บทที่ 21: การเลือกรักแท้ของนายน้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่โรเอลได้เห็นการแจ้งเตือนล้นทะลักออกมาจากระบบตั้งแต่ที่เขาได้รับมันมา
ขณะที่เด็กชายกำลังกอดน้องสาวสุดที่รักเอาไว้ในอ้อมแขน สายตาของเขาก็ถูกบดบังจนแทบจะมองไม่เห็นด้วยแสงสีเขียวที่พวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง เพียงเวลาสิบวินาทีสั้น ๆ โรเอลก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบไปมากกว่า 20 ครั้ง
โอ้พระเจ้า! แต้มความสนใจที่ได้รับในวันนี้ เกือบจะเท่ากับยอดรวมแต้มความสนใจของเดือนที่แล้วด้วยซ้ำ ! นอกจากนี้ไม่ใช่แค่อลิเซียเท่านั้น … แต่แอนนาก็ด้วย ทำไมกันล่ะ?
โรเอลมองไปยังสาวใช้ประจำตัวของเขาอย่างสงสัย
ขณะที่เด็กชายกำลังรู้สึกสับสนเกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ แอนนาก็กำลังดีใจที่เรือแห่งความรักที่เธอสนับสนุนมาตลอดได้กลับมาขับเคลื่อนไปข้างหน้าอีกครั้ง
ตามที่เธอคาดไว้ ความรักที่แท้จริงระหว่างนายน้อยและนายหญิงนั้นคือที่สุด ไม่ว่าองค์หญิงนอร่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่เธอก็ไม่มีวันเอาชนะความรักที่แท้จริงของทั้งสองได้!
ตั้งแต่นอร่าจากไป แอนนาผู้คลั่งไคล้ในคู่รัก โรเอลxอลิเซีย เองก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน ความสมบูรณ์แบบของนอร่า ได้สร้างความประทับใจอันไม่รู้ลืมไม่เพียงแค่กับอลิเซียเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเหล่าคนรับใช้ในคฤหาสน์อีกด้วย
ในแง่ของรูปลักษณ์เด็กสาวทั้งสองต่างก็มีจุดเด่นและเสน่ห์เฉพาะตัวเป็นของตัวเอง ทว่านอร่านั้นเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัดในแง่ของภูมิหลัง ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังได้แสดงการคุกคามที่น่ากลัว ก่อนหน้านี้ในห้องโถง นอร่าเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งมากเสียจน หัวใจของเหล่าผู้ที่เอาใจช่วยเรือคู่รัก โรเอลX อลิเซีย ต้องสั่นคลอนด้วยความหวาดหวั่น
พวกเขาต่างรู้ตัวได้โดยสัญชาตญาณว่าในไม่ช้าจะมีเรือคู่รักอีกลำเป็นคู่เเข่งเทียบเคียงที่เรียกว่า ‘เรือ โรเอลXนอร่า’ ซึ่งบางทีแม้แต่ท่านมาร์ควิสเองก็อาจเลือกลงเรือลำนี้ก็เป็นได้!
อย่างไรก็ตามแอนนาได้ตัดสินใจที่จะยืนหยัดยึดมั่นศรัทธาในเรือคู่รักของเธอ เธอกุมมือของตนเองเอาไว้แน่น แล้วยืนยันที่จะเชื่อในเด็ก ๆ ทั้งสองคนนั้นต่อไป
เหตุผลที่แอนนามีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับเรือคู่รัก โรเอลX อลิเซีย นั่นก็เพราะความรักที่แท้จริงเป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้นในโลกนี้ โดยเฉพาะในหมู่ขุนนาง การแต่งงานของชนชั้นสูงมักถูกตรึงเอาไว้ด้วยป้ายราคาของผลประโยชน์ ทำให้คู่รักส่วนมากถูกบังคับให้แต่งงานกันโดยที่ยังไม่เคยได้พบหน้ากันด้วยซ้ำ
สำหรับบางคน เสรีภาพในความรักนั้นเป็นสิ่งที่มีค่า และยากที่จะได้มามากกว่าสิ่งใดในโลก
นายน้อย ดิฉันรู้ว่านอร่าเป็นองค์หญิงผู้สมบูรณ์แบบ และตระกูลแอสคาร์ดจะรุ่งเรืองขึ้นไปอีกมากภายใต้การสนับสนุนของราชวงศ์ แต่มันก็ยังเทียบไม่ได้กับคุณค่าของความรักที่แท้จริง! ท่านควรจะคิดถึงความสุขของตัวเองเป็นหลัก เฉกเช่นที่ท่านมาร์ควิสทำ!
