บทที่ 229: การพบพานอันน่าประหลาดใจ
การปรากฏขึ้นของดวงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดส่องบนขอบฟ้า เป็นการประกาศวันใหม่ของในป่าเครอน สัตว์ต่าง ๆ ตื่นขึ้นจากการหลับใหล และเริ่มทำกิจกรรมประจำวันของพวกมัน โดยเสียงที่โดดเด่นที่สุดก็คือเสียงร้องประสานเสียงอันไพเราะของเหล่านกที่บินไปบนท้องฟ้า
ภายใต้สภาพแวดล้อมอันสดชื่นนี้ กองทัพกว่าร้อยคนได้เดินทางผ่านป่าไปอย่างเงียบ ๆ พวกเขาแต่งกายโทรมและเลอะเทอะ ส่วนใหญ่ไม่มีแม้กระทั่งรองเท้า โดยมีคนนำทัพเป็นชายวัยกลางคนที่มีผมสีเทาเข้ม และผู้อาวุโสผมหงอก ร็อดนีย์และวู้ด
ทั้งสองกำลังยืนอยู่บนต้นไม้พร้อมอาวุธในมือ มองหาตำแหน่งที่ดีสำหรับการตั้งค่ายพักแรม เพื่อที่พวกเขาจะได้สั่งการให้ชาวบ้านที่เดินทางมาด้วยปักหลักได้ถูกที่ไปตามเส้นทางที่คาดไว้
นี่แหละคือวันที่สองหัวหน้าหมู่บ้านของลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่งจะออกไปสำรวจโลกแห่งโจรร่วมกันกับผู้คนของพวกเขา แม้ว่ามันจะค่อนข้างน่าอายสำหรับพวกเขาที่ต้องมาทำเรื่องแบบนี้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากมันเป็นคำขอที่มาจากเจ้าแห่งผืนป่า
…
ย้อนเวลากลับไปเมื่อวันก่อน…
นี่เป็นครั้งแรกที่ร็อดนีย์และวู้ดได้รับคำขอจากเจ้าแห่งผืนป่า มันเป็นอะไรที่ทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจมาก เพราะพวกเขานึกภาพไม่ออกเลยว่า ต้นไม้ต้นนี้ ซึ่งรอดชีวิตมานานตั้งแต่ในยุคโบราณจะต้องการอะไรจากพวกเขา
อะไรในโลกกันที่ทำให้บุคคลที่น่านับถือนี้ขอความช่วยเหลือจากเรา? เขากำลังพบกับวิกฤตร้ายแรงบางอย่างงั้นหรือ?
ใบหน้าของร็อดนีย์และวู้ด เคร่งขรึมขึ้นมาในทันที แต่สิ่งที่เทรนท์โบราณ เคเดย์พูดหลังจากนั้นกลับทำให้พวกเขาต้องตกตะลึงด้วยความสับสน
“ข้าได้ยินข่าวคราวมาจากเพื่อนสนิทในแดนไกล ว่ามีขบวนรถม้ากำลังนำไวน์เห็ดที่ข้าโปรดปรานผ่านมาเป็นจำนวนมาก อา เนื้อสัมผัสอันยอดเยี่ยมและรสชาติแสนน่าอัศจรรย์นั่น! ข้าไม่ได้ดื่มพวกมันมาเกือบร้อยปีแล้ว…”
คืนนั้นร็อดนีย์และวู้ดจ้องหน้ากันด้วยความงงงวย ขณะที่พวกเขาฟังเสียงเทรนท์โบราณร่างสูงตระหง่าน พร่ำเพ้อถึงความรักของตนที่มีต่อไวน์เห็ดเป็นเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมง ชั่วขณะหนึ่งพวกเขารู้สึกราวกับว่า เทรนท์โบราณ เคเดย์ ฟังดูเหมือนคนติดแอลกอฮอล์ขี้หงุดหงิด และถูกห้ามไม่ให้แตะต้องแอลกอฮอล์โดยลูก ๆ ของเขา
ซึ่งคำขอของเขาก็คือให้ช่วยปล้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่บรรทุกมาโดยขบวนรถม้าที่กำลังผ่านไป
“…”
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 ทั้งสองต่างพูดไม่ออกไปตาม ๆ กัน เมื่อได้ยินคำขอนี้ แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน
พวกเขารู้สึกขอบคุณเจ้าแห่งผืนป่าที่รับพวกเขามาในยามลำบาก แต่พวกเขานั้นไม่อยู่ในฐานะที่จะสามารถช่วยเหลือคำขอร้องที่ลำบากมากได้ ยิ่งเมื่อมันเป็นสิ่งที่ เทรนท์โบราณ เคเดย์ และพวกมนุษย์หมาป่าภายใต้คำสั่งของเขาไม่สามารถแก้ไขได้ มันก็เป็นไปได้ว่าลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่ง อาจจะต้องทุ่มทุนมหาศาลเพื่อเติมเต็มคำขอนั้น
หากเป็นกรณีนี้ ทั้งร็อดนีย์และวู้ดคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องปฏิเสธคำขอ แม้ว่าจะดูอกตัญญูต่อผู้มีพระคุญก็ตาม ทว่าโชคดีที่มันไม่เป็นเช่นนั้น
การโจรกรรมเป็นเรื่องน่าละอายงั้นเหรอ?
