บทที่ 204: ร้อนทั้งสองฝ่าย
ชาร์ล็อต โซโรฟยา ไม่เคยรู้สึกเครียดขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
“ตามที่ระบุไว้ใน ‘พระราชบัญญัติการหมั้นหมายของสมาคมพ่อค้าโรซ่า’ ไม่มีปัญหาใด ๆ ในสัญญาหมั้นระหว่างชาร์ล็อต โซรอฟยาและโรเอล แอสคาร์ด อย่างไรก็ตาม หากเป็นมาตราที่ 43 วรรค 1 ของ ‘พระราชบัญญัติการหมั้นหมายของจักรวรรดิเซนต์เมซิท’ ระยะเวลาของสัญญาใด ๆ ที่ถูกลงนามโดยขุนนางของจักรวรรดิเซนต์เมซิท จะมีผลยาวนานสูงสุดเพียง 150 ปี และการหมั้นหมายจะต้องเสร็จสิ้นภายในสามชั่วอายุคนเท่านั้น”
ผู้พิพากษาสูงสุด คาสเตส กล่าวประโยคที่เปรียบดังการทิ้งระเบิดลงในห้องประชุมอย่างใจเย็น มันแสดงผลออกมาในทันที ทนายทุกคนของฝั่งของโรซ่าต่างอ้าปากค้างไปตาม ๆ กันด้วยความประหลาดใจ พวกเขาตระหนักได้ในทันทีว่าตนเองเพิ่งทำผิดพลาดร้ายแรง เด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงที่นั่งอยู่ข้างหลังพวกเขาเองก็หน้าซีดลงไปเล็กน้อยเช่นกัน เธอแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยิน
สัญญาหมั้นของชาร์ล็อตและโรเอลเพิ่งผ่านไปเพียงร้อยปีกว่า ๆ ซึ่งหมายความว่าพวกเขายังมีระยะเวลาอีกพอสมควรก่อนที่เวลาสัญญาจะหมด อย่างไรก็ตามปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้ แต่เป็นเงื่อนไขที่ระบุว่าการหมั้นหมายจะต้องสำเร็จผลภายในสามชั่วอายุคน
บลังก์ แอสคาร์ด ปู่ของโรเอลอายุเพียงยี่สิบเท่านั้นในตอนที่เขายื่นมือเข้าช่วยเมืองโรซ่าประกาศอิสรภาพ ทว่า ทินดิ โซโรฟยา ผู้นำตระกูลโซโรฟยานั้นอายุได้หกสิบเศษแล้ว แม้ว่าสำหรับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติบนโลก วัยหกสิบจะถือว่ายังอยู่ในช่วงวัยที่ดีที่สุดก็ตาม แต่มันก็เป็นที่ชัดเจนว่าทั้งสองคนนั้นไม่ใช่คนรุ่นเดียวกัน
ตอนที่พวกเขาเซ็นสัญญาหมั้นกัน ลูกสาวของทินดิ ก็มีอายุได้สี่สิบปีและแต่งงานแล้ว จึงเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ตั้งใจให้อีกฝ่ายแต่งงานกับเธอ แต่เป็นหลานสาวของเขา น่าเสียดายที่บลังก์เองก็แต่งงานแล้วในตอนนั้น สัญญาหมั้นจึงถูกส่งต่อไปยังอีกรุ่น
แต่แล้วก็เกิดปัญหาขึ้น
โรเอล แอสคาร์ด ผู้เป็นหลานชายของบลังก์ อยู่ในระยะสามชั่วอายุคน ดังนั้นสัญญาหมั้นหมายจึงยังคงมีผลสำหรับเขา แต่สำหรับชาร์ล็อต โซโรฟยา นั้นเป็นหลานของลูกสาวของทินดิ ทำให้เธอถือเป็นรุ่นที่สี่
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สัญญาหมั้นเป็นโมฆะในรุ่นของชาร์ล็อต
เมื่อหน่วยสืบสวนดึงข้อเท็จจริงข้อนี้ออกมา ทนายทุกคนในฝ่ายของเมืองโรซ่าชะงักงันเงียบกริบไปในทันที ไม่ว่าพวกเขาจะพูดเบี่ยงประเด็นหรือแก้บริบทเพียงใด มันก็ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเช่นนี้ได้
ปัง!