เมื่อนึกถึงชะตากรรมอันน่าเศร้าที่รอคอยตัวเองอยู่ในอนาคต แอนนาก็มองไปยังโรเอลด้วยสายตาอันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและแน่วแน่ หวังว่าเด็กชายจะมีพลังมากพอจะก้าวผ่านเส้นทางอันยากลำบากไปข้างหน้าได้ด้วยพลังของตัวเอง
ทว่านี่กลับทำให้โรเอลรู้สึกสับสน
เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย? ทำไมแอนนาถึงจ้องมองมาที่เราด้วยสายตาแบบนั้นกัน เราทำอะไรผิดไปงั้นเหรอ? ไม่สิ เธอยังคงให้แต้มความสนใจกับเรา เดี๋ยวนะ ทำไมจู่ ๆ เหล่าคนรับใช้ทุกคนถึงเริ่มให้แต้มความสนใจกับเราล่ะ…?
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ โรเอล? ทำไมอลิเซียถึงร้องไห้ล่ะ?”
คาร์เตอร์ซึ่งจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองมาตลอด ในที่สุดก็สังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับลูก ๆ ทั้งสองคน
โรเอลรีบละสายตาจากสิ่งรอบข้างแล้วหันไปตอบ
“จู่ ๆ อลิเซียก็นึกถึงเรื่องราวที่เธออ่านเจอในต้นกำเนิดแห่งจอมเวท เลยรู้สึกกลัวขึ้นมาน่ะครับ” เด็กชายรีบบอกกับท่านพ่อของเขา
“อ่า เรื่องราวบางอย่างในนั้นค่อนข้างน่ากลัวมากเลยทีเดียว บางทีอลิเซียอาจจะยังเด็กเกินไปที่จะอ่าน ต้นกำเนิดแห่งจอมเวท” คาร์เตอร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ
โรเอลปลอบอลิเซียต่อไปพลางมองไปที่พ่อของเขา ทันใดนั้นความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในใจ นี่อาจเป็นโอกาสอันดีที่จะถามคำถามบางอย่างที่ค้างคาอยู่ในหัวของเขา
“ท่านพ่อ ผมอยากจะถามเกี่ยวกับจอมเวท ตอนนี้สะดวกรึเปล่าครับ?”
“โอ้? ข้าไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าเจ้าจะสนใจเรื่องนี้ด้วย ถามเรื่องที่เจ้าสงสัยมาได้เลย โรเอล”
คาร์เตอร์รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยินว่าลูกชายของเขามีความสนใจในจอมเวท เขาวางมีดและส้อมในมือลง พร้อมส่งสัญญาณให้คนรับใช้เข้ามาเสิร์ฟขนม สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสองพ่อลูก
ขณะที่เหล่าคนรับใช้กำลังเตรียมการ โรเอลก็เริ่มถามเกี่ยวกับระบบพลังเวทของโลกนี้
“ท่านพ่อครับ พวกเรามีระบบการจำแนกระดับของจอมเวทรึเปล่า?”
“การจัดระดับจอมเวทงั้นเหรอ?” คาร์เตอร์พูดพร้อมกับใช้ความคิด
“ใช่ครับ ผมคิดว่ามันน่าจะมีการจำแนกระดับสำหรับจอมเวท คล้ายกับที่พวกเรามีการแยกระดับของสายเลือด ที่แบ่งออกเป็นระดับทอง ระดับเงิน อะไรทำนองใช่ไหมครับ”
คาร์เตอร์เบิกตากว้างขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจในข้อสงสัยของโรเอลแล้ว
“อ๊ะ เจ้ากำลังหมายถึงระดับความเข้ากันกับพลังเวทใช่รึเปล่า?”
