บทที่ 210: เรียกคนของฉัน!
เท่าที่โรเอลจำได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาพูดถึง ‘ผู้ใต้บังคับบัญชา’ ที่มีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่ง กรันด้าก็ดูจะไม่ค่อยกระตือรือร้นสนใจเกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่
สำหรับยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยปกครองโลกในสมัยโบราณ ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ไม่ถึง ระดับแก่นแท้ 3 นั้นไม่ต่างอะไรไปจากขยะ พวกเขาทั้งหมดถูกจัดอยู่ในตะกร้าเดียวกันที่มีข้อความระบุไว้ว่า ‘ไม่สำคัญ’ แน่นอนว่ามีเพียงโรเอลเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น
คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎนั้นพิเศษมาก นอกเหนือจากหน้าที่ของมันในฐานะคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแล้วมันยังเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างมหาศาลให้กับผู้ครอบครอง เมื่อใช้ควบคู่กับพลังอื่น ๆ ที่ได้รับมาจาก พลังแห่งพันธสัญญา ผู้ครอบครองคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎนั้นมีแนวโน้มที่จะสามารถเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองได้
อย่างไรก็ตามพลังอำนาจที่ยืมมาเองก็มีข้อเสียเช่นกัน พลังอำนาจมหาศาลของคู่พันธสัญญาอาจจะสร้างภาระให้กับผู้ครอบครองสายเลือดได้ ส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงมากมายตามมา
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่มีพลังสายเลือดและคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด ถือเป็นตัวแปรขนาดใหญ่ที่คาดเดาไม่ได้ หากผู้ครองครองมีความตั้งใจแน่วแน่แล้วล่ะก็ แม้แต่จักรพรรดิก็อาจถูกลากลงมาจากบัลลังก์ได้ไม่ยาก
“ก่อนหน้านี้เจ้าดูจะไม่ได้มีปัญหามากเท่าไหร่นัก และข้าเองก็สามารถจัดการกับพวกหนูน่ารังเกียจที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดได้ไม่ยาก แต่สถานการณ์นี้อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต การมีพรรคพวกเองก็ถือเป็นข้อได้เปรียบที่ดี”
โรเอลค่อนข้างประหลาดใจ เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นออกมาจากปากของกรันด้า ยักษ์มีชื่อเสียงในด้านพละกำลังอันล้นหลามของพวกเขา แนวคิดเรื่อง ‘พรรคพวก’ จึงไม่น่าจะใช่อะไรที่อยู่ในหัวของพวกเขาเลย ทว่ากรันด้ากลับกำลังแนะนำให้โรเอลหาพรรคพวกมาเพิ่มกองกำลังของเขา!
“สิ่งที่คนคนหนึ่งสามารถทำได้นั้นมีขีดจำกัด ไม่ว่าจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ตาม ฉันเองก็เข้าใจแนวคิดนี้ดี แต่ถ้าหากพูดถึงเรื่องกำลังพลแล้ว เขตการปกครองแอสคาร์ดเองก็น่าจะมีกำลังพลเพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ตระกูลแอสคาร์ดอาจดูแย่ในด้านอื่น ๆ แต่ความสามารถทางทหารของพวกเขานั้นถือเป็นสิ่งหนึ่งที่น่าภาคภูมิใจไม่เป็นสองรองใครอย่างแน่นอน ถ้าให้โรเอลเทียบจำนวนของกองกำลังที่ตระกูลแอสคาร์ดมีล่ะก็ อาจจะมากกว่าตระกูลดยุค หรือราชวงศ์อื่น ๆ อย่างน้อยสองเท่าเลยทีเดียว
แต่กรันด้ากลับส่ายหัวให้กับคำถามของโรเอล
“ข้าไม่ได้หมายถึง ‘จำนวน’ ในแง่นั้น ข้ากำลังสื่อว่า เจ้าควรหาคนสนิทที่สามารถต่อสู้เคียงข้างเจ้าได้ต่างหาก”
“…”
ดูเหมือนว่าคำว่า ‘สู้เคียงข้าง’ ในความหมายของกรันด้า จะไม่เหมือนกับที่คนส่วนใหญ่นิยามไว้
“… ระดับแก่นแท้ 3?”