เสียงกระแทกโต๊ะดังมาจากด้านข้างของชาร์ล็อต
“นี่ล้อกันเล่นใช่ไหม!”
ด้วยความโกรธ เด็กสาวทุบโต๊ะไม้ให้แหลกเป็นชิ้น ๆ ชาร์ล็อตลุกขึ้นยืนจ้องเขม็งไปที่เด็กสาวผมสีทองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ทางด้านของนอร่านั้น เธอรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น องค์หญิงหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบอย่างไม่เร่งรีบ ก่อนจะตอบสนองต่อชาร์ล็อตผู้โกรธเกรี้ยว
“มีอะไรผิดปกติงั้นหรือ ชาร์ล็อต?”
“แน่นอน! คิดว่าข้าไม่เคยอ่านกฎหมายของจักรวรรดิเซนต์เมซิทมาก่อนรึไง? เดิมทีมันไม่มีข้อเพิ่มเติมดังกล่าวในพระราชบัญญัติการหมั้นหมายของจักรวรรดิเซนต์เมซิท!”
“ตอนนี้เจ้ากำลังพยายามปฏิเสธความเป็นจริงงั้นเหรอ? เจ้าได้อ่าน ‘พระราชบัญญัติการหมั้นหมายของจักรวรรดิเซนต์เมซิท’ แบบฉบับดั้งเดิมแล้วหรือยัง? ถ้าไม่ เจ้าก็ควรเงียบปากซะ ไม่ก็พูดอย่างระมัดระวัง ผู้บันทึกเหตุการณ์ของฝั่งเรากำลังจดบันทึกทุกคำพูดของเจ้าอยู่”
“นอกจากนี้ ชาร์ล็อต ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าใจอะไรผิดไปนะ ข้าไม่เคยปฏิเสธสัญญาหมั้นระหว่าง ตระกูลแอสคาร์ดกับตระกูลโซโรฟยา คนเดียวที่ข้าปฏิเสธคือเจ้า”
นอร่าหวนคิดถึงคำพูดที่ชาร์ล็อตพูดกับเธอเมื่อวันก่อน พลางเพลิดเพลินในช่วงเวลาแห่งการล้างแค้น
“สัญญาหมั้นร้อยปีระหว่างตระกูลแอสคาร์ดและตระกูลโซโรฟยา มีความหมายทางประวัติศาสตร์อันยอดเยี่ยม ดังนั้นข้าจะทำให้มรดกชิ้นสำคัญชิ้นนี้เสียหายได้อย่างไร? ทั้งหมดที่ข้าทำคือการปฏิบัติตามเงื่อนไขของมรดกชิ้นนี้อย่างเหมาะสม ข้าเกรงว่าเจ้าไม่ผ่านเกณฑ์ ชาร์ล็อต ไม่แน่ถ้าเป็นป้าของเจ้า ข้าอาจจะพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“เจ้า!!!”
“นายหญิงได้โปรดใจเย็น ๆ ก่อนขอรับ!”