“ระดับความเข้ากันกับพลังเวท?”
“ถูกต้อง เนื่องจากพลังเวทเป็นต้นกำเนิดของปรากฏการณ์อันยอดเยี่ยมทั้งหมดบนโลกนี้ ทำให้ในอดีตสิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบที่สามารถใช้พลังอันยอดเยี่ยมนี้ได้ ต้องทนทุกข์ทรมานจากการล่มสลายของพลังเวท การใช้ประโยชน์จากพลังเวทในปัจจุบัน จอมเวทจึงต้องสามารถปรับตัวให้เข้ากับพลังเวทที่ล่มสลายได้ในระดับหนึ่ง พวกเราเรียกกระบวนการปรับตัวนี้ว่า ‘การปรับตัวให้เข้ากันกับพลังเวท’ หรือก็คือระดับความเข้ากันกับพลังเวท เป็นตัวแปรที่กำหนดเหล่าจอมเวทว่าความแข็งแกร่งของใครเหนือกว่ากัน”
“ศักยภาพของมนุษย์โดยพื้นฐานแล้ว ระดับความเข้ากันกับพลังเวทนั้นมีอยู่ด้วยกัน 7 ระดับ ตั้งแต่ระดับแก่นแท้ต่ำที่สุดระดับ 7 ไปจนถึงระดับแก่นแท้สูงสุดระดับ 1 การพัฒนาเพิ่มขึ้นของระดับแก่นแท้ในแต่ละขั้น มีผลทำให้ความเข้ากันกับพลังเวทลึกซึ้งขึ้น และทำให้ความสามารถที่ครอบครองอยู่แข็งแกร่งขึ้นไปอีกด้วย”
คาร์เตอร์จิบชาพลางอธิบายทฤษฎีออกมาในมุมมองของมืออาชีพ กลับกันแล้วโรเอลได้ตกลงสู่ห้วงความคิดอันลึกซึ้ง
คำว่า “การล่มสลายของพลังเวท” และ “ความเข้ากันกับพลังเวท” ฟังดูไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ การกลายเป็นจอมเวทนั้นหมายถึงการกลายเป็นสัตว์ประหลาดบางประเภทด้วยรึเปล่า?
โรเอลหันไปทางพ่อของตนอีกครั้ง เขาถามขึ้นด้วยความกังวล
“กระบวนการปรับตัวเข้ากันกับพลังเวท จะส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราไหมครับ มันจะทำให้เกิดการกลายพันธุ์แปลก ๆ อะไรรึเปล่า? ”
“อืม…มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ กระบวนการปรับตัวเข้ากันกับพลังเวทนั้นเหมือนการวิวัฒนาการมากกว่าการกลายพันธุ์ มันช่วยทำให้ร่างกายสมบูรณ์แบบขึ้น ไม่ได้ทำให้ร่างกายตกต่ำผิดแปลก ว่ากันว่าบางคนถึงกับสามารถยืดอายุขัยของตัวเองให้ยืนยาวได้ด้วยการปรับตัวเข้ากันกับพลังเวท อย่างไรก็ตามหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างการวิวัฒนาการ มันก็มีความเป็นไปได้ที่การกลายพันธุ์อันผิดแปลกจะเกิดขึ้น”
คาร์เตอร์เหลือบมองไปยังเด็ก ๆ ทั้งสองคน แต่หลังจากที่ได้คิดไตร่ตรองแล้ว เขาก็เลือกที่จะไม่บอกพวกเขาทั้งคู่ถึงผลอันน่ากลัวของการวิวัฒนาการที่ล้มเหลว
โรเอลพิจารณาคำพูดของบิดาอย่างรอบคอบ มีความเป็นไปได้สูงว่าระดับความเข้ากันกับพลังเวททั้ง 7 ระดับ อย่างระดับแก่นแท้ 7 ถึง 1 จะสอดคล้องกับค่าระดับ F ถึง S ของระบบ
หรือก็คือระดับความสามารถอันไร้ค่าในปัจจุบันของโรเอล ซึ่งแทบจะไม่สามารถปล่อยลมร้อนออกมาได้ด้วยซ้ำ อย่างน้อย ๆ ก็ยังอยู่ในระบบการจำแนกประเภท
