บทที่ 214: ทำลายกำแพง!
วินาทีที่ชาร์ล็อตตัดสินใจเดินขึ้นมาเผชิญหน้ากับคาร์เตอร์ เธอก็รู้สึกได้ถึงความกดดันจากเขา
‘เธอจะทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้คาร์เตอร์ยอมรับ?’ นี่เป็นปัญหาที่ชาร์ล็อตไม่สามารถคิดหาคำตอบได้
มาร์ควิสคาร์เตอร์เป็นขุนนางที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในจักรวรรดิเซนต์เมซิท ซึ่งเป็นผู้นำของหนึ่งในห้าตระกูลขุนนางชั้นสูง ด้วยอำนาจและอิทธิพลที่เขามี ตระกูลโซโรฟยาจึงแทบจะไม่มีอะไรไปเสนอให้เขาเปลี่ยนใจได้เลย
อย่างไรก็ตาม หากชาร์ล็อตมองข้ามตำแหน่งและความมั่งคั่งเหล่านั้นทั้งหมดของคาร์เตอร์ และมองเขาในฐานะพ่อเลี้ยงเดี่ยวคนหนึ่งที่สูญเสียคู่สมรสไปเมื่อหลายปีก่อนและยังไม่ได้แต่งงานใหม่แม้ว่าจะผ่านไปนานหลายปีแล้วก็ตาม เด็กสาวก็นึกออกถึงสิ่งหนึ่งที่น่าจะเข้าถึงใจของอีกฝ่ายได้
ความรู้สึกอันบริสุทธิ์จริง
ในแวดวงชนชั้นสูงที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์เหนือสิ่งอื่นใด มาร์ควิสคาร์เตอร์เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกจริง ๆ ออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงความรัก แม้ว่าการแต่งงานทางการเมืองจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในสังคมชนชั้นสูง แต่เขาก็ยังคงยึดมั่นในความรู้สึกของตนเอง และเลือกการแต่งงานที่สร้างมาจากความรักที่แท้จริง
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมคาร์เตอร์ถึงไม่ได้ให้ความสำคัญต่อสัญญาการหมั้นหมายของพวกเขาเลย เพราะไม่ว่าจะพยายามพูดอธิบายหรือมองมุมไหน ยังไงมันก็เป็นเพียงสัญญาเพื่อผลประโยชน์ระหว่างบ้านสองตระกูลอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ถ้าชาร์ล็อตสามารถพิสูจน์ให้คาร์เตอร์เห็นได้ว่าความรักของเธอนั้นไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ล่ะ? จะเป็นอย่างไรถ้าเธอสามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดออกมาให้เห็นได้ล่ะ?
แม้ทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงการคาดเดาของชาร์ล็อต และเธอก็ไม่มีอะไรมารับประกันว่าตัวเองคิดถูกหรือไม่ อย่างไรก็ตามเด็กสาวก็เต็มใจที่แสดงความรู้สึกที่แท้จริงของตนออกมาที่นี่ เพื่อเดิมพันเป็นครั้งสุดท้าย
“ดิฉันรักโรเอล และขอร้องให้ท่านอย่าได้มาขัดขวางความรักของพวกเราอีก นี่เป็นคำขอเพียงครั้งเดียวตลอดชีวิตของดิฉันค่ะ”
ทันทีที่ชาร์ล็อตก้มหัวลง ทุกคนในห้องต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นบรูซหรือคาร์เตอร์ เสียงของนาฬิกาเรือนเก่าอันหรูหราที่อยู่ในห้องนั้น ไม่เคยฟังชัดเหมือนในเวลานี้ ไม่กี่วินาทีต่อมา คาร์เตอร์ก็ขมวดคิ้วด้วยความลำบากใจ
“คุณหนูชาร์ล็อต เธออาจจะกำลังเข้าใจผิดอะไรไปนะ เงยหน้าขึ้นเถอะ พวกเราจะได้…”
“ท่านลุงคาร์เตอร์ ดิฉันเชื่อว่าท่านรู้ดี ว่าดิฉันถูกทำให้เข้าใจผิดในการพบกันครั้งแรกกับโรเอล…”
ก่อนที่คาร์เตอร์จะเพิกเฉยต่อคำขอของชาร์ล็อต จู่ ๆ เด็กสาวก็ยกเหตุการณ์เก่าขึ้นมา
สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าของคาร์เตอร์ซีดลงทันที เขาคิดว่าชาร์ล็อตกำลังจะกล่าวโทษเขาสำหรับเหตุการณ์นั้นด้วยการพูดถึงมันในเวลานี้ ซึ่งทำให้อารมณ์ของมาร์ควิสเสียเล็กน้อย ชาร์ล็อตรู้ว่าเขาจะตอบสนองในลักษณะดังกล่าว คำพูดต่อไปนี้ของเธอจึงทำให้เขาต้องเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ดิฉันหวั่นไหวเลย เพราะไม่ใช่แค่คนที่หลอกดิฉันเท่านั้นที่คิดว่าการหมั้นหมายของเราไม่ใช่เรื่องดี ในตอนนั้นตัวดิฉันเองก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องดีเช่นกันค่ะ”
เมื่อชาร์ล็อตกล่าวคำเหล่านั้นออกมา เธอก็เงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับคาร์เตอร์ด้วยดวงตาสีมรกต
“พันธสัญญาหมั้นอายุร้อยปี ฟังดูสำคัญมากด้วยบริบททางประวัติศาสตร์เบื้องหลังของมัน อย่างไรก็ตาม การแต่งงานไม่ใช่สิ่งที่ควรกำหนดโดยอดีต มันคือตัวแทนของอนาคต มันคือการเลือกคู่ชีวิตระหว่างบุคคลสองคน เพื่อสนับสนุนซึ่งกันและกันผ่านอุปสรรคต่าง ๆ เป็นการกระทำที่สวยงามและศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งไม่ควรจะผูกมัดด้วยสิ่งใด”
“… ใช่ มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ นั่นแหละ”
ด้วยที่คาร์เตอร์เป็น ‘ผู้เชื่อมั่นในอิสรภาพของความรัก’ เขาจึงพยักหน้ารับทราบการตีความการแต่งงานของชาร์ล็อต เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเต็มใจจะรับฟังเธอแล้ว หัวใจของเด็กสาวก็สั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้น เธอคิดถึงความสัมพันธ์ทั้งหมดที่ตนมีกับโรเอลก่อนจะพูดต่อ
“นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดมากมาย ในตอนที่ดิฉันพบกับโรเอลเป็นครั้งแรก มันอาจจะทำให้ท่านประหลาดใจด้วยซ้ำที่ได้รู้ว่า ตอนแรกเริ่มพวกเราเกลียดกันมาก แต่ความรักและโชคชะตานั้นเป็นตัวแปรที่คาดเดาไม่ได้”
“พวกเราผ่านอันตรายมาด้วยกันมากมาย ขณะสำรวจซากปรักหักพังของอาณาจักรโซเฟีย พวกเราต่อสู้เคียงข้างกัน ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ อย่างกล้าหาญ โรเอลเคยก้าวออกไปเพื่อรับการโจมตีแทนดิฉัน และดิฉันเองก็เคยฝากความหวังสุดท้ายในการเอาชีวิตรอดให้กับเขา สภาพแวดล้อมนั้นทำให้ความรักของสองเราเบ่งบาน มีอุปสรรคมากมายที่อาจทำให้พวกเราสูญสิ้น แต่ความรู้สึกที่มีต่อกันก็ได้ช่วยให้พวกเราเอาชนะอุปสรรคทั้งหมดนั้นมาได้พร้อมกับชัยชนะ”
“ท่านลุงคาร์เตอร์ คิดว่าดิฉันจะยอมปล่อยโรเอลไป หลังจากสิ่งที่พวกเราผ่านมาด้วยกันทั้งหมดได้จริง ๆ งั้นหรือ?”