คาลู ยกมือขึ้นเพื่อหยุดชาร์ล็อตที่กำลังโกรธจัด ด้วยประสบการณ์ในด้านกฎหมาย เขารู้ดีว่าการโมโหเสียอารมณ์ไม่ให้ประโยชน์อะไร สิ่งที่พวกเขาทำได้มีเพียงการเปลี่ยนกลยุทธ์
“ผู้พิพากษาคาสเตส ข้าขอถามได้ไหมว่ามาตรา 43 วรรค 1 ของ ‘พระราชบัญญัติการหมั้นหมายของจักรวรรดิเซนต์เมซิท’ บัญญัติขึ้นในปีใด ท่านได้นำต้นฉบับมาที่นี่ด้วยหรือไม่? จากที่ข้ารู้ หนังสือกฎหมายของจักรวรรดิเซนต์เมซิทที่เผยแพร่ภายในสมาคมพ่อค้าโรซ่าของเราไม่มีประโยคดังกล่าว”
“มาตรานี้ถูกบัญญัติเพิ่มเข้าไปในช่วงสงครามเมื่อ 120 ปีที่แล้ว ในฤดูใบไม้ร่วงของยุคที่สามปี 890 มีการฉ้อโกงการแต่งงานข้ามรุ่นมากมายในตอนนั้น เพื่อที่จะรักษาระเบียบภายในตระกูลขุนนางของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ฝ่ายกฎหมายของเราจึงได้ปรับเปลี่ยนพระราชบัญญัติการหมั้นหมายบางส่วน โดยมาตรา 43 วรรค 1 เองก็เป็นหนึ่งในนั้น”
ผู้พิพากษาคาสเตส อธิบายบริบทเบื้องหลังมาตราดังกล่าวอย่างมีคารมคมคาย เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับคำพูดของเขา แต่คาลูก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาโบกมือและตะโกนด้วยความโกรธจัด
“ไร้สาระ! ผู้พิพากษาคาสเตส ตอนนี้พวกเรากำลังยืนอยู่ในห้องพิจารณาคดีอันศักดิ์สิทธิ์! ท่านกำลังบอกว่า 120 ปีที่แล้วจักรวรรดิเซนต์เมซิทแก้ไขพระราชบัญญัติการหมั้นหมาย? หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดข้อเพิ่มเติมนี้ ถึงไม่มีอยู่ในหนังสือกฎหมายของจักรวรรดิเซนต์เมซิทที่จำหน่ายในตลาดทั่วไป?”
“นั่นเป็นเพราะว่าหนังสือกฎหมายที่เผยแพร่โดยจักรวรรดิเซนต์เมซิทเหล่านั้นมีไว้สำหรับพลเมืองทั่วไป ในขณะที่บทบัญญัติมาตราที่เพิ่มมาใน ‘พระราชบัญญัติการหมั้นหมายของจักรวรรดิเซนต์เมซิท’ มุ่งเป้าไปที่บรรดาขุนนาง ด้วยเหตุนี้ มาตราเหล่านี้จึงไม่รวมอยู่ในหนังสือกฎหมายที่เผยแพร่อย่างกว้างขวางตลอดร้อยปีที่ผ่านมา มาตราเพิ่มเติมนี้ถูกเรียกใช้เป็นอย่างน้อย ๆ หลายสิบกรณี ดังนั้นการมีอยู่ของมาตรานี้จึงไม่สามารถหักล้างได้”
“เข้าใจแล้ว ทางเราจะยอมรับว่ามีมาตรา 43 วรรค 1 ใน ‘พระราชบัญญัติการหมั้นหมายของจักรวรรดิเซนต์เมซิท’ แต่ทางเรามีข้อสงสัยเกี่ยวกับระยะเวลาและการบังคับใช้ มาตราเพิ่มเติมนี้จะมีผลก็ต่อเมื่อมันถูกบัญญัติก่อนการลงนามในสัญญาหมั้น ทว่ามันได้ถูกบัญญัติภายหลังการลงสัญญา”
“นอกเหนือนี้ หากพิจารณาตามความจริงที่ว่า สัญญาหมั้นนั้นถูกลงนามในเมืองโรซ่า ไม่ใช่จักรวรรดิเซนต์เมซิท เราจึงเชื่อว่ามาตราเพิ่มเติมดังกล่าวที่มุ่งเป้าไปยังขุนนางของจักรวรรดิเซนต์เมซิท นั้นใช้ไม่ได้กับตระกูลโซโรฟยา”
การพลิกกลับครั้งใหญ่ของคาลู ทำให้กระบวนการศาลทั้งหมดต้องหยุดชะงักอีกครั้ง เมื่อถึงจุดนี้ ทนายของทั้งสองฝ่ายต่างก็ตาแดงไปตาม ๆ กัน พวกเขาใช้อุบายหลอกลวงกันอย่างไม่ลังเล แม้แต่ผู้พิพากษาศาลฎีกาคาสเตส ก็ยังรู้สึกเบื่อหน่ายกับการที่ทนายความของเมืองโรซ่าหยิบเอารายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ มาปรับรูปคดีของพวกเขา เขาเน้นย้ำถึงการยอมรับและการบังคับใช้กฎหมายในระดับสูงในจักรวรรดิเซนต์เมซิท แต่คาลูกลับเมินเฉยต่อเรื่องนี้ โดยเน้นเพียงสองประเด็น