แน่นอน มันเป็นเรื่องน่าละอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 ที่มีความภาคภูมิใจมากพอที่จะไม่ใช้วิธีการที่ต่ำต้อยเช่นนั้นในการดำเนินชีวิต อย่างไรก็ตามมันเป็นคำขอร้องที่ปลอดภัยกว่าคำขออื่น ๆ ที่พวกเขาอาจจะได้รับ
การซุ่มโจมตีของกองโจรมักเกิดขึ้นบนถนนที่มีความปลอดภัยน้อยกว่านี้ หรือในถิ่นทุรกันดาร โดยลักษณะทั่วไปอย่างหนึ่งก็คือทั้งผู้โจมตีและผู้ถูกโจมตีมักจะอ่อนแอ อันที่จริงแล้วโจรส่วนใหญ่ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดด้วยซ้ำ
ไม่มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 5 คนใดคิดจะลดระดับตัวเองไปเป็นองครักษ์คุ้มกันพ่อค้าหรือโจรแน่ ถ้าพวกเขาสามารถกลายเป็นหัวหน้าหน่วยในกองทัพได้?
แน่นอนว่าคนนอกกฎหมายนั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องอาศัยวิถีการโจรกรรมเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่ถึงกระนั้น ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่กองโจรก็น่าจะอยู่ที่ ระดับแก่นแท้ 4 เท่านั้น ไม่ว่ากลุ่มโจรจะใหญ่แค่ไหน ก็ไม่มีโจรที่มีระดับแก่นแท้สูงเกินกว่านั้นแม้แต่คนเดียว
เหตุผลที่ดีสำหรับเรื่องนั้นก็คือ ถ้าหากผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงเข้าร่วมองค์กรไหน สถานะและรูปแบบขององค์กรนั้นก็จะถูกเปลี่ยนไปในทันที อาณาจักรต่าง ๆ จะตราหน้าองค์กรนั้นว่าเป็น ‘กบฏ’ และส่งกองทหารไปกำจัดพวกเขาทันที พวกเขาไม่มีทางเสี่ยงปล่อยให้ปัจจัยที่ไม่แน่นอนเช่นนี้หลุดรอดไปได้แน่ เนื่องจากมันอาจเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติในอนาคตได้
นี่ทำให้แม้แต่โจรที่แข็งแกร่งที่สุดก็มีระดับแก่นแท้อยู่ที่ระดับแก่นแท้ 4 เท่านั้น มันจึงเป็นเรื่องปกติที่องครักษ์คุ้มกันขบวนรถม้าที่แข็งแกร่งที่สุดก็มักจะอยู่ที่ระดับแก่นแท้ 4 เท่านั้นด้วยเช่นกัน เพราะคงไม่มีใครฟุ่มเฟือยพอที่จะจ่ายค่าจ้างแพงมหาศาลเทียบเท่ากับของจักรพรรดิ เพื่อจ้างผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงในภารกิจที่ไม่ต้องใช้พวกเขาก็ได้
“คำขอนี้ไม่เป็นอันตรายต่อเราเลยสักนิด”
ทั้งร็อดนีย์และวู้ดต่างมั่นใจว่าพวกเขานั้นสามารถโค่นขบวนพ่อค้าขบวนนี้ได้อย่างง่ายดาย หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ทั้งสองก็ตบที่หน้าอกอย่างมั่นใจและยอมรับคำขอของเทรนท์โบราณ
“วางใจพวกเราได้เลยครับ”
“ใช่แล้ว พวกเราจะขโมยไวน์ที่ท่านต้องการกลับมาเอง! ป่าทั้งผืนนี้เป็นของท่าน ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่พ่อค้าเหล่านั้นจะต้องจ่ายภาษีค่าผ่านทาง!”
