแอสคาร์ดรึเปล่า กองทัพของเมืองโรซ่าสนใจเกี่ยวกับการต้อนรับเหล่าทหารผ่านศึกเก่าที่คาร์เตอร์นำมาด้วยมากกว่า เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะพักอยู่ที่นี่ได้อย่างสบาย ส่วนบรูซ ผู้นำตระกูลโซโรฟยานั้นให้ความสนใจกับทัศนคติของคาร์เตอร์ที่มีต่อการหมั้นหมายมากที่สุด
คนสุดท้ายก็คือชาร์ล็อต เห็นได้ชัดจากสถานการณ์ปัจจุบันในห้องจัดเลี้ยง เธอมีอลิเซียเป็นจุดสนใจ และตอนนี้เด็กสาวก็ได้เริ่มเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ของตนแล้ว
ทั้งคู่มองดูบรรยากาศอันกลมกลืนกันรอบตัว ก่อนที่ชาร์ล็อตจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ เธอต้องยอมรับเลยว่าตระกูลแอสคาร์ดจัดการกับสถานการณ์นี้ได้อย่างชาญฉลาดมากกว่าที่เธอคาดเอาไว้มาก
ตอนแรกชาร์ล็อตคิดว่าตระกูลแอสคาร์ดจะส่งกองทัพอันทรงพลังของพวกเขามากดดันตระกูลโซโรฟยา ให้ส่งตัวโรเอลคืน แต่เธอก็รู้ดีว่าพวกเขามีปัญหาสองประการหากจะทำแบบนั้น
ประการแรก มันจะยากสำหรับพวกเขาที่จะทำมันอย่างเงียบ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยที่พวกเขาไม่ต้องการจะเปิดเผยความจริงอันน่าอับอายว่า ผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูล ที่ดำรงตำแหน่งตัวแทนผู้ปกครองเขตการปกครองได้ถูกลักพาตัวไป
ประการที่สอง การระดมพลของกองทัพอาจทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงไปมาก ต่อให้ฝ่ายตระกูลโซโรฟยาและตระกูลแอสคาร์ดจะมีสัมพันธไมตรีแน่นแฟ้นต่อกันเพียงใดก็ตาม
ทว่าท้ายที่สุด ตระกูลแอสคาร์ดเลือกที่จะเข้ามาเยี่ยมเยียนตระกูลโซโรฟยา ในวันประกาศอิสรภาพของเมืองโรซ่า นอกจากนี้พวกเขายังได้นำเหล่าทหารผ่านศึกมาด้วยเป็นเหตุผลสำหรับการเคลื่อนพล โดยพื้นฐานแล้วนี่ทำให้ตระกูลแอสคาร์ดประสบความสำเร็จในการรักษาความได้เปรียบโดยไม่ต้องประนีประนอมอะไรเลย
หลังจากนี้ ไม่ว่าตระกูลแอสคาร์ดจะบังคับตระกูลโซโรฟยาให้มอบตัวโรเอลกลับคืนมา หรือตัดสินใจที่จะยุติสัญญาหมั้น เมืองโรซ่าก็ต้องปฏิบัติตามอย่างช่วยไม่ได้ มิฉะนั้นพวกเขาจะถูกตราหน้าว่ากระทำการที่ไม่เหมาะสม โดย ‘พยายามที่จะควบคุมผู้สืบทอดของตระกูลแอสคาร์ดในอาณาเขตของพวกเขา’ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ตอนนี้ตระกูลแอสคาร์ดอยู่เหนือกว่า
ดูเหมือนว่าเราจะแสดงท่าทีเฉยเมยในสถานการณ์นี้ต่อไปไม่ได้ซะแล้วสิ
ชาร์ล็อตกำหมัดแน่น พลางสบถในใจและเลือกที่จะเคลื่อนไหวตามที่ตนเองเชื่อมั่น ทันทีที่งานเลี้ยงเริ่ม เธอก็ตรงไปหาคาร์เตอร์และทักทายเขา
“เจ้าคือบุตรสาวของบรูซใช่ไหม? ยินดีที่ได้รู้จักนะ ชาร์ล็อต”
นี่คือคำตอบของคาร์เตอร์ต่อคำทักทายของชาร์ล็อต คำพูดของเขาสุภาพและดูจริงใจ อย่างไรก็ตาม ชาร์ล็อตกลับรู้สึกหัวใจสลายเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น