“ถ้าสูงกว่านั้นได้ก็คงดี”
“เอ่อ นี่…”
สีหน้าของโรเอลเริ่มเคร่งเครียดเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ตระกูลแอสคาร์ดมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 อยู่ก็จริง แต่พวกเขาล้วนเป็นทหารคนสนิทของคาร์เตอร์ นอกจากนี้พวกเขาทุกคนต่างก็มีหน้าที่อันสำคัญที่ต้องดูแลรับผิดชอบ แม้ว่าโรเอลจะเป็นบุตรชายและผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูลแอสคาร์ด แต่มันก็คงจะเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรอย่างมาก ที่จะให้คนเหล่านั้นมาอยู่เคียงข้างเขาตลอด 24 ชั่วโมง
การมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงทำหน้าที่เป็นองครักษ์ตลอดเวลาเช่น แบบกรณีของเกรซและชาร์ล็อตนั้นหาได้ยากมาก แม้แต่ตระกูลโซโรฟยาที่ร่ำรวยก็ยังเห็นพ้องต้องกันว่า มันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ให้เกรซมาทำอะไรแบบนั้น แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้เนื่องจากสาวใช้ยืนยันที่จะทำหน้าที่เดิมของเธอต่อ
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 ถือเป็นตัวตนพิเศษบนโลกนี้ พวกเขามีอยู่ไม่มากเมื่อเทียบกับความต้องการที่สูงลิ่ว ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 เกือบทั้งหมดของที่ใช้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดหลักสามประการต่างก็มีสังกัดกันทั้งนั้น ส่วนผู้ที่ใช้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดอื่น ๆ เองก็มักจะรับใช้ตระกูลของตน หากตระกูลแอสคาร์ดไม่ได้ควบรวมตระกูลของพวกเขาเข้ามา ก็คงไม่มีใครคิดที่จะละทิ้งตระกูลของตัวเองเพียงเพื่อมาปกป้องโรเอลแน่
ด้วยแนวคิดนี้ คำจำพวกเดียวที่โรเอลพอจะพามาเข้าร่วมเป็นพรรคพวกของเขาได้ ก็คือผู้นับถือลัทธินอกรีตระดับสูง
แน่นอนว่านอกจากโรเอลก็น่าจะมีคนที่คิดจะจ้างผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงที่นับถือลัทธินอกรีตเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจักรพรรดิของอาณาจักรเล็ก ๆ ที่ต้องการเสริมความแข็งแกร่งทางพลังให้กับกองกำลังของพวกเขา อย่างไรก็ตามมีเพียงไม่กี่กรณีเท่านั้นที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงที่นับถือลัทธินอกรีตจะถูกจ้างวานในระยะยาว เนื่องจากพวกเขามีโอกาสที่จะตกลงสู่ความเลวทรามได้ทุกเมื่อ ความเสียหายจากการอาละวาดของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 เกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ มันจึงไม่ใช่เรื่องฉลาดเท่าไหร่ที่จะต้องรับความเสี่ยงนั้น
แม้ว่ามันจะเสี่ยงสำหรับผู้อื่น แต่สำหรับโรเอลแล้ว ความเสี่ยงอันตรายนั้นไม่ใช่ปัญหาเลย เนื่องจากในตอนนี้ เขามีตัวตนที่ควบคุมปกครองคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของลัทธินอกรีตถึงสองคนด้วยกันอยู่ข้างเขา
กรันด้าและเปตรา พวกเขาทั้งคู่เป็นตัวตนที่สูงส่งที่สุดในโบราณกาล ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ไปถึงจุดสูงสุดในเส้นทางของตนเอง ทำให้ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทั้งหมดในปัจจุบันที่ใช้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดเดียวกันกับพวกเขาจะต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและการควบคุมของพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถึงโรเอลจะยังไม่แน่ใจนักว่าคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของเปตราคืออะไร แต่เขาก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของกรันด้า
“ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ใช้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่ง มีอยู่เยอะใช่รึเปล่า?”