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 ทั้งสองคนตอบรับคำขอดังกล่าว เนื่องจากนี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยในสายตาของพวกเขา และพวกเขาก็กำลังดีใจมากที่จะได้ชำระหนี้บุญคุญให้กับเจ้าแห่งผืนป่า
ด้วยใจที่เบิกบาน พวกเขาทั้งสองรีบกลับไปที่หมู่บ้านอย่างรวดเร็วเพื่อวางแผน เทรนท์โบราณนั้นไม่สามารถอธิบายข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับขบวนรถพ่อค้าขบวนนี้ได้ ดังนั้นร็อดนีย์และคนอื่น ๆ จึงไม่รู้ว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับกองกำลังประเภทใด เพื่อความปลอดภัย พวกเขาจึงเลือกที่จะพาผู้คนในหมู่บ้านบางส่วนไปด้วย
การซุ่มโจมตีของพวกเขาถูกเตรียมการอย่างหยาบ ๆ และเนื่องจากพวกเขาไม่มีลูกธนู พวกเขาจึงไม่ได้พยายามหาพื้นที่สูง ๆ เอาไว้ล่วงหน้า แผนการของพวกเขามีเพียงการเอาชนะขบวนพ่อค้าในการต่อสู้อย่างรวดเร็ว และบังคับให้พวกเขายอมจำนน ถ้าเป็นไปได้พวกเขาก็ไม่อยากทำร้ายใครเพราะเป้าหมายของพวกเขามีแค่แอลกอฮอล์
เมื่อนักรบคนอื่น ๆ ของลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่ง รู้ว่าพวกเขาจะต้องรับมือกับขบวนพ่อค้า ความตึงเครียดทั้งหมดที่พวกเขารู้สึกก็หายไป พวกเขาเพียงแค่แขวนเถาวัลย์สองสามต้นไว้รอบคอ ใช้มันเป็นการอำพราง เฉพาะภายใต้แสงอาทิตย์ยามเที่ยงวันเท่านั้นที่ พวกเขาใส่ใจที่จะเพิ่มชั้นหญ้าป่าเข้าไปให้แนบเนียนขึ้น
และแล้วในที่สุด ขบวนรถม้าของพ่อค้าเร่ที่มีสมาชิกราว ๆ สามสิบคนก็มาถึงจุดที่พวกเขาตั้งค่าย ทว่าจู่ ๆ ขบวนรถดังกล่าวก็หยุดลงที่ด้านหน้าจุดซุ่มโจมตีของพวกเขา
เกิดอะไรขึ้น? พวกเราถูกจับได้แล้วงั้นเหรอ?
ร็อดนีย์และวู้ดสบตากัน พวกเขารู้ว่าสมาชิกของลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่งนั้นทั้งเลอะเทอะและขาดซึ่งความเป็นมืออาชีพ แต่มันก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการหลอกขบวนพ่อค้าทั่ว ๆ ไป เนื่องจากวู้ดได้ร่ายคาถาภาพลวงตาเอาไว้ และมีเพียงผู้ใช้พลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 ขึ้นไปเท่านั้นที่จะมองผ่านภาพลวงตานี้ได้จากระยะไกล
“ขบวนรถพ่อค้าเร่นั่นมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 งั้นเหรอ?”
“มันเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไรเล่า? มันต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่ ๆ”
เมื่อมองไปยังรถม้าที่ดูเก่าเรียบ ๆ และทหารคุ้มกันที่ดูธรรมดา ๆ ร็อดนีย์นึกภาพไม่ออกว่าขบวนพ่อค้านี้จะมีเงินมากพอที่จะจ้างผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงมาคุ้มกัน ซึ่งวู้ดเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขาเช่นกัน
ทันใดนั้น จู่ ๆ เด็กสองคนก็เดินลงมาจากรถที่อยู่ตรงใจกลางของขบวนรถ โดยมีเด็กชายผมดำและเด็กสาวผมสีเงิน เดินมาคู่กัน พวกเขาทั้งคู่ต่างก็สวมชุดปกติ แบบที่ลูกหลานของตระกูลพ่อค้ามักจะสวมกัน
ทว่าร็อดนีย์กลับรู้สึกว่าหัวใจของเขาหยุดเต้นไปจังหวะหนึ่ง เมื่อได้เห็นใบหน้าของเด็ก ๆ ทั้งสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าของอลิเซีย
“ทำไมข้ารู้สึกเหมือนมีอะไรผิดปกติแปลก ๆ …”
ในฐานะนักผจญภัยที่เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ มากมาย ร็อดนีย์เป็นทหารผ่านศึกที่รอบรู้เคยชินกับวิถีของโลกเป็นอย่างดี และสถานการณ์ตรงหน้าเขานั้นมีบางอย่างที่ผิดปกติไปอย่างแน่นอน
เด็กคนที่มีหน้าตาดีมักจะมาจากภูมิหลังอันโดดเด่น การเพิ่มประสิทธิภาพของยีน ด้วยระดับการซึมซับพลังเวทที่เพิ่มขึ้นไม่ได้เป็นเพียงแค่คำพูดไร้น้ำหนัก
นอกจากนี้การที่เด็ก ๆ เช่นพวกเขาสามารถเดินทางได้ด้วยตัวเอง โดยไม่มีผู้ปกครองติดตามมาด้วย จะต้องเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติไม่ผิดแน่ สมาคมการค้าที่ไหนจะมอบหมายให้เด็กธรรมดา ๆ มีหน้าที่นำขบวนรถ?