คาร์เตอร์นั้นรู้เกี่ยวกับสัญญาหมั้น 100 ปี ระหว่างชาร์ล็อตกับโรเอลดี ทั้ง ๆ ที่เด็กสาวตรงหน้าเขาอาจจะเป็นถึงลูกสะใภ้ในอนาคตของตระกูลแอสคาร์ด แต่คาร์เตอร์กลับเลือกที่จะเรียกเธอ แบบเดียวกันกับที่เรียกคนแปลกหน้าแทน เหมือนเป็นการปฏิเสธที่จะพูดถึงสัญญาการหมั้นหมาย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับชาร์ล็อต คาร์เตอร์ไม่แม้แต่จะยกเลิกสัญญาการหมั้นหมาย เขาเลือกที่จะปฏิเสธการมีอยู่ของมันลงโดยสิ้นเชิง
ชาร์ล็อตรู้สึกขมขื่นอย่างสุดซึ้ง พยายามบังคับตัวเองให้แลกเปลี่ยนความรื่นรมย์กับชายคนนี้ ก่อนจะเดินจากไป แม้จะรู้สึกผิดหวัง แต่เด็กสาวก็รู้ดีว่าสิ่งต่าง ๆ เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น มันยังเร็วเกินไปที่เธอจะยอมแพ้ นี่ยังไม่ใช่บทสรุปสำหรับเธอ! อย่างไรก็ตามการถูกปฏิเสธจากพ่อตาในอนาคต ก็ทำให้เด็กสาวรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
ในเวลานี้เองที่ชาร์ล็อตได้พบกับเด็กสาวผมสีเงิน ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ทางโชคชะตาของเธอ
แม้แต่การทักทายของพวกเธอ ก็ยังคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นดินปืนที่แรงจนสำลัก ระหว่างที่พวกเธอพูดคุยกันอย่างสนิทสนม ทั้งสองก็เริ่มขว้างมีดใส่กันด้วยคำพูด เฉือนบาดแผลของกันและกัน
“คุณชาร์ล็อต ดิฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะเดินทางมาไกลถึงขนาดนี้เพื่อมาปิกนิก ถึงขนาดแวะมาที่บ้านของตัวเอง ดูเหมือนว่าคำจำกัดความว่า ปิกนิก ของตระกูลโซโรฟยา จะแตกต่างจากที่อื่น ๆ”
“จะให้ดิฉันทำยังไงได้ล่ะ? โรเอลต้องการสัมผัสกับวัฒนธรรมของอาณาจักรอื่น ถือเป็นความโชคดีของพวกเราที่มีเขาเป็นแขก”
“โอ้? ชาวโรซ่าเห็นว่า การลักพาตัวคนและลากพวกเขากลับบ้านถือว่าเป็นการเชิญแขกงั้นเหรอคะ? ดิฉันสนใจวัฒนธรรมที่คุณพูดถึงมากเลยทีเดียว”
“คุณอลิเซีย ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าใจบางอย่างผิดไป นอกจากนี้ ถ้าคุณต้องการที่จะพูดถึงวัฒนธรรมจริง ๆ ล่ะก็ ดิฉันต้องขอบอกว่าการจงใจทำลายสัญญาหมั้นระหว่างคู่สามีภรรยานั้นต่ำช้ากว่ามาก”
ดวงตาสีมรกตของชาร์ล็อตเปล่งประกายอย่างแหลมคม และดวงตาสีทับทิมของอลิเซียเองก็หรี่ลงเช่นกัน ทั้งสองสบตากันระหว่างที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยเสียงหัวเราะอันสนุกสนานของฝูงชนรอบตัว ที่ดูเหมือนจะล่องลอยห่างออกไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากเงียบอยู่ไประยะหนึ่ง ในที่สุดอลิเซียก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“คุณชาร์ล็อต คุณคิดว่าตัวเองจะทำอะไรตามใจก็ได้งั้นเหรอ? คุณคิดว่าดิฉันจะทำอะไรไม่ถูกต่อหน้าคุณงั้นเหรอ? เหตุผลเดียวที่ทำให้คุณมีโอกาสนี้ เป็นเพราะดิฉันไม่เคยลงมือด้วยตัวเองมาก่อน”
“คิดซะว่านี่เป็นคำเตือนครั้งสุดท้ายที่ดิฉันจะบอกกับคุณ คืนท่านพี่มาให้ฉันเดี๋ยวนี้!”