หนึ่ง เขาเรียกร้องเอกสารตอบรับจากตระกูลแอสคาร์ด เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของพระราชบัญญัติการหมั้นหมายของจักรวรรดิเซนต์เมซิท
สอง เขายืนยันว่าข้อมาตราเพิ่มเติมของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ไม่ควรถูกนำมาใช้กับขุนนางของเมืองโรซ่า
การโต้เถียงอย่างดุเดือดยังคงเดือดดาลในห้องพิจารณาคดี ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างเดือดดาลไปตาม ๆ กัน
ด้านหลังเหล่าทนายความชาวโรซ่า ชาร์ล็อตรู้สึกว่าหัวใจของเธอเย็นยะเยือกกลายเป็นน้ำแข็ง เพราะไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร เธอก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีการโต้เถียงกันเกี่ยวกับสัญญาหมั้นระหว่างเธอกับโรเอลอยู่ดี ในตอนนี้ หากจะกล่าวว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะจนกว่าจะได้ข้อสรุปก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย แม้ว่าทีมทนายความของเธอจะสามารถรักษาสัญญาหมั้นเอาไว้ได้ด้วยไหวพริบอันเฉียบแหลม แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถเรียกร้องให้มันเป็นทางการได้อย่างเต็มรูปแบบอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้อาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาร์ล็อตจึงได้พังทลายลงในที่สุด
…
ในขณะเดียวกัน ในคฤหาสน์ของตระกูลโซโรฟยา อลิเซียเองก็กำลังร้อนรนไม่แพ้กัน
ก่อนหน้านี้เมื่อได้ยินแอนดรูว์พูดว่า สิ่งที่สร้างจากพลังชีวิตนั้นสามารถนำมาใช้รักษาได้เช่นกัน หัวใจของโรเอลก็สบายใจขึ้นมาทันที เด็กชายรู้สึกได้ถึงเสียงสั่นพ้องมาจากนกที่อลิเซียสร้าง ดังนั้นเขาจึงไม่มีปัญหาอะไร
ถ้าโรเอลดูดซับพลังชีวิตจากนกตัวนั้น ต่อให้เขาจะไม่ฟื้นกลับมาในสภาพที่สมบูรณ์ในทันที แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็น่าจะฟื้นตัวขึ้นมาพอสมควร
รอยยิ้มก่อตัวขึ้นบนริมฝีปากของโรเอล เมื่อเขาได้รู้ว่าในที่สุดสิ่งต่าง ๆ กำลังจะผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากเหนื่อยล้าทนทรมานกับอาการบาดเจ็บมาหลายวัน เด็กชายก็แทบอดใจรอไม่ไหวที่จะฟื้นตัวกลับมาเคลื่อนไหวได้ตามปกติ ทว่านกน้อยน่ารักที่เขาฝากความหวังไว้ กลับล้มลงกับพื้นไปเสียอย่างนั้น
???
ทั้งโรเอลและแอนดรูว์ต่างตกตะลึงไปพร้อม ๆ กัน
นกที่สร้างจากพลังชีวิตสามารถตายได้ด้วยงั้นเหรอ?
คำถามที่ไม่อธิบายได้ลอยอยู่ในใจของพวกเขา แต่ในเมื่ออลิเซียที่เป็นคนสร้างนกยืนยันเช่นนั้น จึงไม่มีอะไรที่พวกเขาจะคัดค้านได้ เพราะไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม นกตัวนั้นก็ได้สลายหายไปแล้ว
โรเอลชำเลืองมองสบตากับแอนดรูว์ ท้ายที่สุดพวกเขาสรุปรวมกันว่า การขาดความสามารถในการควบคุมของอลิเซีย ส่งผลให้เธอไม่สามารถคงสภาพนกได้เป็นเวลานาน
สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามใหม่ แล้วพวกเขาจะรักษาโรเอลอย่างไรดี?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ อลิเซียที่ทำทีเป็นรู้สึกผิด ได้แสดงความคิดเห็นออกมาอย่างถ่อมตน
การเปล่งพลังชีวิตงั้นเหรอ? ไม่ไม่ไม่ ใช้วิธีแลกเปลี่ยนของเหลวในร่างกายกันเถอะ!