“มีไม่มาก เพราะเดิมทีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่งไม่เหมาะกับมนุษย์ ดังนั้น…”
มันก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี เพราะถ้าหากพิจารณาถึงขนาดร่างกายของยักษ์แล้ว คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่ง น่าจะเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่หยาบกร้านมาก จึงน่าจะมีคนจำนวนไม่มากเท่าไหร่ที่เข้ากับมันได้
ดูเหมือนเราจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปก่อนสินะ
โรเอลถอนหายใจเบา ๆ ทว่าก่อนที่เขาจะละทิ้งความคิดนั้นไป กรันด้าก็พูดเสริม
“… มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เกือบจะผ่านเกณฑ์”
“อย่างนั้นเองเหรอ? น่าเสียดายจริง ๆ…หืม?”
เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ?
ทันทีที่คำพูดของกรันด้าจมลงไปในความคิดของโรเอลที่กำลังผิดหวัง เด็กชายก็เงยหน้าขึ้นมาทันที เกิดความเงียบชั่วครู่ระหว่างพวกเขาทั้งสอง ก่อนที่โครงกระดูกมหึมาจะถามขึ้นอีกครั้ง
“ระดับแก่นแท้ 3 เจ้าต้องการตัวพวกเขาหรือไม่?”
“ใช่ใช่ใช่! เรียกพวกเขามา! เรียกมาเท่าที่มีเลย!”
โรเอลตอบด้วยความตื่นตระหนก
แม้แต่ในบรรดากลุ่มทหารรับจ้างลัทธินอกรีต กลุ่มที่มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 สองคน ก็ถูกจัดเอาไว้ว่าเป็นกองกำลังระดับสูง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีกรันด้าคอยตรวจสอบคุมบังเหียนอยู่ โรเอลก็ไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาเหล่านั้นจะจมลงสู่ความเลวทราม
ไม่มีพันธมิตรใดจะดีไปกว่านี้แล้ว!
โรเอลรู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องนี้มาก แต่ในขณะเดียวกันความกังวลบางอย่างก็ผุดขึ้นในใจเขาเช่นกัน แม้ข้อตกลงนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเขา แต่พวกลัทธินอกรีตที่มีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่งเหล่านั้น พวกเขาจะมีความคิดเห็นแบบไหนกัน? พวกเขาจะคิดยังไงกับเรื่องนี้?
แม้ว่าปัจจุบันคนนอกรีตส่วนใหญ่ในทวีปเซียจะมีชีวิตที่ค่อนข้างลำบาก แต่พวกเขาก็ยังสามารถออกไปหาเลี้ยงชีพในอาณาจักรเล็ก ๆ บางแห่งที่ให้ความสำคัญกับพลังการรบได้ ในสถานที่ดังกล่าว ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 อาจได้รับยศให้เป็นถึงนายพลของกองทัพ มีชีวิตที่สุขสบายหรูหรา
แม้ว่าโรเอลต้องการพาพวกเขาเข้ามา และเต็มใจที่จะจ่ายเงินจำนวนมากให้สำหรับการบริการของพวกเขา แต่พวกเขาเหล่านั้นจะยินดีรับใช้โรเอลจริง ๆ งั้นเหรอ?
ซึ่งกรันด้านั้นมีคำตอบสำหรับคำถามนี้เตรียมไว้แล้ว ในฐานะผู้ปกครองของคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่ง เขามีความสามารถในการให้พรแก่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ใช้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่ง
“อัตราการไหลเวียนพลังเวทที่รวดเร็วขึ้น ลดผลข้างเคียง เพิ่มโอกาสในการก้าวข้ามผ่านกำแพงความสามารถ…”
กรันด้าระบุพรต่าง ๆ ที่เขาสามารถมอบออกมา ทำให้โรเอลตื่นตระหนกจนตาแทบโปนออกจากเบ้า ความมั่นใจของเขาพองตัวอย่างรวดเร็วราวกับบอลลูนลมร้อน!
อัตราการไหลเวียนพลังเวทที่รวดเร็วขึ้น หมายถึงอัตราการดูดซับพลังเวทที่เพิ่มขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมันเพิ่มความเร็วในการฝึกฝน ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นพรในฝันที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงทุกคนต้องการ
อย่าว่าแต่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเหล่านั้นเลย แม้แต่โรเอลเองก็อยากได้พรนี้เช่นกัน มันคงจะน่าเสียดายมากหากพวกเขาไม่คิดจะทำงานให้กับโรเอล เพราะถ้าหากการเจรจาเป็นไปได้ด้วยดีล่ะก็ มันจะลดต้นทุนในการจ้างพวกเขาสำหรับตระกูลแอสคาร์ดลงไปมาก เด็กชายกล้าที่จะเดิมพันเลยด้วยซ้ำว่าบางทีผู้มีพลังเหนือธรรมชาตินอกรีตเหล่านั้นอาจจะขออยู่รับใช้เขาต่อ หลังจากที่ได้ลิ้มรสพรของกรันด้า
“ข้าจะรักษาการเชื่อมต่อทางวิญญาณเอาไว้ หากพวกเขาต้องการขอความคุ้มครองล่ะก็ พวกเขาก็จะติดต่อมาเอง เจ้าสามารถพูดคุยกับเทพีแห่งผืนปฐพีเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ ข้าเชื่อว่าเธอเองก็น่าจะคิดแบบเดียวกัน”
หลังจากพูดจบ กรันด้าก็หายไป ดูเหมือนว่าเขาจะตรงไปทำงานของเขาในทันที
เมื่อโรเอลนึกย้อนกลับไปถึงบทสนทนาที่เพิ่งคุยกับกรันด้า มันก็ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นไปทั่วทั้งร่างกาย
การหาผู้ติดตามนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่นอร่าเองก็ยังได้รับผู้ติดตามมาจากพ่อของเธอ เนื่องจากเธอยังไม่เติบโตเต็มที่ อย่างไรก็ตามสิ่งที่โรเอลกำลังทำอยู่ในตอนนี้ คือการตามหาพรรคพวกที่จะมาเป็นผู้ติดตามของตัวเอง
แม้ว่าผลลัพธ์จากการตามหาผู้ติดตาม และการรับสืบทอดผู้ติดตามมาจากบรรพบุรุษอาจจะดูเหมือน ๆ กัน แต่จริง ๆ แล้วมันมีความแตกต่างกันมาก ระหว่างสองกรณีนี้ ประการแรกเลย ขอบเขตของความจงรักภักดีของพวกเขานั้นแตกต่างกัน
ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นการแก้จุดบอดของตระกูลแอสคาร์ดอีกด้วย แม้ว่าตระกูลแอสคาร์ดจะมีกองทัพขนาดใหญ่ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านการเงินและสมาชิกในตระกูล จำนวนผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงจึงมีไม่มากนัก ถ้าโรเอลสามารถรวบรวมผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงมาได้ นั่นจะเป็นการชดเชยจุดอ่อนสุดท้ายในกองทัพของตระกูลแอสคาร์ด
“ไว้ฉันจะถามเปตราเกี่ยวกับเรื่องนี้ในภายหลังด้วย มันคงจะดีไม่น้อย ถ้าเธอเองก็มีคนในสังกัดเหมือนกัน”
เมื่อทราบถึงประโยชน์ของตัวตนระดับเทพเจ้าโบราณเหล่านี้ โรเอลก็เริ่มคำนวณถึงบางอย่างในใจ
ถ้าเราสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกองกำลังของตระกูลแอสคาร์ดได้ล่ะก็ มันจะช่วยรับประกันความปลอดภัยของเราอีกชั้น อา แต่ตอนนี้เราก็ควรจะพยายามข้ามขีดจำกัดของระดับแก่นแท้ 4 ให้ได้โดยเร็ว เพื่อที่จะได้ต้อนรับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจากลัทธินอกรีตพวกนั้น
กรันด้าและเปตรา เป็นไพ่ตายที่เหมือนกับกลโกงของโรเอล อย่างไรก็ตามการอาศัยเพียงแค่กลโกงนั้นยังไม่พอ เขาเองก็จะต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เกิดวิกฤตการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น สถานะผู้เฝ้ามองบนกองเรือทองคำก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ยังมีสิ่งหนึ่งที่โรเอลสังเกตเห็นจากความขัดแย้งของเด็กสาวทั้งสามคน เขาตระหนักได้ว่าความแข็งแกร่งของอลิเซียนั้นเหนือกว่าที่ตนคาดเอาไว้มาก
โรเอลรู้ดีว่าชาร์ล็อตและนอร่าอยู่ที่ระดับแก่นแท้ 4 ซึ่งอลิเซียเองก็น่าจะอยู่ในระดับเดียวกัน เนื่องจากเธอสามารถต่อสู้กับอีกสองคนได้อย่างทัดเทียม ข้อเท็จจริงนี้ทำให้โรเอลทั้งตกใจและหดหู่เล็กน้อย
เด็กชายคิดว่าอลิเซียที่อยู่ภายใต้การดูแลปกป้องคุ้มครองของเขาจะไม่หมกมุ่นอยู่กับพลังเหนือธรรมชาติ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่น่าตกใจสำหรับโรเอล ที่ได้รู้ว่าอลิเซียแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้มาก
มันกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร? แรงจูงใจของเธอมาจากอะไรกัน?
โรเอลเริ่มตั้งข้อสงสัยขณะไตร่ตรองคำถามนี้ เขาสงสัยว่าอลิเซียแอบฝึกฝนพลังเหนือธรรมชาติอย่างหนักเพราะอะไร เพราะเธอรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่ออยู่กับเขาอย่างนั้นเหรอ? โดยที่ไม่รู้เลยว่าความจริงแล้ว เหตุผลนั้นตรงกันข้ามกับที่เขาคิดเอาไว้
อลิเซียกลัวว่าเธอจะไม่มีกำลังพอที่จะปกป้องโรเอล นั่นเป็นเหตุผลที่เด็กสาวฝึกฝนอย่างหนักจนถึงกระดูก เพื่อพัฒนาความสามารถของตน
“… ฉันจะต้องก้าวข้ามระดับแก่นแท้ให้ได้ไว ๆ ซะแล้วสิ ”
โรเอลเพิกเฉยต่อความคิดที่แท้จริงของอลิเซีย ความมุ่งมั่นทำให้เด็กชายหันกลับไปมองที่ระบบอีกครั้ง ตอนนี้ระยะเวลากิจกรรมรำลึกถึงการชำระหนี้ยังไม่หมด แต่ก็ยังไม่มียาเสริมพลังอะไรในรายการสินค้าลดราคา 70%
หลังจากทนทรมานจากผลข้างเคียงของคาถาเวทตลอดเดือนที่ผ่านมา โรเอลจึงรู้สึกกังวลเป็นพิเศษเกี่ยวกับก้าวที่ผิดพลาดของเขา เด็กชายรู้ดีถึงความเสี่ยงอันร้ายแรงที่อาจมาพร้อมกับการพัฒนาที่ล้มเหลว เขาจึงตั้งใจแน่วแน่ที่จะลดความน่าจะเป็นนั้นลง
หา เกิดอะไรขึ้น? ไม่มีพวกยาของโลโบร์แล้วเหรอ? นึกว่าจะมีพวกของจากโลโบร์วางขายให้เลือกซื้ออยู่ด้านบนซะอีก!
เมื่อเห็นว่ายาที่ตนกำลังมองหาไม่ได้อยู่ในร้านค้าเหรียญทอง โรเอลก็เสียใจเล็กน้อย มันเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดเวลาที่ไม่เจอสินค้าที่กำลังมองหาในที่ที่มันควรจะมีอยู่ ทว่าจังหวะนั้นเองเขาก็เผลอเปลี่ยนไปดูร้านค้าแลกเปลี่ยนแต้มความสนใจโดยไม่ได้ตั้งใจ และสังเกตเห็นสินค้าบางอย่างที่ดึงดูดความสนใจของเขา
“เดี๋ยวก่อนนะ นี่มัน…”