“ท่านพ่อ ทหารของกองทัพเองก็สามารถจำแนกได้ด้วยระดับเหล่านี้ด้วยรึเปล่าครับ?” เด็กชายต้องการรู้รายละเอียด
“แน่นอนสิ สมาชิกส่วนใหญ่ของกองทหาร มักจะมีระดับความเข้ากันกับพลังเวทอยู่ที่ ระดับแก่นแท้ 6 หรือก็คือความแข็งแกร่งของพวกเขาเทียบได้กับม้าหรือวัว พวกเขาส่วนใหญ่มีพรสวรรค์จำกัดโดยกำเนิด มันจึงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะไต่เต้าไปได้สูงกว่านั้น “
โรเอลถอนหายใจอย่างโล่งอก คำตอบของคาร์เตอร์ทำให้เขาสามารถยืนยันได้แล้วว่าระดับความเข้ากันกับพลังเวทระดับแก่นแท้ 6 นั้นสอดคล้องกับระดับ E ของระบบ
ตอนนี้เขาจึงสามารถมั่นใจได้แล้วว่าการจำแนกระดับทั้งสองประเภทนั้นสอดคล้องกัน เมื่อผลสรุปออกมาเป็นแบบนี้ เขาก็สามารถใช้ระบบเพื่อวัดระดับว่าตัวเองอยู่ระดับไหน หากเทียบกับคนอื่น ๆ ได้
“ท่านพ่อ ความแตกต่างระหว่างพลังในระดับต้นกำเนิดแต่ละระดับต่างกันมากรึเปล่าครับ?”
“ความแตกต่างระหว่างพลังแต่ละระดับจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสี่ระดับล่าง และสามระดับบน หากจะให้ข้าเปรียบเทียบความแตกต่างก็คงราว ๆ ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กทารกนั่นแหละ” ผู้เป็นพ่อให้คำตอบ
“ผมคิดว่า ผมพอจะเริ่มเข้าใจแล้ว”
ความหวังเล็ก ๆ ในใจโรเอลที่คิดว่า ‘บางทีเราอาจจะไม่อ่อนแออย่างที่คิดก็ได้’ แตกกระจายออกเป็นล้าน ๆ ชิ้น เขาถอนหายใจยาว ๆ แล้วจึงถามคำถามต่อไป
“ท่านพ่อครับ ตระกูลแอสคาร์ดของพวกเราเป็นตระกูลจอมเวทใช่ไหม? ในเมื่อตระกูลของเราผลิตจอมเวทที่เยี่ยมยอดออกมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ถ้าอย่างนั้นตระกูลของเราก็น่าจะมีวิชาอันเป็นเอกลักษณ์ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของพวกเราไม่ใช่เหรอครับ?”
“ ตระกูลจอมเวทงั้นเหรอ ?”
คาร์เตอร์กะพริบตาด้วยความสับสนแปลกใจ เมื่อได้ยินคำพูดของโรเอล
“มันก็ไม่ผิดเท่าไหร่หรอกที่จะพูดแบบนั้น แต่จริง ๆ แล้วตระกูลของพวกเราเป็นตระกูลทหารเสียมากกว่า ตำแหน่งอย่างเป็นทางการของพ่อในกองทหารอัศวินศักดิ์สิทธิ์ คือรองผู้บัญชาการ ไม่ใช่ผู้บัญชาการจอมเวท พวกสามัญชนมักจะพูดถึงผู้ใช้พลังเหนือธรรมชาติทั้งหมดว่าเป็นจอมเวท เนื่องจากพวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของพลังเหนือธรรมชาติ จริง ๆ แล้ว ผู้บัญชาการจอมเวทเป็นเพียงแค่เส้นทางในการวิวัฒนาการของข้าเท่านั้น”
“เส้นทางการวิวัฒนาการ?”
“ใช่แล้ว มันเป็นหนึ่งในเส้นทางการวิวัฒนาการ ไม่กี่เส้นทางสำหรับข้า ตามคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด”