บทที่ 228: ธงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงบนเตียงของโรเอล
ครึ่งเดือนต่อมาหลังจากนั้น ขบวนพ่อค้าที่มีคนมากกว่าสามสิบคนก็ได้มาถึงหมู่บ้านพอนเดเร่ในจักรวรรดิออสทีน พวกเขาไม่มีตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์บนรถม้า มีเพียงสัญลักษณ์ที่พ่อค้าชาวโรซ่าใช้กันทั่วไป แสดงว่าพวกเขาไม่ได้มาจากตระกูลสูงศักดิ์ แต่เป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาคมพ่อค้าโรซ่า
เนื่องจากพวกเขาไม่มีภูมิหลังอันสูงส่ง การเข้ามาของพวกเขาจึงไม่ทำให้บรรดาขุนนางในท้องถิ่นตื่นตระหนกแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามสำหรับหมู่บ้านในแถบชนบทอย่างหมู่บ้านพอนเดเร่ การมาถึงของขบวนพ่อค้านั้นก็ยังถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับพวกเขาอยู่ดี และได้ดึงดูดผู้คนจำนวนมากเข้ามา
ซึ่งความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาก็รับผลตอบแทน พวกเขาต่างก็ต้องตะลึงไปกับการปรากฏตัวของเด็กชายผู้หล่อเหลา และเด็กสาวผู้งดงาม ราวกับเผ่าเอลฟ์ผู้สง่างามในตำนาน
ทั้งคู่เป็นเด็กชายผมดำและเด็กสาวผมสีเงิน นั่งอยู่ในรถม้าที่อยู่ตรงกลางขบวน ชวนให้นึกถึงคู่รักที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ส่วนสาเหตุที่ทำให้ชาวบ้านคิดว่าพวกเขาเป็นคู่รักกันนั้น มีเหตุผลด้วยกันสามประการ
หนึ่ง พวกเขากำลังใช้รถม้าร่วมกัน
สอง แม้ว่าทั้งสองคนจะหน้าตาดีมาก แต่สีผมและสีตาที่แตกต่างกันของพวกเขาก็บ่งบอกว่าทั้งคู่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด
สาม ระหว่างพวกเขาสองคนนั้นมีบรรยากาศที่น่ารักน่าเอ็นดู
พวกเขากอดกันและจับมือกันบ่อยครั้ง ราวกับว่าพวกเขาตัวติดกัน แม้ว่าเด็กชายผมดำจะดูสงบนิ่ง แต่ทางด้านเด็กสาวผมสีเงินนั้นกลับมีสีหน้าอันเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างชัดเจน
ไม่มีผู้หญิงที่แต่งงานแล้วคนไหนในหมู่บ้านที่จะไม่คุ้นเคยกับสีหน้าของเธอ มันเป็นสีหน้าของผู้หญิงที่กำลังอยู่ในช่วงออกเดินทางไปพร้อมกับคนรัก เรื่องซุบซิบเกี่ยวกับคู่รักวัยเยาว์สองคนนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว โดยทฤษฎีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ก็คือเด็กชายผมดำนั้นเป็นนายน้อยของสมาคมการค้าที่กำลังพาคู่หมั้นของเขาออกมาเที่ยว
แน่นอนว่าโรเอลนั้นไม่ได้สนใจข่าวลือทั้งหมดที่เกิดขึ้น เขาเคยชินกับการที่อลิเซียเกาะติดกับเขาแล้ว นอกจากนี้เด็กชายก็ไม่คิดที่จะเสียเวลาไปอธิบายเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ต่อให้เขาจะจับสังเกตได้ว่าอลิเซียจงใจแสดงพฤติกรรมสนิทสนมเหล่านี้ในที่สาธารณะก็ตาม แต่เขาก็ยอมเมินเฉยต่อเรื่องนี้แต่โดยดี
ในฐานะที่เป็นผู้ชื่นชอบน้องสาวโดยแท้จริง มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่โรเอลจะยอมให้อภัยน้องสาวตัวน้อยของตน นอกจากนี้ จนถึงปัจจุบันอลิเซียก็ยังไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงจนเขาไม่สามารถยกโทษให้เธอได้ ส่วนเรื่อง ‘การจู่โจมในตอนกลางคืน’ เขาก็เลือกที่จะปรับบริบทว่ามันเป็นเพียงแกล้งกันของเด็ก ๆ
แน่นอนว่าซินเทียและทหารรับจ้างคนอื่น ๆ ไม่กล้าที่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับคำตัดสินของโรเอล เพราะมันถือเป็นเรื่องส่วนตัวของเด็กชาย อย่างไรก็ตามสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยในดวงตาของพวกเขา ก็มากเกินพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับการกระทำของอลิเซียในการปีนขึ้นไปบนเตียงเมื่อครึ่งเดือนก่อน
มีไม่กี่อย่างที่โรเอลจะสามารถทำได้เกี่ยวกับความคิดของคนอื่นที่ล่วงรู้ถึงเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่สั่งให้ทุกคนเหยียบเรื่องนี้ไว้ให้มิด แน่นอนว่าอลิเซียนั้นไม่พอใจเท่าไหร่เกี่ยวกับคำสั่งนี้ ถ้าเป็นไปได้ เด็กสาวนั้นอยากที่จะกระจายข่าวลือนี้ไปทั่วทั้งทวีป และทำให้แน่ใจว่าทุกคนรู้เรื่อง ‘การจู่โจมในตอนกลางคืน’ ระหว่างเธอกับพี่ชาย เพื่อที่อลิเซียจะได้ไม่ต้องไปแต่งงานกับใครอื่น ทว่าในท้ายที่สุดโรเอลก็ทำได้แค่เพียงบอกซินเทียและคนอื่น ๆ ว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาเป็นพี่น้องที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดอะไรเลย
นี่ทำให้ซินเทียและทหารรับจ้างคนอื่น ๆ โล่งใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ทีแรกพวกเขารู้สึกค่อนขัดแย้งเมื่อรู้ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา อาจทำการร่วมประเวณีกับน้องสาว ซึ่งเป็นการขัดกับสิ่งที่พวกเขาถือว่า ‘เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในสังคม’ แต่เมื่อโรเอลกล่าวข้อเท็จจริงนี้ ทุกคนก็เปลี่ยนความคิดที่มีต่ออลิเซียไปโดยสิ้นเชิง
เธอคือนายหญิงในอนาคตของพวกเรางั้นเหรอ?
จากมุมมองของซินเทียและทหารรับจ้างคนอื่น ๆ พวกเขาสองคนอยู่ในขอบเขตที่ใช้เตียงร่วมกันแล้ว การแต่งงานจึงเป็นขั้นตอนต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้วมีสงครามอันรุนแรงบนเตียงของโรเอล ซึ่งไม่ได้จืดจางไปกว่าสงครามประกาศอิสรภาพของเมืองโรซ่าเมื่อศตวรรษก่อนเลย
เช่นเดียวกับดินแดนที่มีการโต้เถียงกันมาอย่างยาวนาน เตียงของโรเอลเปลี่ยนมืออยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าในคราวนี้ อลิเซียมีความได้เปรียบก็เท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ขัดขวางซินเทียและเหล่าทหารรับจ้างคนอื่น ๆ จากการพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดต่ออลิเซียเลย บรรยากาศราวกับคู่รัก และความจริงที่ว่าพวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ทำให้มันค่อนข้างชัดเจนสำหรับพวกเขาแล้วว่าพวกเขาควรจะวางตัวอย่างไร
…
อา ดูเหมือนว่าท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์กับนายหญิงอลิเซียจะเข้ากันได้ดีในวันนี้ด้วยเช่นกัน
ระหว่างออกคำสั่งให้ลูกน้องของตนขนไวน์ออกไป ซินเทียก็ชำเลืองมองไปทางรถม้าด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นบนริมฝีปาก ในขณะเดียวกันโรเอลที่นั่งอยู่บนรถม้านั้นกำลังจ้องมองไปที่แก้วไวน์ในมือ
หลังจากเข้ามาในหมู่บ้าน โรเอลก็สั่งให้ลูกน้องซื้อไวน์เห็ด ทั้งหมดมาจากร้านค้า รวมถึงในบ้านของประชาชนที่ขายด้วย อีกทั้งยังมุ่งตรงไปที่โรงเหล้าที่ดีที่สุดในหมู่บ้าน เพื่อซื้อมันให้กับตัวเขาเอง ในฐานะนักประวัติศาสตร์ เด็กชายค่อนข้างสนใจไวน์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าพันปีนี้
มันถูกมากจริง ๆ พวกมันแต่ละขวดมีราคาเพียงสองเหรียญทองแดง และยังมาพร้อมกับมะนาวหวานฝานฟรี ๆ ฃซึ่งเจ้าของโรงเหล้าบอกว่ามันจำเป็น มิฉะนั้นบางคนอาจจะดื่มมันไม่ลงเลยทีเดียว
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น โรเอลก็ลองทำตามดู ทำให้เขาเกือบจะพ่นเครื่องดื่มออกมาในทันที
เนื่องจากพวกมันมีขั้นตอนการผลิตที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นอย่างประณีต ไวน์เห็ดจึงไม่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงนัก แต่มันมีเนื้อสัมผัสที่สดชื่นและทำให้รู้สึกมึนงงเล็กน้อย ซึ่งน่าจะเป็นเพราะเห็ด อย่างไรก็ตามรสชาติของมันแย่สมคำร่ำลือจริง ๆ
มันขมมาก และมีกลิ่นเหม็นของดินติดมาด้วย มันเหมือนกับขั้วที่ตรงกันข้ามของไวน์พาเมล่าที่ผลิตโดยเขตการปกครองแอสคาร์ด
เนื่องจากรสชาติที่แย่มากของไวน์เห็ด โรเอลจึงไม่คิดจะให้อลิเซียได้ชิมมัน อย่างไรก็ตามอลิเซียผู้อยากรู้อยากเห็นก็ยังคงยืนกรานที่จะลองชิม หลังจากนั้นเธอก็เชื่อมั่นในการตัดสินใจอันเฉียบแหลมของโรเอลขึ้นมาทันที
ไวน์ท้องถิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านพอนเดเร่ ไม่น่าพอใจนักสำหรับโรเอล แต่นี่ไม่ใช่สิ่งเดียวที่เขามาตามหาที่นี่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดินทางมาที่จักรวรรดิออสทีน และเขาจึงคิดที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อสำรวจดูว่าเขตการปกครองอื่น ๆ ด้านนอกเขตการปกครองแอสคาร์ดบริหารจัดการกันอย่างไร เพื่อที่เขาจะได้นำข้อมูลเหล่านั้นมาปรับแต่งนโยบายการบริหารของตนในฐานะตัวแทนผู้ปกครองเขตการปกครองให้ดีขึ้น
หลังจากตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแล้ว ในไม่ช้าโรเอลก็ได้ตระหนักถึงบางสิ่ง จักรวรรดิออสทีนนั้นอาจจะไม่ได้ร่ำรวยและทรงพลังอย่างที่ใคร ๆ บนโลกนี้จินตนาการเอาไว้ อย่างน้อย ๆ โครงสร้างพื้นฐานในเขตการปกครองบนภูเขาของพวกเขาก็แย่มาก อีกทั้งพลเรือนยังขาดความรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสทีนอีกด้วย
คำว่า ‘สายเลือดบริสุทธิ์’ ไม่มีความหมายในที่นี้ และผู้คนในหมู่บ้านก็ไม่รู้สึกว่าพวกเขาเหนือกว่าคนอื่น ๆ บนโลกเช่นกัน นี่ทำให้โรเอลรู้สึกสบายใจขึ้น
เมื่อเขาไตร่ตรองเรื่องนี้ดูแล้วมันก็ฟังดูสมเหตุสมผล ใครจะสนเรื่องความเหนือกว่าของสายเลือดเมื่อพวกเขาต้องดิ้นรนอยู่ทุก ๆ วันเพื่อดับความหิวโหยและทำให้ร่างกายอบอุ่น? แม้แต่ภาพลวงตาของความยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถเอาชนะความต้องการในทางปฏิบัติได้!
การประเมินที่โรเอลได้รับก็คือ การบริหารของเขตการปกครองแอสคาร์ดมาถูกทางแล้ว มันกำลังสร้างขึ้นบนรากฐานที่ถูกต้อง และก็น่าจะสามารถเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากความพยายามของตนได้ในอนาคตอันใกล้
หลังจากเติมเสบียงและรวบรวมไวน์เห็ดกว่ายี่สิบถัง ในที่สุดพวกเขาก็ได้ทำภารกิจแรกสำเร็จและมุ่งหน้าไปยังโรงแรมเพื่อพักผ่อน เช้าวันรุ่งขึ้นทุกคนจะได้พร้อมสำหรับการเดินทางไปยังป่าเครอน
…
ภายในป่าเครอน ชายวัยกลางคนผมสีเทาเข้ม และผู้เฒ่าผมหงอกกำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้าท่ามกลางต้นไม้และพุ่มไม้ต่าง ๆ
ชายวัยกลางคนนั้นคือร็อดนีย์ ส่วนชายชราก็คือวู้ดนั่นเอง พวกเขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้านและเป็นผู้นำของลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่งตามลำดับ ทว่ารูปลักษณ์ของพวกเขากลับดูไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก
ร็อดนีย์นั้นอายุน้อยกว่าวู้ดมาก เป็นดั่งร่างอวตารสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง มีไอน้ำพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขาอย่างรุนแรงทุกครั้งที่เขาต่อสู้ ส่งผลให้เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่งเสมอ หากเปรียบเทียบแล้ววู้ดที่มีอายุมากกว่านั้นดูดีกว่ามาก เขาสวมเสื้อคลุมหนังหมาป่า แม้ว่าขนของมันส่วนใหญ่จะหลุดไปในการต่อสู้ทั้งหมดที่เขาเคยผ่านมาจนเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมหนังอย่างที่เห็นก็ตามที
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสองคนแต่งตัวไม่ดีเท่าไหร่สำหรับคนที่มีตำแหน่งสูงในหมู่บ้าน เรื่องราวเบื้องหลังสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องมีชะตากรรมเช่นนี้นั้นค่อนข้างยาว
นี่ก็ผ่านมาเป็นเวลาสามปี ที่เหล่าผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายมุ่งเป้าไปที่เกล็ดของเทพงู ในช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ พวกเขาได้ย้ายหมู่บ้านไปแล้วถึงสองครั้ง แต่พวกลัทธิชั่วร้ายก็ยังคงไล่ตามพวกเขาอย่างไม่ลดละ เมื่อไม่มีทางเลือก พวกเขาจึงตัดสินใจอพยพเข้ามาในป่าเครอนอันห่างไกลเพื่อลี้ภัย ขณะเดียวกันนั้นเอง พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงการกระตุ้นทางพลังเวทบางอย่าง และหวังว่าจะพบกับเบาะแสของเทพเจ้าและบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาตามหา
คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่ง เป็นหนึ่งในลัทธินอกรีตไม่กี่ลัทธิที่มีมรดกค่อนข้างสมบูรณ์ ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจถึงอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของเทพเจ้าที่มีต่อพวกเขาดี ต่างจากคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแน่วแน่ คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่งมีรากฐานมาจากยักษ์ ดังนั้นมันจึงมีลักษณะที่หยาบกว่ามาก จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่งที่จะพัฒนาระดับแก่นแท้ของพวกเขา แต่ข้อแลกเปลี่ยนก็คือ คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่งนั้นต้องการความสามารถทางกายภาพที่ดีกว่ามาก และพลังของมันก็มาพร้อมกับผลข้างเคียงมหาศาล
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมผู้ใช้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่งที่มีจำนวนหลายร้อยคน ถึงมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 เพียงสองคน ในขณะที่ผู้ใช้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแน่วแน่ มีระดับแก่นแท้สามเพียงหนึ่งคนในสามชั่วอายุ แม้ว่าจะมีสมาชิกหลายพันคนก็ตาม
ความแข็งแกร่งมาพร้อมกับความเสี่ยง นี่เป็นเรื่องปกติในทวีปเซีย ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร็อดนีย์และคนอื่น ๆ คาดหวังในตัวบุตรศักดิ์สิทธิ์มาก พวกเขาหวังว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์จะช่วยให้พวกเขาผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ เพราะพวกเขารู้ดีว่า บุตรศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจเหนือพวกเขาทุกคน และเป็นเพียงคนเดียวที่จะสามารถลดผลข้างเคียงจากคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของพวกเขา ด้วยพรจากเทพเจ้าโบราณได้
ผู้คนทั้งหมู่บ้านล้วนเปิดใช้งานประสาทสัมผัสทางพลังเวทของพวกเขามาเป็นเวลาสามปีแล้ว คอยจับตาดูเหตุการณ์ใด ๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด แต่พวกเขาก็ต้องพบกับความสิ้นหวัง เนื่องจากเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่พวกเขาเห็นในนิมิตก่อนหน้านี้ ไม่เคยปรากฏขึ้นมาอีกเลย… จนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้ว
คืนนั้น ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติยี่สิบคนในหมู่บ้านได้รับนิมิตอีกครั้ง แม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านคนเก่าอย่างวู้ด ก็ยังสามารถสัมผัสถึงพลังของเทพเจ้าโบราณผ่านความรู้สึกอันเฉียบแหลมของเขาได้คร่าว ๆ
ทันทีที่รุ่งสางมาถึง ทั้งหมู่บ้านจึงลงมือในทันที ในที่สุดพวกเขาก็พบทางออกจากวิกฤติการณ์ที่พวกเขาเผชิญอยู่เสียที ความพากเพียรตลอดสามปีนั้นไม่ได้สูญเปล่า นี่ทำให้พวกเขาหลั่งน้ำตาแห่งความตื้นตัน แม้ว่าพวกเขาแทบจะไม่มีเสื้อผ้าเหลือให้เช็ดน้ำตาและน้ำมูกก็ตาม แต่พวกเขาก็คว้าใบไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ มาใช้แทน
มันเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาจริง ๆ ตลอดสามปีเต็มในถิ่นทุรกันดาร ที่ไกลจากโลกอันศิวิไลย์ของมนุษยชาติ ทำให้พวกเขาเกือบจะกลายเป็นคนป่าเถื่อนไปแล้วจริง ๆ
ความสุขที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้พวกเขาไม่ทันได้เตรียมตัว ฤดูใบไม้ผลิเพิ่งมาถึง พวกเขาจึงยังไม่มีเสบียงอาหารมากพอสำหรับการเดินทาง แม้ว่าพวกเขาจะรู้แล้วว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน แต่พวกเขาก็ไม่มีทรัพยากรพอที่จะสามารถเดินทางได้ในทันที พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอุทิศเวลาหนึ่งเดือน เพื่อรวบรวมอาหารให้ได้มากที่สุดสำหรับการเดินทาง
การทำฟาร์มไม่มีทางทันเวลาแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงแค่เตรียมของแห้งต่าง ๆ เช่น ปลาดอง เนื้อตากแห้ง และผลไม้แห้ง สำหรับส่วนที่ขาดเหลือ พวกเขาก็ทำได้แค่พยายามล่าสัตว์ที่เจอในเส้นทาง
ทว่าก่อนจะออกไปจากป่าเครอน พวกเขามีสิ่งสุดท้ายที่ต้องทำ
ด้วยไวน์ผลไม้ที่เหลืออยู่สองถังจากในหมู่บ้านของพวกเขา ร็อดนีย์และวู้ดจึงได้เดินทางมุ่งหน้าไปหาผู้มีอำนาจเด็ดขาดสูงสุดที่ไม่มีใครจะสามารถท้าทายได้ในป่าอันกว้างใหญ่นี้ เพื่อขอบคุณที่เขามอบสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ให้พวกเขาได้พึ่งพิง
เจ้าแห่งผืนป่า เทรนท์โบราณ เคเดย์
ข่าวลือเรื่องมนุษย์หมาป่าในป่าเครอนนั้นเป็นเรื่องจริง เพียงแต่ว่ามนุษย์หมาป่าเหล่านี้ไม่ใช่มนุษย์หมาป่าจริง ๆ พวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ที่ถูกสาป และเลือกที่จะอยู่เคียงข้างกับเจ้าแห่งผืนป่า หากไม่ได้รับการอนุญาตจากเจ้าแห่งผืนป่าแล้วล่ะก็ ลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่งคงจะไม่สามารถยืนหยัดอยู่ในป่านี้ได้ โดยค่าตอบแทนที่พวกเขาต้องจ่ายก็คือไวน์บรรณาการประจำปี
พวกเขาควรจะแสดงความเคารพเป็นครั้งสุดท้ายต่อเจ้าแห่งผืนป่าก่อนออกเดินทาง ดังนั้นทั้งสองจึงเข้ามาในป่าลึก พร้อมเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่พวกเขาทำไว้ล่วงหน้า จากนั้นก็เข้าไปในหุบเขาตามเส้นทางที่จำได้ ทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปใกล้ ต้นโอ๊กขนาดใหญ่ที่ใจกลางหุบเขาก็ลืมตาขึ้น
“สวัสดี ท่านเจ้าแห่งผืนป่า”
ร็อดนีย์และวู้ด โค้งคำนับพร้อมด้วยถังไวน์ผลไม้ในมือของพวกเขา ซึ่งเทรนท์ที่มีร่างกายสูงตระหง่านก็โบกกิ่งของเขาเป็นการตอบรับเช่นกัน ทว่าก่อนที่ทั้งสองคนจะพูดอะไรออกมา เทรนท์โบราณก็พูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งของเขาเสียก่อน
“พวกเจ้ามาได้ถูกจังหวะพอดี ข้ามีเรื่องจะขอร้องพวกเจ้านิดหน่อยนะ”