ชาร์ล็อตพูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ
นี่เป็นครั้งแรกที่คาร์เตอร์ได้ยินถึงประสบการณ์ระหว่างโรเอลและชาร์ล็อต นั่นทำให้เขาต้องหยุดครุ่นคิดอย่างสับสนไปชั่วขณะ เมื่อเห็นสิ่งนี้ ชาร์ล็อตก็ไม่ได้พยายามผลักดันประเด็นของตนต่อไป แต่เลือกที่จะก้มหน้าลงเงียบ ๆ อีกครั้ง
“ท่านลุงคาร์เตอร์ ดิฉันรู้ดีว่าตัวเองมาช้ากว่าคนอื่น ๆ และดิฉันเองก็คงไม่สามารถปกป้องโรเอลได้เหมือนกับองค์หญิงนอร่า หรือมีสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นเหมือนอลิเซีย อย่างไรเสีย ดิฉันมั่นใจว่าความรู้สึกของตนเองที่มีต่อโรเอลนั้นไม่มีทางแพ้ใครได้! ได้โปรดให้โอกาสดิฉันด้วยค่ะ นี่คือคำขอร้องจากใจจริง…”
พูดไปได้เพียงครึ่งทาง น้ำตาของชาร์ล็อตก็เริ่มไหลลงมาที่พรมด้านล่าง ทำให้คาร์เตอร์ต้องตกตะลึงกับอารมณ์อันรุนแรงของเธอ
ความจริงใจของชาร์ล็อตทำให้คาร์เตอร์ตกใจมาก อีกทั้งยังทำให้เขาประทับใจ ชั่วขณะหนึ่งมาร์ควิสเหมือนจะได้เห็นใบหน้าของภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วของตน เช่นเดียวกับบรรดาขุนนางที่ต่อต้านการแต่งงานของเขาอย่างรุนแรงในอดีต คาร์เตอร์ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะจบลงด้วยการยืนในตำแหน่งเดียวกับขุนนางเหล่านั้นในอีกหลายปีต่อมา
อารมณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ผุดขึ้นในหัวใจของคาร์เตอร์ เปลี่ยนสายตาของเขาที่มองไปยังเด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงให้อ่อนโยนลง
“ฮ่า ฮ่า ข้าคงแก่ไปแล้วสินะ”
ชายวัยกลางคนผมดำถอนหายใจเบา ๆ จ้องมองไปยังชาร์ล็อตที่กำลังร้องไห้
“คุณหนู ลุกขึ้นเถอะ… ข้าจะยอมทำตามคำขอนั้นก็ได้”
“ท่านลุงคาร์เตอร์? หมายความว่า…”
“ข้าจะไม่คัดค้านความสัมพันธ์ของเธอกับโรเอลอีกต่อไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี”
คาร์เตอร์ถอนหายใจออกมาแรง ๆ เขาได้แสดงการสนับสนุนนอร่าและอลิเซียไปแล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาจะสามารถมอบให้กับชาร์ล็อตได้
“แต่ข้าไม่มีอำนาจจะไปควบคุมความคิดของโรเอลหรอกนะ เธอต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น”
“ ดิฉันเข้าใจค่ะ! ขอขอบคุณมากค่ะ!”
คำพูดเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่าในที่สุดคาร์เตอร์ก็ยอมรับชาร์ล็อตแล้ว ทำให้ความกังวลและความตึงเครียดในใจของเด็กสาวถูกปลดปล่อยออกมาในที่สุด แต่น้ำตาของเธอก็ยังไม่หยุดไหลอยู่ดี
มันช่างยากลำบากเหลือเกิน…
เมื่อสามารถตีตื้นกลับมาได้ ในที่สุดชาร์ล็อตก็พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง แม้ว่าคาร์เตอร์จะสัญญาเพียงแค่ว่าเขาจะไม่เข้าไปขัดขวางเธอ แต่เพียงแค่ทำให้เขาเป็นกลาง ก็เพิ่มโอกาสในชัยชนะของเด็กสาวได้หลายเท่าแล้ว
หลังจากให้คำตอบ คาร์เตอร์ก็หันไปหาบรูซและขอโทษเกี่ยวกับเรื่องนี้ บรูซแสดงความเข้าใจ ก่อนจะหันไปสอนชาร์ล็อตเล็กน้อย ทำให้คาร์เตอร์เผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมาเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ปล่อยให้เป็นเรื่องของพวกเด็ก ๆ ก็แล้วกัน เราไม่ควรเข้าไปยุ่งพัวพันอะไรอีก
ด้วยความคิดดังกล่าวในใจ คาร์เตอร์ก็หันออกไปมองด้านนอกหน้าต่าง จ้องมองไปยังค่ำคืนอันมืดมิด
…
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนเดียวกัน ในที่สุดโรเอลก็รอดพ้นจากเงื้อมมือของทูตสวรรค์ที่แสนอันตรายและกำลังหอบหายใจในรถม้าของเธอ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในหอคอยเซเยอร์ เด็กชายก็ตระหนักได้ว่า บางทีเขาอาจทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงลงไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจเสียแล้ว
หลังจากที่รู้จักนอร่า เซไซต์มาระยะหนึ่ง โรเอลก็เริ่มคุ้นเคยกับบุคลิกของเธอเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงรู้สึกได้ทันทีที่เห็นว่าเธอผิดปกติไป เด็กชายนั้นไม่เคยได้เห็นด้านนี้ของอีกฝ่ายมาก่อน ทำให้ความสงสัยในใจเขารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนตระหนักได้ว่าตนนั้นเป็นสาเหตุ
ความรู้สึกผิดเล็กน้อยนี้ทำให้ความตั้งใจของโรเอลสั่นคลอน ทำให้เขาตัดสินใจผิดพลาด เมื่อนอร่ายื่นนิ้วออกมา ผลจากความผิดพลาดของเขานั้นแย่มาก เพราะมันทำให้นอร่าอาละวาดออกมาในตอนท้าย
เพียงแค่มองออกไปนอกหน้าต่าง และเห็นระเบียงของหอคอยเซเยอร์ ใบหน้าของโรเอลก็เริ่มแดงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
“ไม่น่าจะมีใครเห็นมันใช่ไหม?”
โรเอลพึมพำพลางแตะริมฝีปากของตนเบา ๆ
เนื่องจากนอร่าตื่นเต้นมากเกินไป เธอจึงกัดริมฝีปากของเขาในขณะที่จูบกัน แม้ว่ามันจะไม่ได้เจ็บเท่าไหร่ เพราะเด็กสาวไม่ได้ใส่แรงมากนัก แต่มันก็ทำให้โรเอลตื่นตัวมากขึ้นกว่าปกติ
“ชิ พอย้อนคิดดี ๆ เราพูดผิดไปเยอะเลยนี่นา การแนะนำให้เธอเป็นตัวของตัวเอง มันก็ไม่ต่างอะไรจากการกระตุ้นให้เธอมีนิสัยซาดิสม์กว่าเดิมเลยไม่ใช่รึไง!”
โรเอลก้มศีรษะด้วยความหงุดหงิดพร้อมสาบานกับตัวเองว่าครั้งต่อไปเขาจะคิดให้รอบคอบกว่านี้ เขากลับไปที่ห้องของตนในสวนร้อยปักษา หันไปมองสิ่งของสองชิ้นที่วางอยู่บนโต๊ะ
หลังจากได้คาถาเวทชำระล้างของนอร่า สภาพการฟื้นคืนชีพอันเดธก็ถูกขจัดออกไป ด้วยเหตุนี้เด็กชายจึงเหลือเพียงสิ่งเดียวที่ต้องทำ
โรเอลเริ่มจากสั่งคนใช้ออกไป เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่มารบกวน ก่อนจะเปิดขวดยาบนโต๊ะแล้วดื่มมันลงไป จากนั้นเขาก็นั่งบนเก้าอี้ข้าง ๆ และจ้องมองไปที่กระดิ่งสีดำ
คืนนี้แหละ เราจะก้าวขึ้นสู่ระดับแก่นแท้ 4 ให้ได้!