พวกเขาเป็นพ่อค้าที่เพิ่งเดินกลับมาจากเมืองโรซ่างั้นเหรอ? ตัวตนของพวกเขาคือใครกันแน่? เป็นไปได้ไหมว่า…
ระหว่างที่ร็อดนีย์พยายามหาข้อสรุปเกี่ยวกับข้อเท็จจริงเบื้องหลัง วู้ดก็จ้องไปที่ร่างของเด็กชายผมสีดำอย่างตั้งใจ
ทำไมเด็กชายคนนี้ถึงให้ความรู้สึกอันคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ถูกกัน?
มันเป็นความรู้สึกสนิทสนมที่ชายชราอธิบายไม่ถูก ซึ่งทำให้เขางุนงงอย่างสุดซึ้ง สำหรับคนที่ไม่เคยออกไปไหนมาหลายสิบปีแล้ว ไม่มีทางเลยที่วู้ดจะรู้จักกับเด็กชายผมดำคนนั้น แต่เขากลับไม่สามารถสลัดความรู้สึกว่าตนเองเคยเห็นอีกฝ่ายที่ไหนสักแห่งมาก่อนได้
ขณะที่ทั้งสองกำลังพยายามค้นหาข้อสงสัย ขบวนรถก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง อย่างไรก็ตามมันได้ชะลอความเร็วลงอย่างมาก เพื่อรองรับเด็ก ๆ ทั้งสองคนที่ช้ากว่า ซึ่งดูเหมือนจะลงมาจากรถม้าเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์
เนื่องจากการเคลื่อนไหวของเป้าหมายช้าลง ความเร็วที่พวกเขาเดินตาม เพื่อเตรียมการซุ่มโจมตีจึงช้าลงไปด้วยเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้เหล่านักรบที่ตั้งค่ายดักรออยู่ริมถนนรู้สึกโกรธเคืองเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ร็อดนีย์และวู้ดกลับรู้สึกสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ
เดี๋ยวนะรูปแบบขบวนนั่นมัน! ไม่ผิดแน่ มันเป็นขบวนรบที่ใช้โดยทหารรับจ้างมืออาชีพเท่านั้นไม่ใช่เหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นท่าทางการเดินของเด็ก ๆ สองคนนั้น … นี่มันไม่ถูกต้อง พวกเขาต้องเป็นลูกของขุนนางชั้นสูงแน่!
นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย เราไม่เคยเห็นใครที่มีใบหน้าแบบนั้นมาก่อน แต่ภาพเงาของเด็กชายคนนั้นกลับดูคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก เราเองก็ไม่ได้พบคนแปลกหน้าเมื่อเร็ว ๆ นี้ซะด้วยสิ… เดี๋ยวนะ!
“แย่แล้ว! ทุกคนหยุดการโจมตีซะ!”
“หยุด!!! เขาคือบุตรศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา…”
หัวหน้าหมู่บ้านทั้งสองตระหนักได้พร้อม ๆ กัน แม้ว่าจะมาจากคนละมุม พวกเขาต่างยืนขึ้นและตะโกนให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว
เมื่อขบวนรถครึ่งหนึ่งได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ภูเขา พื้นที่ว่างข้างถนนก่อนหน้านี้ก็บิดเบี้ยวอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นนักรบกว่าร้อยคนจากลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่ง ก็พุ่งออกมาจากภาพลวงตา
นี่จะเป็นการเคลื่อนไหวครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในปฏิบัติการของพวกเขา
วินาทีถัดมา พลังเวทสีแดงเข้มก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมกับโครงกระดูกขนาดมหึมาที่ปรากฏตัวขึ้นราวกับเทพปีศาจ