“ถ้าใช้การเปล่งพลังชีวิต อาจทำให้ร่างกายของท่านพี่ได้รับพลังชีวิตเกินขนาดเพราะมันควบคุมได้ยาก อย่างไรก็ตาม หากใช้วิธีแลกเปลี่ยนของเหลวในร่างกายที่ควบคุมปริมาณได้ง่ายกว่า ดิฉันก็จะสามารถควบคุมปริมาณพลังชีวิตที่มอบให้แก่ท่านพี่ได้”
อลิเซียกล่าวอย่างมั่นใจ
ทั้งโรเอลและแอนดรูว์ไตร่ตรองคำพูดเหล่านั้นอย่างรอบคอบก่อนที่จะพยักหน้าเห็นด้วย
ในการควบคุมปริมาณพลังชีวิตที่ถูกถ่ายโอนผ่านสื่อทางกายภาพนั้นง่ายกว่ามาก วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการใช้เลือดเป็นสื่อกลาง แต่โรเอลนั้นทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นอลิเซียมีแผล ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเลือกการใช้น้ำตาเป็นสื่อกลางแทน
มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมากใช่ไหม? ถึงการพูดแบบนี้อาจจะฟังดูไม่ดีเท่าไหร่ แต่อลิเซียนั้นร้องไห้บ่อยมาก
เมื่อคิดเช่นนั้น โรเอลก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและขอให้เริ่มการรักษา
แม้ว่าชาร์ล็อตน่าจะจัดการเรื่องต่าง ๆ ทางฝั่งนั้นได้ด้วยการเตรียมการอันรอบคอบของเธอ แต่โรเอลก็อยากที่จะฟื้นฟูสภาพร่างกายและพละกำลังของเขากลับมาให้เร็วที่สุด เขาไม่สามารถทนอุดอู้อยู่ในสวนร้อยปักษาต่อไปได้อีกแล้ว เพราะตัวเขาเองก็ควรที่จะไปหาคาร์เตอร์ เพื่อพูดคุยหาทางแก้ไขปัญหานี้ให้เรียบร้อยเช่นกัน
“พวกเจ้าควรเจือจางของเหลวในร่างกาย ถ้าเป็นไปได้ก็เจือจางมันด้วยน้ำ พยายามซึมซับพลังชีวิตมาให้มากที่สุด เพราะนั่นน่าจะดีกว่ามากสำหรับการฟื้นฟูร่างกายของโรเอล”
แอนดรูว์อธิบายประเด็นสำคัญให้โรเอลและอลิเซียรับทราบ ก่อนจะเดินออกไป เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญอะไรมากเท่าไหร่นัก ดังนั้นชายชราจึงไม่จำเป็นจะต้องอยู่คอยสังเกตการณ์เด็ก ๆ ทั้งสองคน
“อลิเซีย พยายามนึกถึงเรื่องเศร้าสิ บีบน้ำตาออกมาสักสองสามหยดลงในถ้วยนี้ เราไม่ต้องการให้มันมากเกินไป”
โรเอลยกถ้วยไวน์ในมือที่เต็มไปด้วยไวน์พาเมล่าขึ้นมา ขณะที่เขากำลังพูด ดวงตาของอลิเซียก็เปล่งประกายแวววับ เธอเอื้อมมือไปหยิบถ้วยไวน์มา จ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะดื่มมันลงไปในรวดเดียว
หา? ทำไมจู่ ๆ เธอถึงดื่มไวน์ลงไปล่ะ
โรเอลอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ในไม่ช้าเขาก็คิดหาเหตุผลได้อย่างง่ายดาย
อา อลิเซียดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อปรับสภาพจิตใจของเธอสินะ มันคงจะช่วยให้ร้องไห้ได้ง่ายกว่าเดิมมากด้วยสภาพที่กำลังเมาเหล้า ว้าว เธอจริงจังกับงานนี้มากจริง ๆ!
โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ขณะที่โรเอลกำลังคิดในใจ เด็กสาวผมสีเงินก็โน้มตัวเข้ามาประกบจูบที่ริมฝีปากของเขา